บทที่ 35
ย้ายบ้านอีกรอบ
เมื่อลู่ซินฟางกับหลางไป๋กลับมาถึงที่ร้าน ทุกๆ คนก็เข้ามาห้อมล้อม ถามด้วยความห่วงใย
“นายหญิง โจรพวกนั้นได้รับโทษตามสมควรหรือไม่ แล้ว...ตัวต้นเหตุทำอะไรกับท่านหรือเปล่าเจ้าคะ” ชุนถาม ในน้ำเสียงมีความขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“นายหญิง ต่อไปนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้ท่านเอง!” สยงจวินโพลงเสียงดัง และยังยืดอกให้เห็นกล้ามที่ทรงพลัง
“นายหญิง...ท่านปลอดภัยดีสินะ”
“นายหญิง...พวกเราเป็นห่วงท่านมากเลย”
ลูกจ้างทุกคนให้ความสำคัญต่อลู่ซินฟางมาก เห็นแล้วอดรู้สึกซึ้งใจไม่ได้จริงๆ
“เอาละ นายหญิงเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าหลบไปก่อน” หลางไป๋แหวกทางให้ลู่ซินฟางเข้าไปนั่งพัก
“ท่านแม่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ”
“ท่านแม่ พวกนั้นรังแกท่านอีกแล้วหรือ”
หลังจากลู่ซินฟางนั่งลง เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ก็พุ่งเข้ามากอดขา ดวงหน้าน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตากลมโตไร้เดียงสาของเด็กน้อยยังมีน้ำตาเม็ดโตขังคลอ
ถึงตอนนี้ท่านแม่จะไม่ได้อ่อนแอเหมือนก่อนแล้ว แต่ท่านแม่ก็คือท่านแม่ ขาดนางไปพวกเขาคงอยู่ไม่ได้
ลู่ซินฟางลูบศีรษะเล็กๆ ของเจ้าแฝดตัวน้อยพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่มีใครรังแกแม่ได้ทั้งนั้น”
“ฮือ ท่านแม่” เป่าเอ๋อร์ฟุบหน้าลงกับตักของลู่ซินฟาง สะอื้นจนไหล่เล็กๆ สั่น
“ข้าเองก็กลัวมากเลยท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์กอดมารดา พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
หัวใจของลู่ซินฟางอ่อนยวบและเต็มไปด้วยความเศร้า
“โถ พวกเจ้าคงตกใจไม่น้อยเลย โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคนดี พวกเจ้าดูสิ แม่ไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ” นางพูดพลางลูบแผ่นหลังเล็กๆ ของลูกชายและลูกสาวเป็นการปลอบโยน ถึงอย่างนั้น เด็กทั้งสองยังคงฟุบหน้ากับตักของนาง
“ถึงนายหญิงจะพูดว่าไม่เป็นอะไร แต่ทุกคนเป็นห่วงท่านมากจริงๆ เจ้าค่ะ” ชุนย้ำ
ลู่ซินฟางไม่ใช่แค่นายหญิงของร้านค้าซินหลิน แต่เป็นเจ้านายในโลกต่างมิติ ตั้งแต่ครอบครองมิตินั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่าสัตว์อสูรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นางเป็นเหมือนอนาคตและแสงสว่าง
ระหว่างที่ลู่ซินฟางพยายามปลอบลูกๆ หลางไป๋ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลาว่าการ รวมถึงคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างกงเยียนซู
ชุนกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม
“ทำไมมนุษย์ฝั่งนี้ถึงได้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก แถมยังมีสมองผิดเพี้ยนอีก นายหญิงจะเป็นแม่หม้ายได้อย่างไร ในเมื่อ…อุบ!”
ก่อนที่ชุนจะพูดจบ หลางไป๋รีบปิดปากของนาง
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์มองชุนที่ถูกหลางไป๋ปิดปากด้วยดวงตาใสแป๋ว ตอนนี้อารมณ์เศร้าหมองของเด็กทั้งสองสงบลงแล้ว แต่ก็ไม่วายเป็นห่วง จึงยังกอดเอวท่านแม่ไม่ยอมปล่อย
“อะไร!” ชุนดึงมือของหลางไป๋ออกจากปาก แหวเสียงแหลมใส่ทันที
“เจ้าลองมองนายหญิงตอนนี้ดีๆ สิ” หลางไป๋เตือนอย่างอ้อมๆ
ไม่ใช่แค่ชุน แต่ทุกคนที่มารวมตัวกันในห้องโถงต้องมองลู่ซินฟางเป็นตาเดียว
รูปลักษณ์เดิมของลู่ซินฟางคือหญิงสาววัยยี่สิบปลาย ผมสั้นปะบ่า และมักสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงอยู่เสมอ ทว่า ลู่ซินฟางปัจจุบันคือหญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ ร่างกายผอมบาง และยังมีลูกแล้ว
เห็นอย่างนี้ทุกคนก็ตระหนักได้ นายหญิงของพวกเขาเคยตายไปแล้วหนหนึ่ง หากก็โชคดีที่ได้ร่างใหม่ ทั้งยังเข้าออกโลกต่างมิติได้เหมือนเดิม
ไม่ว่าร่างกายของนายหญิงจะเปลี่ยนเป็นใคร นายหญิงก็คือนายหญิงของพวกเขา
ชุนก้มหน้าอย่างเชื่องซึม “ข้าลืมไป ขอโทษ”
“หลางไป๋ เมื่อกี้เจ้าบอกว่านายหญิงได้คฤหาสน์มาหรือ คฤหาสน์เป็นอย่างไร เจ้าได้ไปดูแล้วหรือยัง” สยงจวินถามอย่างกระตือรือร้น
ลู่ซินฟางได้ยินพวกเขาพูดคุยมาถึงตรงนี้ พลันนึกขึ้นได้ว่านางได้คฤหาสน์เป็นค่าสินไหมจากกงเยียนซู จึงหันไปบอกกับสยงจวินว่า “สยงจวิน ข้าอยากให้เจ้าพาซินหลินกับหลางไป๋ไปตรวจสอบคฤหาสน์หลังนั้นหน่อย หากไม่มีอะไรน่าสงสัยก็คิดว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นทันที”
“ท่านจะย้ายเข้าไปอยู่จริงๆ หรือขอรับ?” หลางไป๋ถามอย่างแปลกใจ
“ในเมื่อได้คฤหาสน์มาแล้ว ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดายไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่เห็นด้วย” ซินหลินโพลง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อทุกคนที่นี่ล้วนแต่จ้องทำร้ายเจ้า...ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น”
“ใครว่าข้าจะลงหลักปักฐานแค่ที่นี่ที่เดียวล่ะ” นางย้อน
ซินหลินเอียงศีรษะ ไม่เข้าใจ
ลู่ซินฟางยิ้มลึกลับ แล้วยื่นมือไปวางบนศีรษะเจ้าขี้เก็ก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่บนโลกนี้ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยเต็มร้อยหรอกนะ อีกอย่าง ข้าเองก็มีแผนจะขยายกิจการไปตามเมืองต่างๆ อยู่แล้ว ที่ทำได้ในตอนนี้คือค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าอาจเจอสถานที่ที่อยู่แล้วสบายใจกว่านี้ก็เป็นได้”
บนโลกนี้ยังมีสถานที่อื่นอีกเยอะแยะ ส่วนเมืองเล่ออันเป็นแค่บันไดขั้นแรกในการสร้างรากฐานความมั่งคั่ง!
ซินหลินครุ่นคิด สักพักก็ขยับศีรษะขึ้นลง “อย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว”
“ยังไงก็เถอะ วันนี้ดูเหมือนจะเปิดร้านไม่ได้แล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนหรือเที่ยวเล่นชมเมืองกันตามสบายเถอะนะ หรืออยากกลับบ้านไปหาครบครัวก็ได้”
เหล่าสัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์หันมองหน้ากัน เพียงครู่ก็ตอบว่า “พวกเราจะอยู่กับนายหญิงขอรับ/เจ้าค่ะ”
ลู่ซินฟางยิ้มอ่อนโยนให้กับทุกๆ คน ก่อนหันไปทางสยงจวิน หลางไป๋และซินหลิน
“เรื่องคฤหาสน์ ข้าขอรบกวนพวกเจ้าทีนะ”
“พวกข้าจะรีบไปรีบกลับขอรับ” สยงจวินรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
หลางไป๋กับซินหลินพยักหน้า
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ออกจากร้านเพื่อไปตรวจสอบคฤหาสน์ที่ลู่ซินฟางเพิ่งรับมา
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ