บทที่ 114
พระสนม
เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางเห็นกงเยียนซูหลุดความสุขุม
ชายหนุ่มไม่เพียงแสดงสีหน้าตกใจ ริมฝีปากบางของเขายังอ้าค้างอย่างตะลึง
กลับกันแล้ว ลู่ซินฟางดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากกงเยียนซูเรียกสตรีสูงวัยที่มาเยือนว่า “เสด็จแม่”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ประสานมือ โค้งศีรษะ เหล่าคณะผู้ติดตามเห็นอย่างนั้นต่างก็ลุกขึ้นยืนและเคารพผู้มาใหม่เช่นเดียวกัน
“คารวะพระสนมเพคะ”
ผู้ถูกเรียกว่าพระสนมหันมายิ้มให้กับลู่ซินฟางอย่างพึงอกพึงใจ
“ไหวพริบของเจ้าฉับไวเหมือนอย่างที่หวังเยว่บอกไม่มีผิด แต่ดูสิ ลูกชายข้า พอเห็นข้ากลับเอาแต่นั่งเฉย ใช้ได้ที่ไหนกัน”
พูดแล้ว สตรีสูงวัยก็หันมองกงเยียนซู
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แทนที่จะบอกว่ากงเยียนซูนั่งเฉย สู้บอกว่าตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกจะดีกว่า
ว่าไปแล้ว องค์ชายห้าโจวหวังเยว่เคยบอกว่ามารดาของเขามีตำแหน่งเป็นเสียนเฟย นามเดิมคือกงไฉ่หง ดังนั้นแล้วนางควรเรียกพระสนมว่า ‘กงเสียนเฟย’
กงเสียนเฟยเยื้องย่างเข้ามานั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ กงเยียนซู
ด้วยเหตุนี้เหล่าคณะผู้ติดตามของลู่ซินฟางกับกงโม่หยวนต้องย้ายไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
“ใจร้ายจังเลยนะ เยียนซู พาคนสำคัญมาเมืองหลวงทั้งที แต่ไม่คิดจะบอกกันสักคำ”
พอนั่งลงปุบ กงเสียนเฟยกล่าวตัดพ้อปับ
ตอนนี้เองที่กงเยียนซูดึงสติกลับมา ดวงตาคมเข้มเบือนไปทางกงโม่หยวน หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างกล่าวโทษ
กงโม่หยวนยิ้มแห้งๆ “พระสนมสั่งข้าไว้ให้รายงานเรื่องของเจ้าทุกเรื่อง”
“ปฏิเสธไปก็สิ้นเรื่อง”
“พูดเหมือนง่าย ถึงข้าช่วยเจ้าปิดบัง ช้าเร็วพระสนมก็ต้องรู้จากองค์ชายห้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
“ตั้งใจปิดบังแม่อีกแล้วนะ ใจร้ายจังเลย แม่เป็นคนนอกสำหรับเจ้าหรือ ไม่ใช่คนสำคัญสินะ” กงเสียนเฟยพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับน้อยเนื้อต่ำใจ
กงเยียนซูอ่อนใจอย่างยิ่ง แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ...เพราะเสด็จแม่เป็นเช่นนี้ข้าถึงไม่บอกท่านอย่างไรเล่า”
“พูดจาใจร้ายกับแม่อีกแล้ว ทุกคนดูสิ ลูกชายข้าไม่สนใจไยดีข้าสักนิด”
กงเสียนเฟยแสร้งทำทีเป็นกระเง้ากระงอด
ลู่ซินฟางยิ้มขบขัน ภายใต้ความเอาแต่ใจของพระสนมล้วนเป็นการแสดง พระนางก็แค่อยากทำให้บรรยากาศในห้องนี้ผ่อนคลายเท่านั้นเอง
อีกอย่าง แค่มองก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นมารดาที่รักและใส่ใจลูกๆ ของนางมาก ไม่แปลกใจเลย ทำไมนางถึงปฏิเสธตำแหน่งกุ้ยเฟยมาเป็นเพียงสนมตัวเล็กๆ เพื่อแลกกับอิสระของลูกทั้งสอง
หลังจากตัดพ้อลูกชายจนพอใจแล้ว กงเสียนเฟยโน้มตัวเข้าไปกระซิบหระซาบกับกงเยียนซู
“เจ้าเองก็ตาถึงยิ่งนัก คนสำคัญของเจ้างดงามไม่เบาเลยนี่ ได้ข่าวว่าเจ้ามีลูกแล้วด้วยหรือ ทำไมไม่พาหลานๆ มาให้แม่เจอบ้างเล่า”
เสียงของกงเสียนเฟยไม่ได้เบาเลย เพราะตั้งใจพูดให้ลู่ซินฟางได้ยินด้วย ดังนั้นลู่ซินฟางที่ร่วมโต๊ะเดียวกันจึงหน้าแดงวาบ กงเยียนซูก็เขินอายไม่ต่างกับหญิงสาว
“เสด็จแม่!”
ชายหนุ่มทำเสียงเอ็ด
กงเสียนเฟยยิ้มแย้มอย่างมีความสุขที่ได้แหย่สองหนุ่มสาว
กงเสียนเฟยเป็นคนขี้เล่น เห็นพวกเขาเขินก็ยิ่งอยากแกล้งขึ้นไปอีก
สตรีสูงวัยหันมายิ้มให้กับหญิงสาวพลางกล่าวว่า “ซินฟาง คราวหน้าพาหลานๆ มาให้ท่านย่าคนนี้เห็นหน้าบ้างนะ”
“เอะ เอ่อ…”
อีกฝ่ายพูดราวกับลู่ซินฟางเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำเอานางตั้งตัวไม่ถูกเลย
“เสด็จแม่หยุดแหย่นางได้แล้ว” กงเยียนซูปรามมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สตรีสูงวัยแสร้งทำหน้ามุ่ยใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง “ใจร้ายจังเลยนะ”
“เสด็จแม่ละก็”
กงเยียนซูฉลาดหลักแหลมก็จริง แต่ให้รับมือกับมารดาขี้แกล้งคนนี้ เขากลับไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากส่ายหน้าและถอนหายใจ
วันนี้ได้เจอลูกชายและคนสำคัญของเขา กงเสียนเฟยอารมณ์ดีมากจึงเผลอแหย่พวกเขามากไปหน่อย หลังจากนางหัวเราะฮ่าๆ กงเสียนเฟยก็เปลี่ยนมาถามลู่ซินฟาง
“แม่ไม่แกล้งพวกเจ้าแล้ว ลู่ซินฟาง ข้าได้ยินว่าเจ้ามาเมืองหลวงครั้งนี้เพื่อเปิดกิจการ เป็นร้านซินหลินสาขาเมืองหลวงหรือ”
กงเสียนเฟยเกิดในตระกูลการค้า ย่อมมีสายข่าวในวงการการค้าไม่น้อย ลู่ซินฟางจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องของนางถึงขั้นนี้
“หม่อมฉันมาดูทำเลเปิดกิจการใหม่จริงเพคะ แต่ว่า ไม่ใช่ร้านซินหลิน”
ทันทีที่หญิงสาวตอบเช่นนั้น สายตาของกงเสียนเฟยฉายแววสนใจใคร่รู้
“แล้วจะเปิดร้านอะไรหรือ”
ดูจากสีหน้าของพระนาง คาดว่าชื่อเสียงของลู่ซินฟางจะดังถึงวังหลวงสักระยะแล้ว
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “หม่อมฉันต้องการเปิดร้านค้าขายเครื่องประดับเพคะ คิดว่าหากสร้างร้านในเมืองหลวงจะขายสินค้าได้ง่ายกว่า จากนั้นค่อยๆ กระจายสินค้าไปตามเมืองอื่น”
“ร้านเครื่องประดับในเมืองหลวงมีไม่น้อย การแข่งขันสูง เตรียมใจแล้วหรือยัง”
“แน่นอนเพคะ แต่ว่า…”
“แต่ว่า?” กงเสียนเฟยทวนคำอย่างสงสัย
“เครื่องประดับในร้านของหม่อมฉันทำมาจากพลอย…สิ่งนั้นก็คือหินแร่ที่มีความบริสุทธ์ หลังจากเจียระไน เนื้อของพลอยจะมีความโปร่งใสแวววาว และถ้านำมาตกแต่งเครื่องประดับก็จะยิ่งทำให้ของชิ้นนั้นสวยงามมากขึ้น หนำซ้ำยังมีหลายสีให้เลือกด้วยเพคะ”
“ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสินค้าของเจ้ามีความพิเศษในตัวเอง น่าสนใจมาก!” กงเสียนเฟยชมเปราะ ทั้งยังบอกว่าอยากเห็นพลอยที่ว่าเร็วๆ พระนางยังชี้แนะวิธีการเปิดตลาดสินค้าใหม่
“พูดก็พูดเถอะ ถึงสินค้าของเจ้าจะน่าสนใจ แต่การเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ผู้คนยังไม่รู้จัก ซ้ำยังมีราคาแพง ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ อย่างแรก เจ้าต้องสร้างกระแสดึงดูดความสนใจก่อน”
“หมายถึงการโปรโมทสินค้าหรือ” ลู่ซินฟางถาม
“อะไรนะ…โป? โปอะไรหรือ” กงเสียนเฟยทำหน้าฉงน
“หม่อมฉันหมายถึง สร้างความสนใจ กระตุ้นให้คนอยากซื้อเพคะ”
“ใช่ วิธีนั้นแหละ” หลังจากเงียบคิดสักครู่ กงเสียนเฟยกล่าวต่ออีกว่า “ข้าขอแนะนำอีกเรื่อง สินค้าของเจ้าอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เจ้าควรสร้างความน่าเชื่อถือ อย่างเช่นควรมีการรับรองจากกรมคลัง และทำให้ผู้คนเห็นว่าพลอยของเจ้าสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ นี่เป็นวิธีเปิดตัวสินค้าที่ง่ายที่สุด”
“หากเป็นเรื่องเอกสารรับรองกรมคลัง ทางข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” กงเยียนซูกล่าวแทรก
“รอบคอบสมกับเป็นเจ้า” กงเสียนเฟยเอ่ยชมบุตรชาย
“หม่อมฉันขอบพระทัยพระสนมมากเพคะ คำชี้แนะของพระสนมเป็นประโยชน์ต่อหม่อมฉันมากทีเดียว” ลู่ซินฟางกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“เรื่องเล็กน้อย หากมีตรงไหนสงสัย ปรึกษาข้าได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอรบกวนพระนางอีกเรื่องได้หรือไม่เพคะ”
“เจ้าพูดมาเถอะ”
ไม่เพียงแค่กงเสียนเฟยที่สงสัยว่าลู่ซินฟางจะรบกวนนางเรื่องอะไร แม้แต่กงเยียนซูและกงโม่หยวนยังแสดงสีหน้าสนอกสนใจอย่างยิ่ง
“หลังจากผลิตเครื่องประดับชุดแรกเรียบร้อย หม่อมฉันอยากถวายเครื่องประดับชุดนั้นให้กับพระนางเพคะ”
กงเสียนเฟยได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะชอบใจ “อย่างนี้เอง เจ้าต้องการให้ข้าช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คน แผนนี้นับว่าไม่เลว แต่เจ้าก็รู้ ข้าเป็นเพียงสนมตำแหน่งเล็กๆ เลือกข้าจะดีแล้วหรือ”
แม้พูดแบบนั้น แต่แววตาของกงเสียนเฟยกลับระงับความตื่นเต้นไม่ไหว
ลู่ซินฟางตอบอย่างไม่ลังเล “เป็นพระสนมดีแล้วเพคะ”
ณ วังหลวง
หลังจากเกี้ยวของกงเสียนเฟยมาถึงวังหลวง พระนางก็ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าในทันที
“สตรีนางนั้นเป็นอย่างไร เหมาะสมกับองค์ชายแปดหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถาม
กงเสียนเฟยย้อนคิดถึงแววตาอันเฉียบแหลมของลู่ซินฟาง ทั้งวิธีการพูด น้ำเสียง ล้วนแล้วแต่วางตัวดีอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเลย
หลังจากใคร่ครวญสักครู่ กงเสียนเฟยก็ตอบออกไปตามความจริง
“หากบอกว่านางเหมือนกับหม่อมฉันสมัยยังสาว นั่นก็ออกจะน่าอายเกินไป เพราะลู่ซินฟางคนนี้มีความคิดความอ่านเหนือว่าหม่อมฉันมากเพคะ”
พระขนงของฮ่องเต้เลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ขนาดนั้นเชียว?”
“ฝ่าบาทคงไม่อยากเชื่อสิ่งที่หม่อมฉันพูด แต่ว่า ทันทีที่พระองค์เห็นร้านค้าของนางแล้ว พระองค์จะเข้าใจเองเพคะ” กงเสียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ ทำให้ฮ่องเต้อย่างรู้ขึ้นมาแล้วว่า ลู่ซินฟางคนนี้จะเป็นสตรีเช่นไร
“ชักอยากเห็นร้านค้าของนางขึ้นมาแล้วสิ”
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ