บทที่ 3
มิติมหัศจรรย์
พอกินหมั่นโถอิ่ม ลู่ซินฟางเก็บถ้วยชามล้าง
นางมองที่ดินเล็กๆ กับบ้านไม้ซอมซ่อ ในหัวครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มปรับปรุงจากตรงไหนก่อนดี ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะเริ่มจากการถอนหญ้าในแปลงผักเสียก่อน จากนั้นค่อยไปเก็บฟืนมาตุนไว้
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์อาสาช่วย
ใจจริงลู่ซินฟางอยากให้เด็กๆ ไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่สีหน้าของเฉิงเอ๋อร์นั้นแสดงออกว่ากำลังกังวล คงกลัวว่าถ้าไม่จับตามองท่านแม่ให้ดีๆ ท่านแม่ก็จะเป็นลมเป็นแล้งจนล้มป่วยไปอีก
เห็นอย่างนั้น ลู่ซินฟางอดใจอ่อนไม่ได้
หญิงสาวบอกให้เด็กทั้งสองมาช่วยกันกำจัดวัชพืชในสวนผัก ถ้าเบื่อแล้วจะไปวิ่งเล่นก็ได้
ที่ดินที่ลู่ซินฟางอยู่นี้มีขนาดไม่ถึงสองหมู่ (1 หมู่ = 166 ตารางวาโดยประมาณ) ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ลู่ซินฟางก็จัดการกับแปลงผักที่เต็มไปด้วยหญ้าเรียบร้อย ก่อนจะไปเก็บฟืนต่อ และยังไปตักน้ำที่ลำธารมาเติมให้เต็มตุ่ม
เย็นวันนั้น นางกับลูกทั้งสองกินหมั่นโถกับผัดผักที่หาได้จากสวนหลังบ้าน
พอพาลูกๆ เข้านอนแล้ว ลู่ซินฟางย่องออกมานอกบ้าน หลบซ่อนตัวเองในความมืด จากนั้นก็กางมือออกไปข้างหน้า
วูบนั้น ประตูมิติเปิดออก
นางก้าวผ่านประตูมิติข้ามไปยังอีกโลกหนึ่ง
โลกเดิมของลู่ซินฟางนั้น คนส่วนใหญ่ล้วนมีพลังพิเศษ ตัวนางเองก็เช่นกัน แม้จะเป็นพนักงานกินเงินเดือนต้อกต๋อย แต่ก็มีประตูสู่มิติมหัศจรรย์
เมื่อตอนกลางวัน นางเอาหมั่นโถออกมาจากมิติแห่งนี้
มิตินี้เป็นเหมือนโลกๆ หนึ่ง ตอนได้มิตินี้มาเป็นตอนที่โลกมนุษย์ถูกรุกรานจากประตูที่เรียกว่าเกท(ประตูสู่ดันเจี้ยน) หลายคนต้องเสียครอบครัวจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ลู่ซินฟางก็เช่นกัน
จากเหตุการณ์เฉียดตาย หลายคนได้รับการปลุกพลัง ส่วนใหญ่แล้วจะได้พลังสายต่อสู้ พลังรักษา พลังสนับสนุน
ปีต่อมา หลังจากรัฐบาลประกาศว่าควบคุมเหตุการ์การรุกรานของสัตว์ประหลาดได้แล้ว ผู้ถูกปลุกพลังต้องขึ้นทะเบียนเป็นฮันเตอร์ แต่ลู่ซินฟางที่มีมิติมหัศจรรย์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการต่อสู้ครั้งนั้นและไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย จึงไม่ได้ลงทะเบียนว่าเป็นบุคคลมีพลังพิเศษ ใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติทั่วไป
มิติแห่งนี้เดิมทีเป็นเพียงป่าเขาธรรมดา
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ลู่ซินฟางใช้เวลาว่างพัฒนามิติจนกลายเป็นฟาร์มขนาดย่อมๆ นางยังเป็นเพื่อนกับเหล่าสัตว์อสูรที่อาศัยในต่างมิตินี้ด้วย สำคัญกว่านั้นคือ...
“เจ้านาย คิดถึงจังเลย!”
“หลิน!”
ตอนนั้นเอง ภูตตัวจิ๋วตัวเล็กเท่าฝ่ามือโผเข้ากอดลู่ซินฟาง
มิติแห่งนี้มีภูตน้อยคอยดูแล
ภูตน้อยมีชื่อว่า ‘หลิน’ ที่มาจากคำว่าเซินหลินแปลว่าป่าไม้
ตอนรู้จักกันครั้งแรก รอบตัวมีแต่ป่าเขากว้างไพศาล
หลินไม่มีเพศ เกิดขึ้นพร้อมกับมิติแห่งนี้ หน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ชอบใส่กางเกงเพราะทะมัดทะแมงมากกว่า ตอนนั้นลู่ซินฟางไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อให้อย่างไรจึงเรียกว่า หลิน สั้นๆ คำเดียว แต่อีกฝ่ายก็ชอบชื่อนี้มาก
“จะเอาหมั่นโถเพิ่มเหรอ”
ภูตน้อยพูดพร้อมกับเสกหมั่นโถออกมาตะกร้าหนึ่ง
ลู่ซินฟางหัวเราะ “หมั่นโถที่เพิ่งได้มาเยอะพอแล้ว ข้าอยากได้เชือกฟาง”
“เชือกฟาง?” หลินทวนคำ ก่อนจะร้อง อ๋อ จากนั้นเชือกฟางม้วนใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าลู่ซินฟาง
“ขอบคุณมากนะ หลิน”
“หลินเป็นเด็กดี หลินจำเจ้านายได้”
ตอนเข้ามาในมิตินี้ด้วยร่างใหม่ หลินไม่ลังเลที่จะโผกอดลู่ซินฟาง พร้อมกับร้องว่า เจ้านาย เหมือนอย่างทุกครั้ง ลู่ซินฟางเดาว่า มิตินี้เชื่อมต่อด้วยวิญญาณ หลินจดจำนางจากวิญญาณ ไม่ใช่หน้าตา
“เชือกฟางของหลินแข็งแรงและเหนียวนุ่ม เจ้านายอยากได้อีกไหม”
“เอาเท่านี้ก่อน”
เชือกฟางนี้ ลู่ซินฟางเคยนำเข้ามาในมิติ ถักรองเท้าและเสื้อผ้าให้กับตุ๊กตา หลินมีความสามารถในการก๊อปปี้ แค่สัมผัสสิ่งนั้นครั้งเดียวก็ก๊อปปี้ออกมาได้แล้ว
“เจ้านายจะเอาไปทำชุดตุ๊กตาเหรอ”
“เอาไปถักรองเท้าคู่ใหม่”
พูดพร้อมกับก้มมองรองเท้าที่ใกล้ขาดของตัวเอง
หลินมองตามก็เห็นว่ารองเท้าที่เจ้านายสวมเก่าจวนเจียนจะขาดก็ทำหน้าว่าเข้าใจแล้ว
“ข้าว่าจะถักมาให้หลินด้วย อยากได้สักคู่ไหม”
“อืม อยากได้” หลินตอบ จากนั้นก็ลอยมานั่งบนหัวไหล่ของลู่ซินฟาง “เจ้านาย ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่าง เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างมากกว่านี้ เรามานั่งดื่มชาแล้วข้าจะเล่าให้ฟังนะ ใจจริงก็อยากพาเพื่อนใหม่มาให้หลินรู้จักด้วย แต่ยังไม่ถึงเวลา”
“เพื่อนใหม่ เย่!”
สำหรับหลินที่ออกไปข้างนอกไม่ได้ สิ่งตื่นตาตื่นใจก็คือเรื่องเล่า และของฝากที่ลู่ซินฟางนำเข้ามาในโลกใบนี้
ลู่ซินฟางไม่อยากหายไปนานๆ จึงบอกหลินว่าจะกลับออกไปก่อน ตอนนี้นางไม่ได้ตัวคนเดียว หากเด็กทั้งสองตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอจะตกใจเอา
ภูตจิ๋วโบกมือหย่อยๆ “แล้วมาอีกนะ เจ้านาย”
“คราวหน้าจะเอาของอร่อยๆ มาฝาก”
หลินกระโดดโลดเต้นกลางอากาศด้วยความดีใจ
สำหรับลู่ซินฟาง หลินคือคนเดียวที่นางไว้ใจได้ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ตลอด 10 ปีมานี้ นางไม่เคยพาใครเข้ามาที่นี่ ดังนั้นก่อนจะพาเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เข้ามาต้องดูปฏิกิริยาทั้งสองฝ่ายก่อน
ที่ดินที่ลู่ซินฟางอาศัยอยู่นี้ใกล้กับตีนเขา วันต่อมา นางวางแผนจะเข้าไปในป่าเก็บฟืน หาของป่า และวางเบ็ดทิ้งไว้เพื่อตกปลาด้วย
ตอนที่ลู่ซินฟางสะพายตะกร้าขึ้นหลัง เป่าเอ๋อร์ร้องอยากตามมาด้วย เฉิงเอ๋อร์เองก็เช่นกัน
นางลังเล มองขาที่เล็กและสั้นของเด็กทั้งสอง พวกเขาคงเดินตามนางเข้าป่าไม่ไหวแน่ แต่ถ้าเป็นแถวๆ ลำธารก็พอได้อยู่ แม้แถวนั้นเก็บฟืนได้น้อย แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะนางยังมีมิติ หากอาหารไม่พอคงงต้องอาศัยจากทางนั้นก่อน
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้พวกเราไปแค่แถวลำธารกันก็พอ”
“อือ!”
เด็กๆ พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
เดินผ่านทุ่งนาสีเขียวขจีจนมาถึงลำธาร ลู่ซินฟางหยิบเบ็ดที่ซ่อนไว้ออกมา
เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด ถึงจะสงสัยเรื่องเบ็ดเหมือนกับที่สงสัยหมั่นโถ แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะท่านแม่สัญญาแล้วว่าจะบอก
“เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ พวกเจ้ากลัวไส้เดือนหรือไม่”
เด็กทั้งสองส่ายหน้า ทั้งยังเข้าใจความหมาย ทั้งสองหากิ่งไม้แถวๆ นั้นแล้วนั่งยองๆ ขุดดินหาไส้เดือน
ลู่ซินฟางทำเบ็ดขึ้นมา 3 คัน ใส่เหยื่อแล้วก็ปักไว้ข้างลำธาร
“เอาละ หาฟืนกันต่อได้”
แต่เพิ่งเหลียวหลัง สายเบ็ดก็สั่น นั่นหมายความว่าปลาติดเบ็ดแล้ว
“ท่านแม่ ท่านแม่!” เป่าเอ๋อร์กระโดดพลางร้อง นิ้วเล็กป้อมชี้ไปในลำธาร
นางกับลูกๆ เห็นอย่างนั้นก็รีบช่วยกันดึงเบ็ดขึ้น
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์แรงน้อย พยายามดึงเบ็ดจนหน้าแดงหน้าเขียว
ลู่ซินฟางออกแรงเพิ่ม แล้วในที่สุดพวกนางก็ได้ปลาตัวใหญ่!
ไม่เพียงเท่านั้น เด็กทั้งสองยังสนุกกับการตกปลาครั้งแรกด้วย
วันนั้นแม้จะเก็บฟืนกลับบ้านได้น้อย แต่ก็มีปลากินจนอิ่มท้อง
บทที่ 86ผู้หญิงกับงูพิษ (ครึ่งหลัง) “ถะ แถวนี้มีหมาป่าด้วยหรือ!” นางเหอถามลูกชายพร้อมขยับร่างอวบอ้วนเบียดเข้าไปนั่งข้างในสุดของห้องโดยสาร “ของพรรค์นั้นจะมีได้อย่างไร นี่ ท่านแม่ สิ่งที่พวกเราต้องกลัวตอนนี้คือตระกูลจี๋ไม่ใช่หรือ!” เหอถิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พร้อมตวาดใส่มารดา “แม่ฟังผิดไปเอง นั่นไม่ใช่เสียงของหมาป่า เจ้าอย่าอารมณ์เสียงนักเลยนะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอาได้” แม้จะมั่นใจว่านั่นเป็นเสียงของหมาป่า กระนั้น นางเหอกลับยอมเอ่อออตามเพื่อเอาใจลูกชาย “แต่ถ้าไม่รีบกลับไปอธิบายให้คนตระกูลจี๋เข้าใจ ตำแหน่งของข้าก็จบสิ้นเหมือนกัน” คนขับรถม้ารับจ้างที่อยู่ด้านนอก ได้ยินทุกคำพูดของคนว่าจ้าง อดจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอาไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ทั้งเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว สักวันกรรมจะต้องตามสนอง! บรู๋วววว เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำ หนนี้ยังยังดังใกล้เข้ามาทุกที คนขับรถม้ารับจ้างร้องสะดุ้งตัวโหยงด้วยความกลัว แต่ด้วยความรับผิดชอบของผู้ถูกจ้าง เขาพยายามควบคุมสติ บังคั
บทที่ 85ผู้หญิงกับงูพิษ (ครึ่งแรก) แม้ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในร้านจะกลับมาสงบดั่งเดิม แต่หัวใจของลู่ซินฟางยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด ใบหน้าและในลำคอร้อนผ่าวเหมือนคนมีไข้ ลู่ซินฟางรินชาดื่มเข้าไปหลายจอก หากกลับไม่สามารถดับความร้อนได้ ท้ายที่สุด ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมรับ ว่าอาการว้าวุ่นใจเป็นเพราะคำพูดของกงเยียนซู ในตอนนั้น กงเยียนซูแค่พูดออกไปตามสถานการณ์ นางจะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้เด็ดขาด เมื่อสรุปเช่นนั้น ลู่ซินฟางก็สูดหายใจเข้าเต็มปลอดเพื่อพยายามสงบใจ จากนั้นตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า สักครู่หนึ่ง ประตูห้องก็มีเสียงเคาะเบาๆ ก่อนหลางไป๋จะเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง “ข้ามาบอกนายหญิงว่าจะออกเดินทางเลยขอรับ ตอนนี้ซินหลินพาหมิงฮวาออกมาจากมิติแล้ว” ลู่ซินฟางพยักหน้าแล้วตอบ “อืม ระวังตัวด้วยนะ แล้วก็ ห้ามฝืนตัวเองเกินไปนัก” “ขอรับ นายหญิง” “ถึงเจ้ากับซินหลินจะศึกษาเส้นทางมาก่อนแล้ว หรือต่อให้กงเยียนซูเตรียมการล่วงหน้าไว้ให้ แต่ห้ามประมาทเด็ดขาดเลยนะ” ลู่ซินฟางย้ำด้วยความกังวลอีกค
บทที่ 84เหอถิงถึงคราวซวย เหอถิงถึงคราวจบสิ้นแล้ว! แม้จะใช้เวลาเตรียมการถึงสี่วัน แต่ผลลัพท์ที่ได้ถือว่าไม่เลว…กงเยียนซูคิดพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น ในขณะที่มองความลนลานบนใบหน้าสองแม่ลูกตระกูลเหอ ทางด้านของเหอถิง ได้แต่มองกงเยียนซูกับลู่ซินฟางสลับไปมาด้วยความสงสัย ตามหลักความจริง ตระกูลจี๋ที่อยู่เมืองชิ่งไม่ควรรู้การเคลื่อนไหวของเหอถิงในเมืองเล่ออันรวดเร็วถึงเพียงนี้ นอกเสียจากจะมีใครบางคนส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปบอก และคนคนนั้นต้องมีฐานะที่น่าเชื่อถือ ทันใดนั้น เหอถิงก็เบิกตาโพลง มองไปที่กงเยียนซูด้วยสังหรณ์ร้ายแปลกๆ “คุณชายเป็นใครกันแน่!” กงเยียนซูคลี่ยิ้มมุมปาก แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตาม “ก่อนมาที่เมืองเล่ออัน จี๋หลิน ภรรยาของเจ้าไม่ได้บอกเอาไว้หรอกหรือ ว่าคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยมากที่สุดคือเจ้าของโรงเตี๊ยมตระกูลกง” คำพูดเหล่านั้นทำเอาเหอถิงได้แต่ยืนแข็งทื่อ ไม่เพียงรู้จักตระกูลจี๋ ชายคนนี้ยังรู้ว่าจี๋หลินที่เป็นภรรยาของเขา อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าจี๋หลินจะเคยเตือนให้ระวังคนส
บทที่ 83กงเยียนซูประกาศต่อหน้าทุกคน (ครึ่งหลัง) “ของปลอม?” กงเยียนซูถามซ้ำ “ใช่แล้ว มันคือของปลอม” เหอถิงยังคงแถอย่างหน้าด้านๆ “ที่แท้ก็เช่นนี้” กงเยียนซูตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ทางด้านลู่ซินฟาง ไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ เช่นกัน หากทว่า ยิ่งทั้งสองนิ่งเงียบเท่าไร บรรยากาศรอบตัวยิ่งกดดันอย่างน่าประหลาดมากขึ้นเป็นเท่าตัว เหอถิงสังหรณ์ใจกับท่าทีแปลกๆ ของทั้งสองคน แต่แล้ว ในฉับพลันนั้นเอง กงเยียนซูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ “ฮะๆ” เหอถิงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “คุณชาย มีอะไรให้ขำหรือ?” กงเยียนซูกลั้นขำ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ชายแก่แซ่กงหรือ เป็นเรื่องตลกที่ข้าเพิ่งเคยได้ยินเลย” “ถึงข้าไม่เคยเห็นหน้า แต่ชายคนนั้นมีตัวตนจริงแท้แน่นอน” “คนในเมืองเล่ออันพูดเช่นนั้นหรือ พวกเขาบอกว่าคนแซ่กงเป็นชายแก่ๆ หรือ” กงเยียนซูทำทีเป็นถามเหอถิง “เรื่องนี้…” เหอถิงลังเล เพรา
บทที่ 82กงเยียนซูประกาศต่อหน้าทุกคน (ครึ่งแรก) เข้าสู่วันที่สาม ที่เหอถิงกับมารดาแสดงบทรันทดอยู่หน้าคฤหาสน์ของลู่ซินฟาง แต่การแสดงที่ซ้ำซาก บวกกับคำพูดเดิมๆ ทำให้ชาวบ้านหมดความสนใจพวกเขาในที่สุด เมื่อแผนเรียกร้องความสนใจไม่ได้ผล แม่ลูกตระกูลเหอจึงเปลี่ยนมาแอบดู ‘ชู้รัก’ ของลู่ซินฟางที่หน้าโรงเตี๊ยมตระกูลกงแทน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงตัวกงเยียนซูกลับยากยิ่งกว่า จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาแก่แซ่กงคนนั้นสักครั้ง นอกจากจะทำได้แค่ขุดคุ้ยข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แม่ลูกตระกูลเหอกลับเข้าไม่ถึงตัวเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นลู่ซินฟาง เฉิงเอ๋อร์ หรือเถ้าแก่กง ในที่สุด พวกเขาก็คิดว่าแผนเรียกร้องความสนใจเริ่มไม่มีประโยชน์แล้ว ทางด้านลู่ซินฟางนั้น ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติทุกวัน ทั้งที่คิดว่าเหอถิงจะลงมือหนัก อย่างการจ้างคนมาชิงตัวเฉิงเอ๋อร์หรือบุกร้าน กลับกันแล้ว พวกเขาเลือกวิธีโง่ๆ ด้วยการสร้างข่าวลือปลอม อาศัยคำติฉินนินทาของฝูงชน กดดันให้ลู่ซินฟางอับอายจนต้องยอมพาเฉิงเอ๋อร์ออกมา หารู้ไม่ วิธีพวกนั้นไม่ได้
บทที่ 81บุรุษอันตรายทั้งสอง บ่ายคล้อย แสงแดดยังสาดส่อง ณ โรงเตี๊ยมตระกูลกง ชายหนุ่มสองคนกำลังหาลือธุระสำคัญอยู่ในเรือนรับรอง ในเวลานั้น เสียงเคาะประตูดังจากด้านนอกสองสามครั้ง จากนั้นจิ่นเซี่ยก็เปิดประตูเข้ามา “นายท่าน…” จิ่นเซี่ยพูดเพียงเท่านั้นแล้วปิดปากลง สายตาเหลือบมองหลางไป๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกงเยียนซูอย่างลังเล “ต่างฝ่ายต่างลงเรือลำเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง เจ้าพูดมาเถอะ จิ่นเซี่ย” กงเยียนซูบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตายังกวาดมองรายการสินค้าบนกระดาษที่อยู่ในมือ ทางด้านองครักษ์หนุ่ม หลังจากได้รับอนุญาต เขาก็รายงานเรื่องข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดทั่วเมืองเล่ออัน คร่าวๆ แล้วเป็นเรื่องของลู่ซินฟางที่ร่วมมือกับกงเยียนซูปลอมแปลงใบหย่า แล้วพาลูกหนีออกจากบ้านเหอ บัดนี้ เหอถิงผู้เป็นสามีได้เดินทางมาจากเมืองชิ่งเพื่อพาภรรยากับลูกกลับ แต่ถูกลู่ซินฟางกีดกันไม่ให้เจอลูก พอฟังจบ กงเยียนซูกับหลางไป๋ก็แหงนหน้าหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ฮะๆๆ ฮะๆ” จิ่นเซี่ยมองคนทั้งสองด้วยความงุน