Masukถนนยามค่ำคืนยังคงสว่างไสวด้วยแสงโคม แว่วเสียงผู้คนคึกคักอยู่ไกล ๆ หลานเยว่จูงมือบุตรชายตัวน้อยก้าวเดินออกจากย่านงานเทศกาลไปยังเส้นทางกลับจวน รอยยิ้มอ่อนโยนยังประดับอยู่บนใบหน้าเมื่อก้มลงมองลูก แต่ในความสงบนั้น ดวงตาคมใต้แพขนตายาวกลับฉายประกายเยือกเย็น แฝงแววระแวดระวังที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เงามืดสองข้างทางยังคงเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียน คนเหล่านั้นพยายามเก็บฝีเท้าและลมหายใจจนแผ่วเบา แต่ทว่า…สำหรับนาง เสียงเพียงหนึ่งจังหวะที่คลาดเคลื่อนก็ชัดเจนยิ่งกว่าความว่างเงียบที่รายล้อม พวกมันอาจคิดว่ากำลังกลืนหายไปกับความมืด แต่ต่อหน้านางผู้ที่เคยโลดแล่นในสมรภูมิเลือดและความตายพวกมันไม่ต่างอะไรกับมือสมัครเล่นที่ยังไม่เคยผ่านราตรีอาบเลือดจริง ๆ
นางจับได้ทุกฝีเท้าที่แอบตามหลัง เสียงลมหายใจที่สั้นยาวไม่สม่ำเสมอ ล้วนบอกชัดว่าอีกฝ่ายมิใช่คนธรรมดา หากเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมา แต่ก็ยังอ่อนด้อยเกินไปในสายตานาง หากนางอยู่เพียงลำพัง…ศพของพวกมันคงกองเรียงรายจนถนนยามค่ำคืนกลายเป็นลำน้ำเลือดไปแล้ว
ทว่าขณะนี้ มือเล็ก ๆ ของหลานจิ่วอวิ๋นกำลังแกว่งไปมาอย่างร่าเริง เสียงหัวเราะใสของเด็กน้อยดังขึ้นท่ามกลางแสงโคมลอยที่ปลิวคว้าง นางจึงเพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งที่ในใจกลับเย็นเยียบ
“น่ารำคาญนัก…” นางคิดในใจ พลางก้าวเดินต่อไปอย่างสงบ
จนกระทั่งร่างสองแม่ลูกเลือนหายเข้าไปในจวนเงียบสงบ เงามืดทั้งหลายที่คอยสะกดรอยจึงรีบสลายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ราตรีที่ปกคลุมฟ้าเหนือเมืองหลวงมืดสนิทราวกับม่านดำหนา ทว่าในห้องเงียบแห่งหนึ่ง มีเสียงรายงานดังขึ้นต่ำพร้อมเงาร่างที่คุกเข่าลง
“คุณชาย… สตรีนางนั้น… เป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน”
ถ้อยคำนั้นเพิ่งหลุดออกมาไม่ทันขาดห้วง จ้าวหย่งหยูพลันชะงัก ดวงตาที่หม่นหมองพลันสว่างวาบดุจเปลวไฟสาดประกายยามค่ำคืน ความคุ้นเคยที่กวนอยู่ในห้วงจิตได้รับคำตอบชัดเจนเสียที หลานเยว่ คือบุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพหลานซือเหยียน ขุนศึกผู้เกรียงไกรแห่งแผ่นดิน
ริมฝีปากที่เบี้ยวคดของเขาขยับช้า ๆ คล้ายกำลังลิ้มรสถ้อยคำในใจ ภาพสตรีที่ถูกผู้คนทั้งเมืองล้อเลียนว่า “มีเพียงความงาม หากแต่ไร้พรสวรรค์ปราณ เป็นสตรีไร้ค่า” ฉายวาบขึ้นมา เขารู้สึกถึงเสี้ยวของโชคชะตาความโดดเดี่ยวที่นางแบกรับช่างคล้ายกับตน… ผู้ที่ทั้งชีวิตถูกโลกเย้ยหยัน
แววตาเขาสั่นสะท้าน ความปรารถนาท่วมท้นผุดขึ้นในห้วงจิตดุจคลื่นทะเลกระแทกฝั่ง มือที่บิดเบี้ยวของเขาค่อย ๆ ยกขึ้น กอดก่ายเรือนร่างนวลของหญิงงามที่นั่งข้างกายสตรีรับใช้ที่อยู่เพื่อปลอบประโลมยามค่ำคืนแต่ในดวงตาของเขากลับมิได้มองเห็นนาง หากกำลังวาดภาพใบหน้างดงามสงบนิ่งของ หลานเยว่
“โชคชะตาเจ้าช่างเหมือนข้านัก…”เสียงแหบพร่าเอื้อนเอ่ยออกมาช้า ๆ เต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันลึกล้ำ“หรือว่าฟ้าจะส่งให้เรา… เกิดมาเป็นคู่กัน”
ยิ่งในห้วงคิดปรากฏโฉมหน้าของ หลานเยว่ มากเท่าใด เพลิงราคะในกายของจ้าวหย่งหยูยิ่งปะทุรุนแรง ราวกับสตรีทั้งมวลบนโลกนี้ล้วนไร้ค่า เว้นเพียงนางผู้เดียวที่กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความใคร่และความคลุ้มคลั่งในหัวใจเขาเขาโน้มกายลง ใช้ปากที่บิดเบี้ยวเปล่งเสียงกระซิบแหบพร่าใกล้ริมหูสาวใช้ ลมหายใจร้อนผ่าวรดรินจนขนลุกซู่
“จ…จงทำ…ให่ะ…ข้า…พะ…พอใจ…”เสียงติดขัดเหมือนคนลิ้นแข็งแต่แฝงแรงบีบบังคับดุจโซ่ตรวน“เ…เดี๋ยว…ข้าจะ…จะ…มีรางวลล…ให้เจ้า…หึหึ…”
“เจ้าค่ะ นายท่าน” สาวใช้ตอบเสียงแผ่วพลางทำทีเขินอาย ราวกับว่าตรงหน้าเป็นบุรุษรูปงามหาใช่ชายพิการไม่ หากแต่ในใจนาง…สิ่งเดียวที่นางมองเห็นคือ เงินตรา ความปรารถนาของเขา คือราคาค่าจ้างของนางเมื่อสตรีตรงหน้าตอบสนองจนเขาปล่อยกายสมใจแล้ว จ้าวหย่งหยูทิ้งตัวเอนพิงเบาะ พลันหัวเราะหอบหายใจ แววตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาแฝงการดูหมิ่นริมฝีปากเบี้ยวคดกระตุกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม“หึ…สตรี…ชั่ะ…ชั้นต่ำ…ก็แค่…ขี้…ขี้ข้า…ให้ข้า…ข้า…ระบายใคร่…”
ทันใดนั้น มือบิดงออันวิปริตกลับตวัดคว้าลำคอขาวเนียนของนาง บีบแน่นจนเสียงขลุกขลักดังลอดออกมา
“น…นายท่าน…” สาวใช้พยายามเปล่งเสียง แต่ในที่สุดถ้อยคำก็ดับวูบพร้อมประกายตาที่ค่อย ๆ มืดลง สติของนางดับสูญไปในอ้อมแขนของปีศาจผู้สวมร่างมนุษย์อย่างสิ้นเชิง จ้าวหย่งหยูปล่อยมือที่บิดงอออกจากลำคอขาวเนียน ร่างของสาวใช้ทรุดฮวบลงกับพื้นเย็นเฉียบ ไร้ลมหายใจ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ดวงตาขุ่นหมองฉายแววเบื่อหน่ายปนดูถูก ราวกับสิ่งที่นอนแน่นิ่งตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงเศษสกปรกชิ้นหนึ่ง
ริมฝีปากเบี้ยวขยับช้า ๆ เสียงที่ลอดออกมาขาดห้วง แหบพร่าและสั่นกระทบลิ้นแข็ง“น…นำร่าง…โสโครก…นี่ ไป…ทิ้ง…ทิ้งให้ไกล…จวน…ข้า”
บ่าวรับใช้ที่ยืนคอยด้านนอกรีบค้อมศีรษะรับคำทันทีโดยไม่กล้าแม้จะเหลือบตามอง “ขอรับนายท่าน”
ภาพเช่นนี้หาใช่ครั้งแรกไม่ในเงามืดเบื้องหลัง จ้าวหย่งหยูเคยสังหารสตรีมานับไม่ถ้วน ทุกนางที่ถูกใช้จนหมดค่า ล้วนมีจุดจบไม่ต่างกัน ถูกโยนทิ้งไปในความมืดราวเศษขยะไร้ชื่อ ไม่มีแม้ใครสักคนกล้าทวงถามสำหรับเขาแล้ว…สตรีเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากภาชนะราคาถูกที่ไว้รองรับตัณหาชั่วคราวมีเพียง หลานเยว่ เท่านั้น ที่เขายกขึ้นวางไว้บนแท่นสูงในห้วงจิต เป็นดั่ง สตรีเดียวในโลก ที่คู่ควรแก่ความคลุ้มคลั่งของตน
จ้าวหย่งหยู…คือบุรุษที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายพิการ บ่าหลังค่อม แขนขาบิดเบี้ยว ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด ตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็ถูกรายล้อมด้วยสายตาเหยียดหยามและเสียงหัวเราะเยาะเย้ย ผู้คนต่างมองเขาเป็นตัวประหลาดที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะยืนเคียงข้างใคร
วันเวลาผ่านไป ความพิการที่แท้จริงหาได้อยู่เพียงร่างกายไม่ หากแต่หยั่งรากลึกลงในหัวใจของเขาด้วย ทุกครั้งที่เห็นผู้ใดสง่างามกว่าตน ฉลาดหลักแหลมกว่าตน หรือแม้แต่เพียงยิ้มได้กว้างกว่าตน ความริษยาอันดำมืดก็จะกัดกินจนแทบคลุ้มคลั่ง สิ่งเดียวที่จะทำให้ความต่ำต้อยในใจเขาบรรเทาลงได้…คือการ ทำลาย
จ้าวหย่งหยูเชื่อเสมอว่า ผู้ที่ สมควรตาย คือผู้ที่เหนือกว่าเขา ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ไม่ว่าผู้ใดที่ก้าวขึ้นสูงจนทำให้เขารู้สึกด้อยค่าคนผู้นั้นล้วนเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกกำจัด
นับจากวัยเยาว์จนถึงวันนี้ มีผู้คนตกตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงเพราะผ่านสายตาและถ้อยคำตัดสินจากเขา ปีศาจที่ก่อร่างจากความเจ็บปวดและความอิจฉา…ได้ถือกำเนิดขึ้นในร่างพิการนี้แล้ว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







