บทที่ 52
สินค้าใหม่
ภายในห้องโถงของเรือนรับรองหลังร้านซินหลิน ลู่ซินฟางนั่งพิจารณาแก้วที่เพิ่งผลิตออกมามาดๆ เป็นแก้วชารูปทรงเรียบมนธรรมดา ไม่มีลวดลายอะไร แต่แก้วชาใบนี้ไม่มีรอยตำหนิ ทั้งยังใสแวววาว
โรงผลิตเครื่องแก้วที่ต่างมิติสร้างเสร็จได้สักพักแล้ว วัตถุดิบใช้ทำแก้วคือผลึกหินที่หาได้จากในถ้ำ
โดยปกติ วัตถุดิบในต่างมิติจะมีพลังเวทแฝงอยู่ เหมือนกับสมุนไพรที่ลู่ซินฟางนำมาให้ชิงเหลียนดื่มบำรุงร่างกาย
ด้วยเหตุนี้ หลินจึงทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบพลังเวทที่แฝงในวัตถุดิบ
ผลึกนี้มีพลังเวทอยู่เพียงเล็กน้อย ไม่มีผลพิเศษใดๆ ต่อผู้ใช้งาน เพียงแค่มีความทนทานเท่านั้นเอง
และด้วยผลจากพลังเวทที่อยู่ในผลึกหิน ทำให้การเป่าแก้วประสบผลสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก
เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ปัญหาก็คือ…
“ข้าควรวางขายราคาเท่าไรดีล่ะ”
ลู่ซินฟางนั่งคิดเรื่องนี้มาสักพักใหญ่แล้ว แต่ก็คิดไม่ตกเสียที
นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตั้งราคาอย่างไรให้เหมาะสม สำหรับคนยุคนี้ สินค้าที่นางนำมาวางขายล้วนเป็นแรร์ไอเทม ทั้งคุณภาพทั้งวัตถุดิบล้วนเป็นของชั้นดี หากตั้งราคาสูงเกิน เกรงว่าจะขายได้แค่ครั้งเดียว ขณะเดียวกัน หากตั้งในราคาที่ต่ำก็จะไม่คุ้มทุน
“เฮ้อ…”
นางถอนหายใจอย่างจนปัญญา ท้ายที่สุดก็ตั้งราคาให้แพงกว่าตะเกียงแก้วเล็กน้อย
“สี่ตำลึงเงินแล้วกัน”
ราคาเท่านี้ไม่ทำให้คนสูงศักดิ์ขนหน้าแข้งล่วง
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูช่วยดึงสติของลู่ซินฟางกลับมาปัจจุบัน
“เข้ามา”
หลังได้รับอนุญาต ประตูถูกเปิดจากด้านนอก จากนั้นหู่จือเหมยก็ยื่นหน้าผ่านกรอบประตูแล้วบอก “นายหญิง เถ้าแก่เจิ้งมารับสินค้าเจ้าคะ”
ตอนอยู่ที่ต่างมิติ พี่น้องกระต่ายหู่จือเคยเรียนอ่านเขียนกับหลางไป๋มาบ้าง วันนี้เลยไม่ต้องไปเรียนวิชาของหลางไป๋ แต่หากเป็นวิชาคิดเลขของชิงเหลียน พวกเขาจะหยุดงานเพื่อไปเข้าเรียน
ลู่ซินฟางพยักหน้า “ของเตรียมไว้พร้อมแล้ว เจ้าช่วยไปบอกอาจิ้นให้ขนสินค้ามาที่หน้าร้านทีนะ”
“เจ้าค่ะ”
หู่จือเหมยรับคำแล้วออกไปยังหน้าร้านเพื่อทำงานของนางต่อ
วันนี้เป็นวันรับสินค้าล็อตที่ 2 ตามใบนัดในสัญญา เจิ้งหานบอกว่าหลังจากตะเกียงแก้วล็อตแรกนำไปวางขาย สินค้านี้ก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีคนสั่งจองเพิ่ม
แม้เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะอยากขายทีเดียวให้ได้เยอะๆ แต่แบบนั้น คุณค่าของตะเกียงแก้วจะลดลงทันที
พอคิดมาถึงตรงนี้ ลู่ซินฟางก็เดินมาถึงห้องรับรองที่อยู่ชั้นสองของร้าน
“เถ้าแก่เจิ้ง เดินทางไปกลับระหว่างเมืองเช่นนี้ลำบากท่านแล้ว”
“ลำบากอะไรกัน แค่เห็นเงินความเหนื่อยก็หายไปหมด” เจิ้งหานพูดปนขำ
ลู่ซินฟางหัวเราะอย่างเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ถึงจะเหนื่อยจากการเดินทาง แต่พอเห็นกำไรเป็นกอบเป็นกำเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ
“ตะเกียงแก้วล็อตใหม่เตรียมเรียบร้อยเจ้าค่ะ กำลังขนออกจากโกดัง ประเดี๋ยวท่านไปตรวจสินค้าได้เลย”
เจิ้งหานพยักหน้า แล้วนำตั๋วเงินออกมาให้ลู่ซินฟางตรวจสอบ ในตอนที่นางวางของบางอย่างลงบนโต๊ะ เจิ้งหานตาเบิกโตด้วยความสนใจ
“นั่นคือแก้วหรือ!”
“ใช่เจ้าค่ะ เป็นสินค้าใหม่ที่เพิ่งผลิตและทำสำเร็จวันนี้ ข้ากำลังตรวจความเรียบร้อย” ลู่ซินฟางบอกพลางยิ้มอย่างลำบากใจ
“ขอดูได้หรือไม่”
ลู่ซินฟางตอบ “เชิญเลยเจ้าค่ะ” แล้วยื่นแก้วให้กับเจิ้งหาน
แก้วใบนี้มีขนาดเท่าจอกชา ก้นมนเรียบ ความหนาพอดี
ชายสูงวัยพิจารณาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ
“เป็นงานละเอียดมาก ขายเท่าไรหรือ”
“เอ่อ”
ลู่ซินฟางลังเล
เห็นแบบนี้ เจิ้งหานจึงถามว่า “คงลังเลเรื่องตั้งราคาใช่หรือไม่ ข้าขอล่วงเกินสอนเถ้าแก่เนี้ยลู่สักเล็กน้อยได้หรือเปล่า”
“รบกวนเถ้าแก่เจิ้งแล้ว” นางบอกด้วยความเต็มใจ
“สินค้าของร้านซินหลินล้วนเป็นของดีมีคุณภาพ ทั้งยังเป็นสินค้าแบบใหม่ ยังไม่มีคู่แข่ง ในช่วงนี้ต่อให้ตั้งราคาสูงยังไงก็ขายได้ ข้าไม่ได้หมายความว่า ต่อให้มีคู่แข่งแล้วจะขายราคาถูก แบบนั้นก็จะลดทอนสินค้าให้ดูเป็นของคุณภาพต่ำ หากเจ้าคำนวนต้นทุนและกำไรอย่างดีแล้ว ถึงจะมีราคาที่สูงหน่อย เวลาบอกราคากับลูกค้า ก็ควรแสดงออกอย่างมั่นใจ” เจิ้งหานชี้แนะอย่างมีเหตุผล
“ข้ายังอ่อนหัด ขอบคุณที่ท่านช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ”
“การเติบโตของร้านซินหลินยังไปได้อีกไกล มีตรงไหนไม่เข้าใจก็ปรึกษามาได้เลย อีกอย่าง นายท่านใหญ่ของร้านไฉฟู่ก็ออกปากว่าพร้อมสนับสนุนเถ้าแก่เนี้ยลู่”
ลู่ซินหลินยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
หลังจากกำหนดราคาเรียบร้อย เจิ้งหานก็สั่งจองแก้วชาชุดใหม่นี้แบบไม่ลังเล ทั้งยังจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้า
“สี่ตำลึงเงินต่อหนึ่งชุด นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว”
“เอ๊ะ!?”
หญิงสาวเผลอตัว ส่งเสียงด้วยความแปลกใจ
เจิ้งหานเลิกคิ้วแล้วถาม “มีอะไรหรือ”
“ไม่รอดูของจริงก่อนหรือ เถ้าแก่เจิ้งเชื่อใจข้าขนาดนี้เชียว?”
ทันทีที่ลู่ซินฟางถามจบ เจิ้งหานก็ถอนหายใจเหมือนว่าเป็นเรื่องเล็ก
“ข้าเชื่อใจเถ้าแก่เนี้ยลู่ อย่าว่าแต่แก้วชาที่เป็นสินค้าใหม่ ต่อให้เป็นชาดอกไม้ ข้าก็ยังสั่งจองล่วงหน้าอยู่ดี อย่างที่ข้าบอกไป สินค้าในร้านซินหลินล้วนเป็นของดี เต็มไปด้วยคุณภาพ”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างปลื้มใจ ลูกค้าที่เชื่อใจแม่ค้าหน้าใหม่แบบนี้ เกรงว่าต้องรักษาเอาไว้ให้ดีๆ เสียแล้ว
ก่อนออกเดินทางต่อ เจิ้งหานซื้อผลไม้กับใบชาจำนวนมากของร้านซินหลินกลับไปด้วย
สามวันต่อมา ร้านซินหลินเปิดตัวชุดแก้วชาแบบใหม่ในหนึ่งชุด มีแก้วทั้งหมดสามใบ พร้อมกับ
เพียงครึ่งเช้าของวันแรก ยอดสั่งจองเกิน 50 ชุด ส่วนใหญ่เป็นขุนนางและพ่อค้าจากต่างเมือง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ลู่ซินฟางไม่ต้องการให้พ่อค้าเหล่านี้เพิ่มราคาตามใจชอบ และไม่ต้องการให้ร้านที่ทุนหนาได้สิทธิ์ซื้อเพียงเจ้าเดียว ในสัญญาซื้อขายจึงระบุการตั้งราคาขายอย่างชัดเจน ทั้งยังเปิดจองสิทธิ์ร้านละ 10 ชุดเท่านั้น
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ