Masukเช้าวันนั้น แสงแดดสาดลอดหน้าต่างบานกว้างเข้ามาในเรือนของ จ้าวหย่งหยู ภายในโถงเงียบสงบแต่กลับอบอวลด้วยความกดดันที่ไม่อาจมองข้าม ชายพิการร่างค่อมนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ มือที่บิดงอเกร็งสั่นเล็กน้อย ดวงตาขุ่นหมองพลันเปล่งประกายวาวโรจน์ยามเอ่ยปาก
“ข…ข้า…ต้ะ…ต้อ…งการ…ภาพ…ของนาง…”ริมฝีปากเบี้ยวคดขยับช้า ๆ ถ้อยคำติดขัดจนฟังยาก “ภาพ…ห…หละ…หลานเยว่…นาง…นางต้อง…ดู…มีชีวิต…ชีวา…เสมือนนาง…นั่ง…อยู่…ตรง…หน้า”
เสียงที่แหบพร่า สะอื้นขาดห้วง เสมือนสายโซ่หนักรัดรอบคอ แต่ทุกถ้อยคำกลับแฝงแรงบังคับและความคลั่งไคล้อย่างไม่อาจปิดบังได้เหล่าจิตรกรที่ถูกเชิญตัวมา นั่งคุกเข่าเรียงกันตรงหน้า ต่างพยักหน้ารับคำ ใบหน้าแต้มรอยยิ้มสุภาพเกินจริง แววตาแต่ละคนฉายชัดถึงความยินดีไม่ใช่เพราะเกียรติ หากเพราะรายได้ก้อนโตที่พวกเขาจะได้รับสำหรับงานง่าย ๆ เพียงวาดภาพสตรีผู้หนึ่ง
“คุณชายโปรดวางใจเถิด” จิตรกรวัยกลางคนผู้นำก้มหัวลง กล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าจะวาดให้…ดั่งกับว่าภาพนี้มีชีวิตจริง หากท่านทอดสายตาเมื่อใด ก็เหมือนนางกำลังจ้องตอบกลับมา”
คำสัญญานั้นยิ่งทำให้ดวงตาของจ้าวหย่งหยูสว่างวาบ มือพิกลที่วางอยู่บนเข่ากำเกร็งแน่นจนสั่น ดวงหน้าบิดเบี้ยวกระตุกยกเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจเรียกว่างดงามได้
“ด…ดึ…ดี…มะ…มาก…ถ้า…ถ้าเจ้า…ทำได้…ข้าจะ…จะ…ให้…รางวัล…ใหญ่…หึหึหึ…”
เสียงหัวเราะกระท่อนกระแท่นดังขึ้น คล้ายทั้งเจ็บปวดและชุ่มไปด้วยความปีติ แววตาของเขาไม่ได้จับต้องผู้ใดในห้องอีกเลย หากแต่ทอดไปยังภาพในใจโฉมหน้าของ หลานเยว่ ผู้เดียวเท่านั้น เวลาเพียงชั่วครู่ จิตรกรผู้มากฝีมือก็วางพู่กันลง ถอนหายใจยาวด้วยความภาคภูมิ ก่อนหันไปยกแผ่นภาพขึ้นอย่างมั่นใจ“เสร็จแล้วขอรับ…นายท่าน”
เขายิ้มกว้าง คล้ายมั่นใจว่าผลงานครานี้จะต้องทำให้นายท่านพึงใจอย่างแน่นอนแต่ทันทีที่ภาพถูกตั้งตรงเบื้องหน้า จ้าวหย่งหยู ดวงตาขุ่นหมองกลับเบิกกว้าง ริมฝีปากเบี้ยวคดสั่นระริก เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ ๆ ความเดือดดาลพลันพวยพุ่งขึ้นมาราวภูเขาไฟที่ปะทุเสียงแหบพร่าแตกห้วงเปล่งออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด“ไอ้…ไอ้สา…สารเลว! แก…กล้า…กล้าวาด…นาง…ในใจข้า…ออกมา…เป็…น…เช่นนี้…หรอ! ภาพ…ห่วยแตก…เช่นนี้…มันไม่…ไม่ใช่…เยว่…ของข้า!”
มือที่บิดงอสะบัดขึ้นชี้ตรงไปยังจิตรกร ตัวสั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ“ท…ทำลาย…มือมัน…ซะ! ข้า…ข้าไม่…อยากเห็น…มือโสโครก…นี่…อีก!”
จิตรกรผู้เคราะห์ร้ายหน้าซีดเผือดทันที ดวงตาเบิกกว้างจนเห็นเส้นเลือดปูด เขารีบคุกเข่าลง ก้มหัวกระแทกพื้นเสียงดัง โป๊ก น้ำเสียงสั่นพร่าเอื้อนเอ่ยด้วยความสิ้นหวัง“นายท่าน! ได้โปรด…ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าจะวาดใหม่ให้…จะวาดให้เหมือนนางที่สุด โปรดเมตตาด้วย!”
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา มีเพียงเสียงหัวเราะสั้นหอบหืดของจ้าวหย่งหยู ริมฝีปากบิดเบี้ยวแสยะยิ้มเหี้ยม เสียงกระท่อนกระแท่นลอดออกมาเหมือนปีศาจล้อเลียน“หึ…ข้า…ไม่…ไม่ทน…เห็นภาพอุจาด…ของเจ้า…อีกแล้ว… ข้า…คือ…ตัวยุติธรรม…จะไม่…ให้ผู้ใด…ต้องทน…ดูของห่วย…ของเจ้าอีก…” ดวงตาขุ่นหมองหันไปยังผู้ติดตามอีกครั้ง เสียงคำสั่งดังก้องห้วนสั้น“ท…ทำลาย…มือมัน!”
ไม่กี่อึดใจถัดมาเสียง ก๊อบแก๊บ ของกระดูกแตกหักก็ดังก้องพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนที่สะเทือนขวัญ ทุกคนในห้องต่างก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตานายท่านแม้แต่น้อยเลือดแดงสาดเปื้อนพื้น จิตรกรผู้เคยภาคภูมิในฝีมือบัดนี้เหลือเพียงร่างสั่นเทิ้ม มือทั้งสองแหลกเละ ใช้พู่กันไม่ได้อีกชั่วชีวิต เสียงสะอื้นอู้อี้ดังลอดไรฟัน
จ้าวหย่งหยูเอนกายพิงพนัก หอบหายใจแรงครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากเบี้ยวคดจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มกว้างออกมา แววตาขุ่นหมองฉายแสงพึงพอใจ ราวกับการได้เห็นผู้อื่นตกอยู่ในห้วงเคราะห์กรรมคือความสุขอันล้ำเลิศของเขา เสียงแหบพร่าเอื้อนเอ่ยออกมาทีละคำ ขาดห้วงและสั่นเครือ แต่เต็มไปด้วยแรงเยาะหยัน“เจ้า…ไม่…ไม่ต้องกลัว…อดตาย…หึหึ…”
ว่าจบ เขาก็ตวัดขันทองเหลืองใกล้มือขว้างใส่หัวของจิตรกรที่นอนพังพาบอยู่กับพื้น เสียง กัง! ดังสะท้อนในห้อง ร่างนั้นสั่นสะท้าน ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาและเลือดที่ไหลลงข้างขมับจ้าวหย่งหยูหัวเราะหอบเบา ๆ ก่อนกระซิบต่อ“ต่อไป…เจ้า…ไม่…ต้องวาด…ภาพ…ให้เหนื่อย…หึหึ…ก็ไป…ขอทาน…เอา…หาเลี้ยงชีพแทน…”
คำพูดนั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าโทษประหาร เพราะมันพรากทุกสิ่งที่ชายผู้นั้นภาคภูมิใจไปจนสิ้น ราวกับถูกโยนให้ไร้ค่าดั่งเศษผงสายตาของจิตรกรคนอื่น ๆ ที่ยืนรออยู่ด้านข้างพลันเต็มไปด้วยความหวาดผวา บางคนมือที่จับพู่กันสั่นระริก บางคนเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดทั่วหน้าผาก ความตั้งใจแรกที่จะร้องทักว่างานของตนเสร็จสิ้นแล้ว…กลับถูกกลืนหายไปจนสิ้น พวกเขารู้ดีว่าหากเพียงภาพวาดไม่ถูกใจคนโรคจิตผู้นี้ มือของตนก็จะตามรอยชะตาไม่ต่างจากคนแรก
ดังนั้น แม้จะเสร็จแล้ว…พวกเขาก็ยังฝืนวาดต่อ วาดแล้ววาดอีก ขีดเส้นใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตของตนให้นานที่สุดบรรยากาศในห้องอับชื้น กลับแน่นขนัดไปด้วยกลิ่นหวาดกลัว…และเสียงหัวเราะหอบพร่าของปีศาจในร่างพิการ
เวลาคล้อยผ่านไปเนิ่นนาน แต่ในห้องกลับยังคงเงียบกริบ มีเพียงเสียงพู่กันลากผ่านผืนผ้า เสียงหอบหายใจตื่นตระหนกของจิตรกรทั้งหลาย และเสียงหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา ทุกผู้คนพยายามยืดเวลาให้ตนเองรอดพ้นจากสายตาของปีศาจที่นั่งพิงเก้าอี้เบื้องบน
จ้าวหย่งหยู จ้องมองภาพวาดที่ยังไม่เสร็จสักชิ้นด้วยดวงตาหม่นหมองที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ริมฝีปากเบี้ยวคดกระตุกยกขึ้น เขาหอบหายใจถี่ ก่อนจะเปล่งเสียงขาดห้วงออกมา“ยัง…ยังไม่…เสร็จอีก…เหรอ…พวกเจ้า…ชักช้า…นัก…!”
เสียงนั้นแม้พร่าและติดขัด หากแต่ทุกถ้อยคำกลับแฝงแรงกดดันมหาศาลจนคนทั้งห้องสั่นสะท้านเขาสะบัดมือบิดเบี้ยวสั่งการทันที “เอา…มา! ข้าจะ…จะดูเอง!”
บ่าวรับใช้พุ่งเข้าไปฉีกผืนผ้าออกจากมือจิตรกร แม้เสียงร้องวิงวอนดังขึ้น แต่ก็ไร้ค่าในห้องที่ไร้ความเมตตา ทันทีที่ภาพถูกคลี่ออกเบื้องหน้าจ้าวหย่งหยู เขาชะงักเพียงชั่ววูบ ก่อนริมฝีปากคดจะบิดเบี้ยวกลายเป็นรอยยิ้มเหยียดต่ำ
“ขยะ…! เจ้ากล้า…เอาสิ่งนี้…มาลบหลู่…นางในใจข้า…เหรอ?”
ถ้อยคำสิ้นสุด เสียงกรีดร้องก็ระเบิดขึ้นทันใด เมื่อมือของจิตรกรผู้นั้นถูกบดขยี้จนแหลกเละ เลือดสาดกระเซ็นทั่วผืนผ้าภาพวาดเปรอะเปื้อนกลายเป็นสีแดงฉาน คล้ายล้อเลียนความสิ้นหวังที่ฉายอยู่ในดวงตาของชายผู้เคราะห์ร้ายเสียงสะอื้นดังแผ่วในหมู่จิตรกรที่เหลือ ทุกคนก้มหน้าสั่นระริก บางรายแทบล้มทั้งยืน ความหวาดกลัวเกาะกินจนแทบสิ้นสติ แต่ก็ยังถูกบีบให้วาดต่ออย่างไร้ทางเลือก
และแล้ว…เหตุนองเลือดนี้ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือของจิตรกรแต่ละคนถูกทำลายอย่างโหดเหี้ยม เมื่อภาพที่วาดไม่อาจเอื้อมถึงความคลั่งฝันอันบิดเบี้ยวของจ้าวหย่งหยู
สุดท้าย จากจิตรกรนับสิบ เหลือรอดเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนที่ยังคงมีมือครบถ้วน พวกเขาหน้าซีดเผือด ราวกับถูกขุดวิญญาณออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะต่างรู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้…อาจเป็นเพียงการรอวันเคราะห์ร้ายที่จะมาเยือนในไม่ช้า
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







