เข้าสู่ระบบทันทีที่ซ่งเจี้ยนหงก้าวเท้ากลับเข้าสู่จวน เขาก็ไม่รีรอที่จะสั่งให้สาวใช้ผู้มีรูปโฉมเย้ายวนที่สุดเข้ามาปรนนิบัติราวกับจะปลดปล่อยทุกความคั่งค้างในใจและกายให้สิ้นไปภายในห้องอันเงียบสงัด เสียงหอบหายใจและลมหายใจเร่งร้อนดังสะท้อนผนังห้องเป็นจังหวะ มือที่เคยกุมดาบสังหารศัตรู บัดนี้กลับลูบไล้ร่างของหญิงสาวด้วยความหิวกระหาย
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ร่างกายของซ่งเจี้ยนหงก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แววตาของเขาฉายความภาคภูมิราวกับขุนศึกผู้กลับมาจากสมรภูมิแห่งชัยชนะ ข้างกายคือเรือนร่างของสาวใช้ที่นอนแน่นิ่งหมดแรง เขาหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าฮ่า… ฟื้นคืนชีพแล้ว! ข้าฟื้นคืนชีพแล้ว!!” รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความหลงตัวเอง ความภาคภูมิใจ และ…ความโง่เขลา เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับเห็นทางสว่างของโลกใบใหม่ที่รอเขาอยู่
“คืนนี้ ข้าจะออกตะลุยย่านโคมแดง! ไม่ว่าสตรีนางใด แม้นางจะงามราวปีศาจหรือเย้ายวนเยี่ยงเทพธิดา…ข้าจะพิชิตพวกนางให้ยอมสยบหมดสิ้น!”
อีกฟากหนึ่งของเมือง ท่ามกลางความเงียบสงัดในจวนตระกูลหลาน แม่ทัพหลานซือเหยียนนั่งนิ่งอยู่เบื้องโต๊ะไม้เก่าแก่ พลางผูกม้วนจดหมายสั้นด้วยมืออันแน่วแน่ขนนกขาวสะท้อนแสงเทียนไหววูบ ก่อนที่นกพิราบจะบินทะยานออกจากหน้าต่าง เสียงปีกกระพือเบา ๆ ล่องลอยในยามราตรี
หลานเยว่คลี่จดหมายออกช้า ๆ ใต้แสงตะเกียงเลือนลาง แสงไฟไหววูบสะท้อนบนดวงตาคู่นั้นซึ่งเย็นชา ราบเรียบ...ไร้แววสะเทือนอารมณ์ ราวกับไม่มีความรู้สึกใดหลงเหลืออยู่ในใจ
"แผนขั้นถัดไป… เริ่มต้นแล้ว"
นางพับกระดาษอย่างระมัดระวัง และเผามันจนกลายเป็นเถ้าเล็ก ๆ บนถาดทองเหลือง ไม่มีคำใดเอ่ยออกจากริมฝีปากนาง… มีเพียงดวงตาที่แฝงแววคมกริบ คล้ายอสรพิษที่เฝ้ารอจังหวะงับเหยื่อคืนนี้…หลานเยว่จะไปย่านโคมแดง
นางไม่ได้ไปในฐานะหญิงสาวที่เคยถูกเหยียบย่ำ ไม่ใช่หญิงอ่อนแอในวันวาน แต่จะไปในฐานะ ผู้ดู ผู้เป็นพยานของการล่มสลายที่เงียบงัน...และเจ็บลึกนางอยากเห็นกับตา เห็นใบหน้าของชายผู้เคยหยิ่งผยอง ชายที่เคยใช้ตนเป็นเครื่องเล่น
ใบหน้า...ในยามที่ศักดิ์ศรีของเขาเริ่มสลายไม่ใช่เพราะดาบ ไม่ใช่เพราะไฟสงคราม หากแต่เป็นเพราะพิษที่กัดกินวิญญาณเขาอย่างช้า ๆ จากภายใน จนในที่สุดก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเปลือกของผู้ชายที่เคยหยิ่งทะนงค่ำคืนนี้ หลานเยว่จะไม่ยื่นมือเข้าไป ไม่เอ่ยคำ ไม่เปิดเผยตัว… นางจะดู เท่านั้น
ยามราตรีที่ดาวพร่างพราวเต็มผืนฟ้า อากาศเย็นสบายพัดแผ่วผ่านสายลม บรรยากาศเหมาะแก่การหลับใหลสำหรับผู้คนส่วนมากในเมืองหลวง...แต่ไม่ใช่สำหรับย่านโคมแดง
ย่านนี้ไม่มีคำว่า กลางคืน มีเพียงการเริ่มต้น ของความลุ่มหลงและมัวเมา เสียงพิณ เสียงขลุ่ย ผสานเสียงหัวเราะระรื่นของสาวงามล่องลอยมาแต่ไกล โคมแดงนับร้อยแขวนไกวเบา ๆ ราวกับคอยเชื้อเชิญผู้หลงทางให้เข้ามาติดบ่วง เพลิงสีแดงสะท้อนบนพื้นหินชื้น เงาของหญิงงามยามเดินผ่านช่างน่าหลงใหลเสียยิ่งกว่าภาพในความฝัน
ตึกแถวยาวสลับซับซ้อนเต็มไปด้วยโรงน้ำชา โรงบ่อน โรงสุรา และเรือนนางโลม ผู้คนแต่งกายหรูหราเดินขวักไขว่ ส่วนมากเป็นขุนนาง กระเป๋าหนัก หรือบัณฑิตหนุ่มหน้าตาดีที่อยากหาประสบการณ์ใต้แสงจันทร์ในหมู่ผู้คนเหล่านั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏกายอย่างโดดเด่น…ซ่งเจี้ยนหง
เขาสวมอาภรณ์เนื้อดีสีเข้ม ขลิบทองประณีตทุกตะเข็บ ดวงตาคมกริบเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รอยยิ้มบนริมฝีปากดูเจ้าเล่ห์และกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับนักล่าที่มั่นใจว่าจะได้เหยื่อในค่ำคืนนี้ มือข้างหนึ่งถือพัด อีกข้างเหน็บถุงเงินหนักอึ้งไว้ข้างเอว เสียงเงินกระทบกันเบา ๆ ทุกครั้งที่เขาก้าวเดินคือเสียงประกาศอำนาจของบุรุษผู้หนึ่งที่คิดว่าตนกำลังจะ ได้บางสิ่งคืนมา
คืนนี้…เขามาที่นี่เพื่อ พิสูจน์ความเป็นชาย พิษที่แฝงเร้นในร่างยังไม่สำแดงอาการออกมาอย่างเด่นชัด หลังจากความมั่นใจเคยถูกทำลาย เขากลับรู้สึกว่าไฟในกายลุกโชนขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เพียงรสสวาท แต่คือ ชัยชนะเหนือความอัปยศที่กัดกินใจ
เขาย่างเท้าเข้าสู่ย่านโคมแดงอย่างภาคภูมิ เหล่าสาวงามต่างหันขวับเมื่อเห็นเขา รอยยิ้มของพวกนางหวานหยดยิ่งกว่าน้ำผึ้งฤดูใบไม้ผลิ สายตาหยาดเยิ้มทอดผ่านม่านบางเบา ดั่งจะล่อลวงจิตวิญญาณแต่ไม่มีใครรู้เลย...
ใต้รอยยิ้มแห่งชัยชนะของซ่งเจี้ยนหง มีบางสิ่งกำลังรอเวลาเผยตัวและในเงามืด... ที่มุมตึกด้านหนึ่ง หญิงสาวร่างบางสวมผ้าคลุมปิดหน้า ยืนเงียบอยู่ท่ามกลางแสงโคมแดง ดวงตาเรียบนิ่ง ราวกับน้ำแข็งที่ไม่ละลายหลานเยว่ มาถึงแล้วนางมาเพื่อดูด้วยตาตนเอง...
แม่ทัพหลานซือเหยียนเองเขาก็มาถึงแล้วต่างจากผู้มาเยือนทั้งหลาย ชายผู้นี้สวมหน้ากากสีดำเนื้อดีที่ปิดบังใบหน้าครึ่งล่าง แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราสง่างามจากผ้าไหมชั้นดี ท่วงท่าแม้จะนั่งนิ่ง แต่ก็มีรังสีบางอย่างที่ทำให้เหล่าหญิงงามไม่กล้าเข้าใกล้โดยพลการข้างกายเขา วางถุงเงินใบโตที่แน่นหนาจนแทบปริออก หากใครล่วงรู้จำนวนเงินที่อยู่ภายใน คงมีหวังสิ้นสติในบัดดล
เขาจิบสุราด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย แต่ในสายตาแฝงไว้ด้วยเปลวเพลิงแห่งแผนการ…สาวงามนางหนึ่งขนาบอยู่ข้างกาย อีกนางเทสุราให้อย่างนอบน้อม ทุกยิ้ม ทุกท่วงท่า ล้วนถูกจัดเตรียมไว้เพื่ออำนวยให้ แผนเดินหน้าอย่างสมบูรณ์
แม่ทัพหลานซือเหยียน…ไม่ได้มาเพื่อหาความสำราญเขามาเพื่อจัดฉาก คืนนี้ เขาต้องการเห็นทุกสิ่งดำเนินไปตามบทที่เขาเขียนไว้ความอัปยศของซ่งเจี้ยนหง ความพินาศของความภาคภูมิในความเป็นบุรุษ...และเหนือสิ่งอื่นใด สายตาเย็นชาของบุตรสาวตนเอง ที่จะเป็นประจักษ์พยานความเงียบในจิตใจของเขา ขับขานบทเพลงแห่งการล้างแค้นเงียบงัน ราวกับนักเชิดหุ่นที่บรรจงดึงด้ายทีละเส้น
ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ไหวเบา ๆ กลางย่านโคมแดง แม่ทัพหลานซือเหยียนยื่นเหรียญทองแวววาววางลงบนฝ่ามือของหญิงงามผู้หนึ่ง หญิงสาวที่ได้ชื่อว่ามีเรือนร่างเย้ายวนที่สุดในหอคณิกาแห่งนี้ ผิวพรรณนวลเนียนราวหิมะ ดวงตาเฉียบคมฉายแววเจนโลก เสียงหัวเราะเบา ๆ ของนางสามารถปลุกเลือดให้ไหลเวียนในร่างชายใดก็ได้...แต่ไม่ใช่กับเขา
แม่ทัพหลานซือเหยียนเหลือบมองนางเพียงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างเรียบง่าย หากกลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ไม่อาจขัดขืน
“หลังจากนี้ เจ้าจงเรียกหญิงสาวทุกนาง...ที่ได้รับใช้ซ่งเจี้ยนหง มาพบข้าให้หมด” หญิงสาวก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าค่ะ...นายท่าน” แม้ภายนอกจะดูเชื่อฟัง แต่ดวงตาของนางกลับวูบไหวด้วยความโลภและความหวัง นางรู้ดีว่า บุรุษผู้นี้มิใช่คนธรรมดา และหากสร้างความประทับใจให้เขาได้มากพอ...ผลตอบแทนอาจเกินกว่าแค่เหรียญทองเพียงหนึ่ง
นางเก็บเหรียญทองไว้แนบอก เสมือนจะปิดบัง คำสั่งลับ ไว้กับหัวใจ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยก้าวย่างอ่อนช้อย แต่มีเป้าหมายแน่ชัด เงาของนางค่อย ๆ จางหายไปในม่านหมอกของกลิ่นสุราและกลิ่นเครื่องหอมขณะที่แม่ทัพหลานซือเหยียน ยังคงนั่งนิ่ง ทอดสายตาออกไปยังถนนสายแคบที่คึกคักด้วยเงาคน เขาไม่ได้สนใจเหล่าสตรีที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ใจของเขาไม่เคยหวั่นไหวกับความงามที่แลกมาด้วยเสียงหัวเราะปลอม
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อปล่อยใจ...แต่มาเพื่อ ปลดปมปมอดีตที่เขาเองเป็นผู้ผูกไว้กับมือ
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







