LOGINทันทีที่ร่างสูงสง่าของซ่งเจี้ยนหงหยุดยืนเบื้องหน้าหอนางโลมชื่อดังย่านโคมแดง กลิ่นหอมจางของดอกไม้แห้งและสุราหมักลอยคลุ้งมากับสายลมค่ำคืน หญิงวัยกลางคนที่รูปร่างยังคงสง่างามรีบก้าวเข้ามาต้อนรับ นางคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้อดีตดอกไม้แห่งนคร ผู้เคยทำให้ขุนนางน้อยใหญ่คลุ้มคลั่งถึงขั้นล้มเมืองเพื่อช่วงชิงเพียงค่ำคืนกับนาง
แม้ยามนี้ผมหงอกแซมขมับ และรอยยิ้มจะปิดรอยเหนื่อยล้าแห่งกาลเวลา แต่นางยังคงเปี่ยมไปด้วยอำนาจแห่งการควบคุมอารมณ์บุรุษ ดวงตาเฉียบคมจับจ้องซ่งเจี้ยนหงราวกับมองทะลุความคิด
“คุณชาย...” เสียงนุ่มละมุนเอ่ยขึ้น พลางก้มศีรษะน้อย ๆ อย่างนอบน้อม “ค่ำคืนนี้ ท่านปรารถนาสตรีเช่นใด ข้า...จะจัดหานางให้สมกับศักดิ์ศรีของท่าน”
ซ่งเจี้ยนหงสูดลมหายใจลึก…แต่กลับรู้สึกถึงความพร่าเลือนภายใน ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้ม แต่ภายในใจกลับหม่นมัว ดวงตากวาดมองหญิงงามหลายสิบชีวิตที่ยืนเรียงรายราวกับเครื่องเซ่นในพิธีกรรมเก่าแก่ แต่แทนที่จะปลุกเร้าความปรารถนา…กลับมีเพียงเงาของความกังวลแฝงอยู่ลึกในใจ
“ข้าต้องการสตรีที่เร่าร้อนดุจเปลวเพลิง…นางที่สามารถพาข้าล่องลอยไปสู่โลกแห่งความฝัน คืนนี้ข้าจะไม่ยอมหลับใหล หากยังไม่ตายอยู่ในอ้อมแขนนางนั้น”
น้ำเสียงของซ่งเจี้ยนหงเปล่งออกมาอย่างมั่นคง ดวงตาของเขาทอแววหิวกระหายราวเปลวเพลิงในพายุฤดูหนาว เขายืดอก หยิ่งผยองในรสชาติเชี่ยวชาญแห่งราตรี เหมือนนักล่าผู้เคยผ่านสนามรบแห่งเรือนร่างมาอย่างโชกโชน
หญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของหอโลมยิ้มมุมปาก เงาดวงตาของนางสะท้อนทั้งความพึงพอใจและเล่ห์เหลี่ยมเมื่อเห็นถุงเงินอวบแน่นที่ชายหนุ่มเหน็บไว้แนบเอว นางพยักหน้าเบา ๆ
“ท่านพูดเช่นนี้ ข้าย่อมไม่อาจละเลยได้ ข้าจะเลือกสิ่งที่...ดีที่สุดให้คุณชาย” กล่าวจบ นางหันหลังกลับไปยังประตูม่าน แล้วเปล่งเสียงเรียกสาวงามเพียงคำเดียวไม่นานนัก สตรีนางหนึ่งก็ก้าวออกจากม่านผ้าเรืองรอง นางก้าวเดินเชื่องช้า ราวกับทุกย่างก้าวเป็นบทกวี ภายใต้แสงโคมแดง ผิวขาวดุจหยกงาช้างสะท้อนแสงอ่อน พลันเมื่อซ่งเจี้ยนหงสบตากับนาง ดวงตาเขาก็เบิกโพลง ความปรารถนาแล่นวาบขึ้นจากสันหลังไล่ถึงลำคอราวถูกสายฟ้าฟาด
“ข้าเลือกนาง...นางผู้นี้!” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน แทบไม่รอให้หญิงงามกล่าวคำใดออกมา ใจของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยความปรารถนา และมากยิ่งกว่านั้นคือความหวาดกลัว…กลัวว่าหากปล่อยให้นางหลุดมือไป แม้เพียงครึ่งลมหายใจ อาจจะมีคนชิงตัดหน้าเสียก่อน
ภายในห้องหอ บรรยากาศรอบกายช่างชวนลุ่มหลง ผ้าม่านโปร่งบางไหวระริกใต้แสงโคมแดง กลิ่นเครื่องหอมอวลอยู่ในอากาศ เสียงพิณแว่วเบาดังมาจากห้องข้างเคียง ทุกอย่างเหมือนถูกจัดวางเพื่อจุดไฟแห่งราคะให้ลุกโชน...แต่ในความเป็นจริง กลับเยียบเย็นกว่าความตายซ่งเจี้ยนหงยืนนิ่ง สีหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและโกรธเกรี้ยว
แม้นางคณิกาตรงหน้าจะเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิงเย้ายวน ความงดงามของนางก็ไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็น...ตัวเขาเองไม่มีการตอบสนองจากร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย ดั่งสิ่งที่เคยภาคภูมิใจที่สุดของบุรุษ กลับกลายเป็นเพียงเศษซากที่ไร้ชีวิตเขาเคยเชื่อว่าตนคือชายผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามใด ไม่ว่าจะในสนามรบหรือร่างกายของสตรี...แต่ค่ำคืนนี้ทำลายทุกอย่าง
"เจ้าก็...ทำอะไรสักอย่างสิ!" เสียงตวาดของเขาดังลั่น ราวคนที่กำลังจมน้ำในเงาตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตำหนินาง แต่เพื่อหนีจากความอับอายที่กัดกินหัวใจเขาเบือนหน้าหนี ก่อนจะโบกมือไล่นางออกจากห้องโดยไม่แม้แต่สบตา
"ออกไป...ข้าไม่ต้องการเจ้าอีกแล้ว เรียกคนอื่นมา..." น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว ทว่าสั่นเครือในตอนท้าย เพราะสิ่งที่สั่นสะท้าน...ไม่ใช่เพียงเสียง หากคือเกียรติทั้งหมดของเขาเอง เวลาผ่านไป...สตรีมากหน้าหลายตาเวียนเปลี่ยนเข้ามา แต่ไม่ว่านางใดจะมีวาทศิลป์หรือความเย้ายวนเพียงใด ก็ไม่อาจปลุกสิ่งที่หลับใหลอยู่ในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมาได้อีก
ซ่งเจี้ยนหง ยิ่งพยายาม...ก็ยิ่งถลำลึกสู่ความสิ้นหวัง ศักดิ์ศรีที่เคยแน่นิ่งดั่งหินผาในสนามรบ วันนี้กลับสั่นคลอนเพียงเพราะร่างกายของเขาไม่ตอบสนองตามใจและในเวลาเดียวกันนั้น...เบื้องหลังม่านความวุ่นวายในย่านโคมแดง บรรดาสตรีที่เคยรับใช้เขาต่างมายืนเรียงแถวเบื้องหน้าแม่ทัพหลานซือเหยียนเขาฟังทุกคำเล่าอย่างสงบ...ก่อนจะยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ริมฝีปากค่อย ๆ คลี่ยิ้มจาง
“งั้นหรือ...หนอนน้อยของเขายังคงหลับใหล” เขากล่าวด้วยเสียงเบาแต่ก้องกังวานแม่ทัพเอื้อมมือหยิบถุงเงินถุงใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะค่อย ๆ ผลักมันไปเบื้องหน้า
“รับสิ่งนี้ไป แล้วทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้สมบูรณ์...บอกเล่าคืนนี้ให้ทุกคนในย่านโคมแดงได้รับรู้ ว่าซ่งเจี้ยนหงวีรบุรุษผู้หาญกล้าในสนามรบไม่อาจเอาชนะศึกบนเรือนร่างสตรีได้แม้แต่คนเดียว”
ซ่งเจี้ยนหงก้าวออกจากห้องหออย่างเชื่องช้า ร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งทะนง บัดนี้ดูทรุดโทรมไม่ต่างจากเงาของตนเอง กล้ามเนื้อที่เคยกำยำกลับห่อเหี่ยว สายตาที่เคยคมกริบคล้ายนักล่า บัดนี้หม่นหมองและหลบเลี่ยง แม้ภายนอกหอนางโลมจะครึกครื้นด้วยเสียงดนตรี รอยยิ้ม และกลิ่นสุรา แต่สำหรับเขาแล้ว...ทุกสิ่งกลับดูจืดจาง เหมือนเสียงเหล่านั้นไกลเกินจะเอื้อมถึง ราวกับเขาหลุดออกมาจากโลกใบเดิม
ทว่าทันทีที่เขาก้าวพ้นบานประตูออกมา สายตานับสิบก็พุ่งตรงมาหาอย่างพร้อมเพรียง ไม่ใช่ด้วยความชื่นชมดังเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย เจือความสมเพชเวทนาเสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นจากมุมมืด
“เงียบเป็นศพเชียว... หรือว่านกกระจอกจะไม่กินน้ำเข้าเสียแล้ว?”
เสียงหัวเราะแผ่วต่ำจากกลุ่มชายแปลกหน้าแผ่กระจายดั่งโรคร้าย
“มะเขือเผาแห่งตระกูลซ่ง! ฮ่าฮ่า!”
เสียงเหล่านั้นราวกับคมมีด กรีดลึกเข้าไปในศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร ซ่งเจี้ยนหงขบกรามแน่น ใบหน้าซีดเผือดแล้วแดงซ่านคล้ายไฟสุมในอก
“มันเป็นไปไม่ได้...” เขากระซิบกับตัวเอง ดวงตาเบิกโพลง เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตกใจและความโกรธแค้นเขาหันรีหันขวางเหมือนคนหลงทาง หูยังคงได้ยินเสียงเยาะเย้ยที่ไม่หยุดหย่อน ราวกับคนทั้งย่านต่างรู้พร้อมกันหมดแล้วว่า ซ่งเจี้ยนหง ขุนพลหนุ่มผู้เคยเชือดศัตรูนับร้อยในสนามรบ บัดนี้กลับปราชัยให้กับศึกในเรือนหออย่างสิ้นท่า เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะและคำซุบซิบนินทาที่เหมือนระฆังแห่งความอัปยศ ซ่งเจี้ยนหงเร่งฝีเท้าออกจากย่านโคมแดง วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับพยายามหนีเงาของตนเอง
หลานเยว่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของเรือนน้ำชาเก่าแก่ ที่ตั้งตัวอยู่เงียบงันท่ามกลางเสียงครึกครื้นของย่านโคมแดง ไฟโคมสีแดงนวลสะท้อนแสงอ่อนบนใบหน้าของนาง แต่แววตากลับไร้ซึ่งประกายชีวิต
เบื้องหน้า...ร่างของชายผู้หนึ่งเดินเซผ่านฝูงชน สีหน้าแดงก่ำด้วยโทสะและความอับอาย ซ่งเจี้ยนหง บุรุษผู้ครั้งหนึ่งเคยย่ำยีเกียรติของนางด้วยฝ่าเท้า ยามนี้กลับถูกสังคมย่ำยีด้วยเสียงหัวเราะของฝูงชน
หลานเยว่ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างแผ่วเบา กลิ่นใบชาหอมกรุ่นแผ่ซ่านขึ้นในอากาศ แต่หาได้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใด ๆ นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองร่างของชายผู้นั้นด้วยความว่างเปล่า...ว่างเปล่าจนชวนให้ขนลุก
“เจ้ามันช่างน่าเวทนา...” เสียงของนางเอ่ยเบา ราบเรียบ ไม่ใช่ด้วยความโกรธ ไม่ใช่ด้วยความสมเพชอย่างแท้จริง หากเป็นการสรุปคำพิพากษาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







