LOGINหลังจากเห็นพวกเขาตกลงมาและสลบไม่ได้สติ ตงฮวน หานเกอและองครักษ์อีกสามคนก็ออกมาจากที่ซ่อน หานเกอรีบโปรยยาสลบไปที่พวกเขาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสลบไปแล้วจริง ๆ
“นายน้อยเก่งมากเลยขอรับ ข้ามองแทบไม่ทัน” จือหยวนหนึ่งในองครักษ์เอ่ยชม แค่เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็สลบไสลไม่ได้สติ ยาของนายหญิงน้อยสุดยอดจริง ๆ “รีบเข้าไปช่วยพวกนางกันเถอะ” ตงฮวนรีบเอ่ยบอก เพราะไม่อยากชักช้า ต้องรีบกลับไปช่วยงานซิ่วอิง ท่าท่างของจือหยวนไปสะดุดสายตาของจือไฉ ที่แอบอยู่ในพุ่มไม้ ต้องใช่แน่ท่าทางแบบนี้ ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้แน่ ต้องเป็นน้องชายของเขาอย่างแน่นอน จือไฉรีบเด็ดใบไม้ออกมาเปา เป็นเพลงสมัยเด็กที่เขาใช้เป่ายามอยู่ในหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงเพลงลอยมา ซึ่งจือหยวนจำมันได้ดี เขาถึงกับตกตะลึง นี่มันเป็นเพลงที่พี่จือไฉชอบใช้ใบไม้มาเป่าเล่น ไวเท่าความคิดเขารีบมองหาที่มาของเสียง ก่อนจะร้องออกไป “นั้นท่านพี่ใช่หรือไม่ ข้าเองจือหยวน” จือไฉพอได้ยินเขายืนยันตัวตนเช่นนั้น ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะหันมาหาอดีตฮ่องเต้เฉินหมิงเจ๋อ “นายท่านใช่เขาจริง ๆ ขอรับ” ยามนี้พวกเขาจำเป็นต้องใช้คำพูด ธรรมดาทั่วไป เพราะไม่ต้องการให้รู้ ทุกคนพอรับรู้ว่า บุรุษผู้นั้นคือองครักษ์จือหยวน น้องชายของจือไฉ ก็แทบกลั้นน้ำตาความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ เฉินหมิงเจ๋อตัดสินใจ พาทุกคนเดินทางมาตายเอาดาบหน้า โดยไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร หากมาที่เมืองเหยียนฟางแล้ว ปรากฏว่าไท่ซ่างหวงและองค์ชาย ถูกสังหารทั้งหมดแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เพราะหนทางยามนี้ช่างมืดมน จือไฉรีบลุกและก้าวออกไปก่อน หากทุกอย่างเป็นหลุมพรางและกับดัก ก็จะมีเพียงเขาที่ตาย จือหยวนเห็นพี่ชายในสภาพมอมแมมเสื้อผ้าขาดลุ่ยดั่งขอทาน ก็สงสารขึ้นมาจับใจ “พี่ใหญ่! ท่านมาคนเดียวหรือขอรับ?” “ไม่ข้ามีเอ่อ…ทุกคน” เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น จือหยวนก็เข้าใจได้ทันที “คนนี้ นายน้อยตงฮวน คนนี้นายน้อยหานเกอ” “คารวะนายน้อย” จือไฉเห็นน้องชายมีท่าทีให้ความเคารพพวกเขา ก็เดาได้ว่าเด็กสองคนนี้คงเป็นคนสำคัญไม่น้อย จึงคารวะอย่างนอบน้อม “ตามสบายเถิดคนกันเองไม่ต้องมากพิธี เรารีบไปช่วยพวกเขาก่อนเถิด” “ขอรับ” สามองครักษ์รีบกระโจนขึ้นไปบนรถม้า แล้วรีบช่วยเหลือสตรีออกมา คราแรกพวกนางตกใจเตรียมจะกรีดร้อง แต่เห็นว่าพวกเขาช่วยปลดเชือก และผ้าที่ผูกปิดปากออกให้ก็ดีใจ เมื่อพาสตรีในรถมาออกมาทั้งสามคัน ตงฮวนจึงเดินมานับจำนวนได้15คน “พวกเจ้าจงแยกย้ายกันไป ก่อนที่พวกเขาจะฟื้นตื่นขึ้นมา นี่เป็นเงินคนละ10ตำลึงเอาไปตั้งต้นชีวิตใหม่” ตงฮวนนำเงินออกมาให้พวกนาง แต่พวกนางกลับยืนนิ่ง ตงฮวนถอนใจออกมา อย่าบอกนะว่า พวกนางจะตามพวกเขาไป ภาระต้องตกไปอยู่ที่ซิ่วอิงอีกแน่ “ปึก!” พวกนางคุกเขาลงอย่างแรง คาดว่าหัวเข่าคงแตกและช้ำ “นายน้อย ข้าขอติดตามเป็นบ่าวรับใช้ ชาตินี้จะเชื่อฟังและซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่มีเสื่อมคลาย ได้โปรดพาพวกข้าไปด้วยเจ้าค่ะ พวกข้าไม่มีที่ไป ครอบครัวของพวกข้าขายข้าออกมาแล้ว ชีวิตต่อจากนี้ยกให้นายน้อยเจ้าค่ะ” ตงฮวนหันไปมองหานเกออย่างหนักใจ เขาอยากให้ซิ่วอิงอยู่ด้วยมากเลยในยามนี้ เพราะหากนางเป็นคนตัดสินใจ พวกเขาก็พร้อมจะทำตาม หากพวกเขาพาพวกนางไปด้วย ก็เหมือนพาภาระไปเพิ่มให้นาง แล้วจะเอาอย่างไรดี แต่แล้วสายตาของเขา ก็เห็นพี่ชายขององครักษ์จือหยวน พากลุ่มคนเดินเข้ามา คราวนี้หนักกว่าเดิม เขาลองนับดูประมาณ12คน เขาหันไปมององครักษ์จือหยวน เขารีบเข้ามากระซิบ ตงฮวนจึงพยักหน้ารับรู้ “หานเกอเอาอย่างไรดี?” “ข้าให้เจ้าตัดสินใจเลย ไม่ว่าจะอย่างไรข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า” ตงฮวนแหงนมองท้องฟ้า ที่คงจะสว่างในไม่ช้า ก่อนจะตัดสินใจ “พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด พวกเราต้องรีบเดินทางอีกไม่นานจะเช้าแล้ว พี่จือหยวน” ตงฮวนรีบเข้าไปกระซิบกับจือหยวนว่า ให้ ฮ่องเต้ฮองเฮา พระสนมขึ้นนั่งบนรถม้า และรีบบอกให้ทุกคนรีบเร่งเดินทาง ตงฮวนคิดว่าพอถึงจวนแล้วคงต้องทำลายรถม้า หรือไม่ก็ต้องแก้ไขไม่ให้เหมือนเดิม หากพวกเขาพบเจอคงลำบากแน่ แต่ที่เขากังวลมากในยามนี้ก็คือ เขาพาคนมากมายกลับจวน เขากลัวว่าซิ่วอิงจะตำหนิเขา องครักษ์ให้ตงฮวนและหานเกอขี่ม้า แล้วพวกเขาเป็นคนจูง จือหยวนไม่ได้เอาม้าของพวกเขามา เอาเพียงรถม้าหนึ่งคัน และม้าอีกสามตัวที่พวกเขาขี่มา จือไฉเห็นจือหยวนให้ความใส่ใจต่อ ตงฮวนและหานเกอ ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “เด็กสองคนเป็นใครรึ? “เป็นเด็กเทพ” “ห้ะ…เจ้าพูดบ้าอะไรเนี้ยะ เจ้าล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?” “ข้าพูดความจริง ไม่ได้มีเพียงเขาสองคนนะ ยังมีนายหญิงน้อยอีกสามคน” “นายหญิงน้อย!” “ใช่แล้วพี่ใหญ่ หากไม่ได้พวกเขาช่วย ไม่รู้ว่า พวกข้าและองค์ชายจะเป็นอย่างไร” “พวกเขามีความสามารถขนาดนั้นเลยหรือ?” จือไฉไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่น้องชายเล่าเท่าใดนัก เพราะมันดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ก็พวกเขาดูเด็กเหลือเกิน “ไม่ใช่แค่มีความสามารถนะพี่ใหญ่ หัวหน้าของพวกเขา ก็คือนายหญิงน้อยซิ่วอิง ที่มีความสามารถดูแลทุกคนได้มากมาย อีกทั้งมีความสามารถในการทำอาหาร ข้าได้กินของอร่อยทุกวัน” ทุกคนแอบฟังบทสนทนาของพวกเขา ก็ต่างพากันคิด ยังมีนายหญิงน้อยอีกสามคน และมีอีกคนที่เป็นหัวหน้านามว่าซิ่วอิง และนางยังทำอาหารได้อร่อย นี่พวกเขามาจุดที่ต้อง มาพึ่งความสามารถของเด็ก ๆ แล้วหรือ การเดินทางใช้เวลาราว ๆ หนึ่งก้านธูป ก็มาถึงจวน ตงฮวนและหานเกอรีบวิ่งเข้าไปก่อน เพราะต้องรีบไปบอกซิ่วอิง เรื่องที่เขาพาสตรีในรถมากลับมาด้วย จือหยวนให้องครักษ์นำรถม้าไปจอดด้านข้าง แล้วพาม้าไปที่สวนด้านหลัง แล้วพาทุกคนมาด้านในแล้วรีบปิดประตู “ซิ่วอิง!” ตงฮวนรีบตรงมาที่โรงครัว เพราะคิดว่านางต้องอยู่ที่นี่ พอมาถึงก็เห็นนางกำลังนวดแป้งอยู่ เขาและหานเกอจึงรีบมาคุกเข่าอย่างสำนึกผิด ซิ่วอิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ลี่อินและเจียวจูก็เช่นกัน รีบเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ซิ่วอิงพวกข้าพาพวกนางกลับมาด้วย ข้าสงสารพวกนางบอกไม่มีที่ไป เพราะครอบครัวขายออกมาแล้ว ข้าขอโทษนะซิ่วอิงที่หาภาระมาให้เจ้าอีกแล้ว” ซิ่วอิงได้ยินก็ถอนใจออกมา นึกว่าเรื่องอะไร ทำเอานางตกใจ “เรื่องแค่นี้เอง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแล้งน้ำใจขนาดนั้นเลยรึ?” พวกเขาได้ยินก็รีบลุกขึ้นอย่างดีใจ นางจิตใจดีเช่นนี้เสมอ “แต่ว่าเจ้าออกไปดูหน่อยดีหรือไม่ เอ่อ…พวกเขารอเจ้าอยู่” “ได้ ลี่อิน เจียวจู ไปดูกัน” เมื่อซิ่วอิงเดินมาถึงตรงลานหน้าจวน ก็ถึงกับตกตะลึงกับผู้คนมากมาย ที่มันเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน จือหยวนพอเห็นซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจูเดินมา ก็รีบทำความเคารพ “คารวะนายหญิงน้อย” ทุกคนที่เห็นจือหยวนเอ่ยทำความเคารพเด็กสาวที่ก้าวเข้ามา ก็ต่างหันมามองพวกนางด้วยความสนใจ เด็กสาววัยเยาว์สามนาง ที่มีหน้าตางดงาม และอีกสองเด็กชายที่รูปงามไม่แพ้กัน ทุกคนรับรู้ถึงพลังบางอย่าง ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขา จือหยวนรีบเข้ามา บอกว่าพวกเขาเป็นใคร เด็กทั้งห้าคนจึงรีบทำความเคารพ “คารวะนายท่าน คารวะนายหญิงเจ้าค่ะ” เด็กทั้งห้าคนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง เฉินหมิงเจ๋อมองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม “พี่จือหยวนพาพวกเขาไปที่ห้องโถง เดี๋ยวข้าตามไปเจ้าค่ะ” “ขอรับ” จือหยวนรีบพากลุ่มที่มาจากวังหลวงไปรอที่ห้องโถง และให้สตรีที่ช่วยเหลือมารออยู่ก่อน ซิ่วอิงมองสำรวจสตรีทั้งสิบห้าคน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มีใครรู้หนังสือบ้าง?” สตรีทั้งสิบห้าคนต่างพากันส่ายหัว ซิ่วอิงก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปสั่งป้าหวัง “ป้าหวังพาพวกนางไปอาบน้ำ คงต้องหาซื้อเสื้อผ้ามาเพิ่มและเครื่องนอน พี่ซูผิงถามชื่อพวกนางและอายุ แล้วจดลงในสมุดให้ข้าทีเจ้าค่ะ” “เจ้าค่ะ”กลิ่นเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปรอบบริเวณ ซิ่วอิงให้พวกเขาไปนับจำนวนคน รวมทั้งช่างก่อสร้างและช่างตัดต้นไม้ รวมแล้วเกือบสองร้อยชีวิต ทางโรงเตี๊ยมลู่เฉิงและลู่ไฉ่ดูแล นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก “ซิ่วอิงเจ้าดูข้าลองเปลี่ยนใบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ เป็นเช่นไรฝีมือข้า” ลี่อินพาอดีตฮ่องเต้ อดีตฮองเฮาและพระสนม อีกทั้งข้ารับใช้คนสนิท ออกมาจากมิติ นางทำการเปลี่ยนใบหน้า ให้พวกเขาทั้งหมด ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “คนอื่น ๆ ก็เดี๋ยวค่อยให้พี่จือหยวนและพี่จือไฉ ยกอาหารเอาไปให้ก็แล้ว ออกมากันหมดผู้คนอาจจะสงสัยเอาได้” “เข้าใจแล้ว” ลี่อินตอบรับ ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่ง แล้วหาไปยกน้ำชามาให้ “หลานสะใภ้คนงาม เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” ซิ่วอิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นท่านปู่เดินยิ้มร่าเข้ามา อย่างอารมณ์ดี “อันนี้เรียกว่าขนมเค้กเจ้าค่ะ” “สีสันงดงามน่ากินจริง ๆ” ชายชรามองเค้กอย่างพอใจ “วันนี้ข้าทำหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ ทุกคนจะได้กินกันอย่างทั่วถึงเจ้าค่ะ” “ดี ๆ ข้าไม่ได้กินอาหาร ฝีมือเจ้าทำมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าข้าผอมลงไปเยอะเลย” ทุกคนได้ยินเขาพูดก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูวันนี้อาหารที่นางทำ ถึงแม้จะมีคนเยอะ แต่คนช่ว
ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ







