เมื่อแม่เฒ่าจางและคนอื่นๆ พากกันออกไปซิ่วอิงก็อุ้มซีห่าวมานั่งบนเตียงเตาก่อนจะสำรวจดูซูเม่ย เมื่อเห็นว่าไม่บาดเจ็บตรงไหนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอนำไข่ต้มที่ซ่อนไว้นำมาแบ่งให้เด็กๆ ไม่สนสายตาของจางจื่อหานที่มองมาที่เธอ มองแล้วอย่างไรเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยในเมื่อเด็กๆ ก็เป็นคนบ้านนี้เป็นหลานของย่าเหมือนกันทำไมพวกเขาจะกินไม่ได้ คราแรกเธอไม่ได้สนใจเขาแต่พอถูกจ้องมองนานๆ ก็รู้สึกอึดอัด ซีซวนปลีกตัวออกไปบอกว่าจะไปอาบน้ำ ซูเม่ยหลบไปนั่งอีกฝั่งอย่างเงียบมีเพียงซีห่าวที่ยังคงกอดเธอไว้อยู่
“ถ้าคุณจะหย่าก็ได้ แต่ต้องให้เด็กๆ เลือกว่าจะอยู่กับใคร” ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวความอึดอัดไม่ไหวพูดมันออกมา “…..” เขายังคงเงียบจนซิ่วอิงคิดว่าเขาไม่มีปากหรือไง หรือเป็นคนไม่ค่อยพูด? “ที่แม่บอกว่าฉันขโมยไข่ เรื่องนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ผิดทำไมลูกๆ ของพี่ชายคุณกินได้แต่ทำไมลูกของฉันกินไม่ได้” ซิ่วอิงไม่คิดที่จะปิดบังความจริง “…..” จางจื่อหานมองหน้าภรรยาอย่างครุ่นคิด เธอเป็นใครกัน? เขารู้ว่าเธอไม่ใช่ภรรยาของเขาเพราะตอนที่เราทั้งสองคนสบตากันเขาเห็นร่างของใครบางคนซ้อนทับเธอ คนๆ นั้นหน้าตาเหมือนภรรยาของเขาเพียงแต่การแต่งกายแบบนั้นไม่คุ้นตามาก่อน แต่พอเธอเป็นแบบนี้หัวใจของเขากลับเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “พวกเขาบอกว่าคุณไม่อยู่บ้านดูแลพ่อแม่เพราะงั้นควรส่งเงินเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และพี่ชาย ส่วนลูกเมียอดอยากก็ไม่เป็นไร พ่อแม่และครอบครัวพี่ชายของคุณได้กินข้าววันละสามมื้อ ลูกของพี่ชายคุณได้กินไข่ทุกวัน แต่พวกเรากลับได้กินแค่โจ๊กเนื้อหยาบวันละมื้อ ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันถูกต้องงั้นเราก็หย่ากันเถอะ” เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่เงียบซิ่วอิงก็พูดทุกอย่างให้เขาได้รับรู้ว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้านลูกเมียของเขาถูกปฏิบัติเช่นไร จางจื่อหานที่ถูกความจริงตีแสกหน้าหัวใจของเขาก็รู้สึกชาสีหน้ามืดครึ้มลง เมื่อหลายปีก่อนเขาไปเป็นทหารตามคำร้องขอของแม่บอกว่าพี่ชายเขาไม่แข็งแรงเท่าเขาเพราะงั้นจึงเป็นเขาที่ควรไป ต่อมาเขาไม่ได้ถูกปลดประจำการแต่กลับถูกเลื่อนขั้นเงินทุกหยวนส่งให้ครอบครัว ครึ่งหนึ่งให้พ่อแม่ ครึ่งหนึ่งในภรรยาและลูกๆ ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้น ในตอนนี้เขาประสบความสำเร็จในฐานะลูกชายแต่เขากับล้มเหลวในฐานะสามีและพ่อ ในใจเขารู้สึกผิดและละอายใจเป็นอย่างมาก ยิ่งตอนนี้เขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขาในใจยิ่งรู้สึกเจ็บปวด การได้ยินความจริงจากคนตรงหน้าทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างได้ “อิ่มไหม” จางจื่อหยวนเอ่ยถามลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “….” ซีซวนไม่ตอบ เขากลัวพ่อเพราะอีกฝ่ายหน้าดุจึงซุกหน้าเข้ากับอกแม่ “คุณหิวหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ตอบก็เอ่ยถามภรรยาแทน แม้ในใจคิดว่าข้างในไม่ใช่ก็ตามแต่ในเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ก็คือภรรยาเขาอยู่ดี “นะ นิดหน่อย” ซิ่วอิงที่ไม่คิดว่าเขาจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก็เอ่ยตอบตะกุกตะกัก “เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้กิน” เขาคิดจะไปทำอาหารในครัวมาให้เธอ “แม่เฒ่าคงไม่ยอมหรอก” ซิ่วอิงเอ่ยห้ามเขา จางจื่อหานได้ยินก็หยุดชะงักก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าที่นำมาด้วย ปกติกระเป๋านี้จะถูกแม่เฒ่าจางนำไปทุกครั้งที่เขากลับมาเพราะมันมีของดีๆ จากค่ายทหารแต่ครั้งนี้แม่เฒ่าจางคงโกรธจนไม่สนใจอะไร จางจื่อหานเปิดกระเป๋าเอาของข้างในออกมา ข้างในมีนมผง ลูกอมทอฟฟี่กระต่ายขาว เนื้อตากแห้ง และของอื่นๆ อีก จางจื่อหานหยิบซองบางอย่างแล้วยื่นให้ภรรยา “อะไร?” ซิ่วอิงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปรับเมื่อเปิดมาก็ต้องเบิกตากว้างข้างในเป็นเงินประมาณหนึ่งพันหยวน “ให้คุณเก็บไว้” จางจื่อหานเอ่ยบอก เงินนี้ได้มาจากการที่เขาเสี่ยงชีวิตทำภารกิจพิเศษไม่เกี่ยวกับเงินเดือน “ไม่ให้แม่เฒ่าเหรอ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “ไม่ใช่คุณเพิ่งบอกว่าพวกเขาเก็บเงินเดือนของฉันไว้ทั้งหมด? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้” จางจื่อหานบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เดิมทีเงินนี้เขาคิดจะแบ่งให้แม่กับภรรยาคนละครึ่งเช่นเดียวกับเงินเดือนแต่เมื่อรู้ความจริงเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องแบ่ง “คุณไม่ได้จะหย่า?” ซิ่วอิงเอ่ยถามเขา เธอคิดว่าเขาจะเชื่อฟังแม่เฒ่าเสียอีก “ฉันไม่เคยพูดว่าจะหย่า” จางจื่อหานพูดเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ สำหรับเขาการมีภรรยาเดียวไปตลอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่เกี่ยวกับว่ารักหรือไม่รักหากแต่งงานแล้วก็ถือว่าเป็นผู้หญิงของเขา เขาต้องดูแลเธอให้ดี “เอาล่ะ คุณกลับมาเหนื่อยๆ ควรไปอาบน้ำแล้วมาพักผ่อน” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แย่อย่างที่คิดซิ่วอิงก็ผ่อนคลายความโกรธลงและบอกให้ความไปทำความสะอาดร่างกายแล้วมาพักผ่อน จางจื่อหานได้ยินภรรยาบอกแบบนั้นก็ปฏิบัติตามทันที คำสั่งภรรยาไม่ต่างกับคำสั่งผู้อำนวยการในกองทัพ เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกไปแล้วซิ่วอิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในตอนนี้ซีซวนเขากลับมาจากอาบน้ำในแม่น้ำแล้วเขาก็เดินหลบไปที่อีกฝั่ง ซิ่วอิงก็ไม่สนใจเขาในความทรงจำเด็กคนนี้ไม่ค่อนพูดค่อยจาติดจะเย็นชาด้วยซ้ำ เหมือนว่าเขาจะไม่ชอบใจที่แม่เอาแต่โวยวายด่าทอแม้แต่กระทั่งลูกๆ ของตัวเอง เธอต้องค่อยๆ เปลี่ยนความคิดเขาให้มองเธอใหม่ต้องทำให้เขาเห็นว่าเธอนั้นเปลี่ยนไปแล้ว “แม่ครับ” ซีห่าวเอ่ยเรียกแม่ ตอนนี้เขาเริ่มง่วงแล้ว “ง่วงแล้วเหรอลูก” ซิ่วอิงเห็นว่าเด็กน้อยตาปรือพยักหน้าหงึกหงักจึงลูบหัวด้วยความเอ็นดูก่อนจะพาเด็กน้อยนอนลงบนเตียงเตา ซูเม่ยเองก็เริ่มง่วงเช่นกันเด็กสาวจึงมานอนข้างๆ น้องชาย จางจื่อหานกลับมาจากชำระร่างกายเห็นภรรยากับลูกๆ นอนอยู่แต่ข้างๆ เธอไม่มีที่ว่างให้เขา? เหลือเพียงที่ว่างที่อยู่ข้างซีซวนในใจของเขาเริ่มตั้งคำถาม จางจื่อหาน : เธอไม่ต้องการนอนกับเขา? ปกติแล้วสามีภรรยาจะนอนข้างกันเมื่อก่อนเขากับเธอก็เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะต่อต้านเขาหากเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่คิดจะฝืนใจเธอค่อยๆ ให้เธอปรับตัว เมื่อคิดดังนั้นจางจื่อหานจึงขึ้นไปนอนข้างลูกชายคนโตแทน รุ่งเช้าเสียงเคาะประตูดังลั่นพร้อมกับเสียงด่าทอปลุกให้ครอบครัวรองตื่นขึ้น ซิ่วอิงขยับตัวลุกขึ้นมานั่งพลางถอนหายใจก่อนจะก้าวขาลจากเตียงแต่กลับถูกมือหนาหยุดไว้ “นอนต่อเถอะ” จางจื่อหานกลัวว่าเธอจะนอนไม่พอจึงบอกให้เธอพักต่อ “ไม่เป็นไร แม่เฒ่าคงไม่ยอม” ซิ่วอิงปฏิเสธ ถ้าเธอนอนต่อแม่เฒ่าคงได้ด่าเธอทั้งวันแน่ จางจื่อหานได้ยินแบบนั้นก็ไม่คิดจะคัดค้านเธอเสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เรื่อยๆ เขาจึงเดินไปเปิดประตู “ทำอะไรกัน? สายป่านนี้แล้วทำไมยังไม่ตื่นอีก” แม่เม่าจางเดินเข้ามาพร้อมกับบ่น “แม่มีอะไร” จางจื่อหานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ “ฉันต้องมีอะไร พวกแกจะนอนกันไปจนตะวันตกดินหรือยังไงไม่คิดจะไปทำงานเหรอ ถ้าแต้มคะแนนไม่พอจะเอาอะไรกิน” แม่เฒ่าจางพูดด้วยน้ำเสียงติดจะไม่พอใจ “ย่าครับ ผมหิว” จื่อเฉิงเอ่ยบอกผู้เป็นย่า “รอก่อนนะอาเฉิงของย่า ซูเม่ยอยู่ไหนเวลานี้ควรไปทำอาหารได้แล้ว” แม่เฒ่าจางพูดเสียงดัง ซูเม่ยดีดตัวลุกขึ้นทันที “แม่ จะให้เด็กทำอาหารได้ยังไง” จางจื่อหานเอ่ยแย้ง “ทำไมจะไม่ได้ เด็กผู้หญิงควรทำอาหารไม่ใช่ทำตัวขี้เกียจไร้ปรโยชน์ ไม่งั้นจะเหมือนแม่ของมัน” แม่เฒ่าจางเอ่ยไม่วายจิกกัดซิ่วอิง “แม่ ที่บอกว่าขี้เกียจไร้ประโยชน์นั่นด่าครอบครัวพี่ใหญ่เหรอ” ซิ่วอิงถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน “แก ฉันด่าพวกแกนั่นแหละ” แม่เฒ่าชี้หน้าด้วยความโมโห “งั้นแม่ก็พูดไม่ถูก ลูกๆ ของฉันทำงานแลกคะแนนทุกวันผิดกับลูกของพี่ใหญ่ที่วันๆ นอกจากกินแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย” ซิ่วอิงตอบกับ “นี่ นี่ เจ้าเล็กดูเมียของลูกสิ ต่อปากต่อคำกับแม่สามีแบบนี้มีที่ไหนกัน” แม่เฒ่าจางชี้หน้าซิ่วอิงเต้นเร่าๆ “แม่อย่าโกรธ” จางจื่อหานเอ่ยบอกแม่ เกรงว่าจะโกรธจนเป็นลม “ทำอะไรกัน ได้เวลากินข้าวแล้วทำไมยังไม่ทำอาหาร” พ่อเฒ่าจางที่รอจนหิวเดินมาดู “เหอะ ก็นังเด็กเหลือขอนี่ไม่ทำหน้าที่ของมัน” แม่เฒ่าจางพูด พ่อเฒ่าเหลือบมองหน้าลูกชายคนเล็ก ” เจ้าเล็กเพิ่งกลับมาครอบครัวอยากใช้เวลาร่วมกัน อาหารวันนี้ให้สะใภ้ใหญ่ทำ” พ่อเฒ่าไม่ต้องการแสดงความลำเอียงต่อหน้าลูกคนเล็กได้ “พ่อคะ” เหมยลี่รู้สึกไม่ยินยอม “ตามนี้” พ่อเฒ่าพูดจบก็เดินไปนั่งรอที่เตียงเตาห้องตัวเอง สะใภ้ใหญ่มองหน้าซิ่วอิงอย่างแค้นเคืองก่อนจะสะบัดหน้าเดินเข้าครัวไป ” หลังกินข้าวพวกเราควรพูดคุยบางอย่างให้ชัดเจน “แม่เฒ่าเอ่ยบอกก่อนจะสะบัดหน้ากลับห้องตัวเองไป“ผมอยากคุยเรื่องพ่อของผม” จางจื่อหานเห็นว่าคนเป็นภรรยานิ่งเงียบก็รู้สึกใจเสีย เขาไม่น่าพูดเรื่องนี้ออกมาจริงๆ คิดได้ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น“คุณลืมมันไปเถอะครับ” เขาไม่อยากให้ภรรยารู้สึกไม่ดี“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย ฉันเองก็กำลังคิดอยู่ว่าเราควรที่จะแบ่งอาหารให้ที่บ้านเดิมของคุณบ้างอย่างน้อยปีละครั้งยิ่งตอนนี้พ่อเฒ่าต้องทำงานอยู่คนเดียวแล้วยังต้องดูแลเด็กๆ ไม่ด้วยเขาคงลำบากไม่น้อยเลย” อย่างไรก็ตามตอนนี้จางจื่อหานเป็นถึงรองผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติและผู้บัญชาการทหารชุมชนเขาไม่ควรมีชื่อเสียงเรื่องความไม่กตัญญู ซิ่วอิงคิดถึงเรื่องนี้ เธอคิดว่าควรให้ทุกคนได้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะมีความซื่อตรงจับคนผิดไปลงโทษไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวตัวเองแต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความกตัญญูช่วยเหลือครอบครัวเดิมอยู่เสมอ นี่คือแนวคิดที่ถูกต้อง เป็นลูกก็ต้องกตัญญู เป็นคนผิดก็ต้องถูกลงโทษ ต่อไปจะไม่มีใครมาพูดถึงเขาในแง่ร้ายได้“ผมนึกว่าคุณจะไม่พอใจซะอีก” สิ่งที่ซิ่วอิงพูดทำให้จางจื่อหานรู้สึกแปลกใจ“ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจล่ะคะ ยังไงการกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เป็นสิ่งที่ลูกหลานควรทำอยู่แล้ว” เธอย่อมทำดีต่อเขาทำให้เขเห็นว่าเธ
จางจื่อหานใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับมาถึงบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบว่าภรรยากำลังเช็ดตัวให้ลูกชายเล็กอยู่เขาจึงเดินไปใกล้ๆ แล้วยืนดู ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเธออ่อนโยนมากแตกต่างจากคนก่อนเป็นอย่างมากหัวใจของจางจื่อหานสั่นไหวเขาไม่สามารถห้ามมุมปากที่ยกขึ้นได้“กลับมาแล้วเหรอคะ” ซิ่วอิงรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจึงหันไปดูพบว่าเป็นจางจื่อหานที่กำลังยืนมองเธออยู่“ให้คุณเลือก” จางจื่อหานยื่นแผนผังให้กับภรรยา ซิ่วอิงรับมาแล้วเปิดออกดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเขา“อนุมัติการสร้างบ้านแล้วเหรอ?” ไม่ใช่เขาบอกเธอว่าอาจใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีหรอกเหรอ“ผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติอนุมัติให้เราเป็นกรณีพิเศษ” เขาบอกพร้อมกับมองเธอที่กำลังยิ้มดีใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอีกแล้ว“ดีจริงๆ คุณกลับมาครอบครัวเราก็มีแต่เรื่องดีๆ” ทั้งเงินเดือนและอาหารไหนจะสร้างบ้านใหม่ จางจื่อหานนี่คือขาทองคำชัดๆ จางจื่อหานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ“คุณชอบตรงไหน” เขาเอ่ยถามเธอพร้อมกับก้มลงมามองกระดาษแผ่นเดียวกัน“ฉันคิดว่าที่ตรงนี้ดี” ซิ่วอิงชี้ไปที่กระดาษ ที่นั่นห่งจากบ้านอื่นหน่อยดูไม่แออัดและเป็นพื้นที่กว้างอีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล
“เจ้าเล็ก ยังไงพวกเขาก็เป็นแม่และพี่ชายของลูก” พ่อเฒ่าจางพาหลานทั้งสองมาที่บ้านท้ายหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับซิ่วอิง ระหว่างที่เดินมาเขารู้สึกหนักใจไม่น้อยกลัวว่าลูกสะใภ้เล็กจะไม่ยอมและอาละวาดแต่เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าลูกชายคนเล็กได้อยู่ที่บ้านด้วยเขาจึงรู้สึกโล่งคิดว่าลูกชายคนเล็กคงเห็นแก่แม่อยู่บ้าง“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรกับพวกเขา” จางจื่อหานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าเล็กตอนนี้พี่ชายของลูกกำลังบาดเจ็บ” พ่อเฒ่าจางยังไม่ยอมถอย เขาต้องการกดดันลูกชายคนเล็กให้ช่วยลูกชายคนโตออกมา“พ่อ พ่อบอกว่าพี่ใหญ่เจ็บแล้วซีห่าวของเราไม่เจ็บเหรอ เขาป่วยอยู่แล้วยังถูกพี่ใหญ่ที่เป็นลุกของเขาทำร้ายจนหัวแตกอีก” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้น เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากที่จนถึงขนาดนี้คนพวกนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีก“สะใภ้เล็กเจ้าใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจ” พ่อเฒ่าจางเอ่ยแก้ต่างแทนลูกชาย“ฉันเห็นกับตาว่าเขากำลังเข้าไปทำร้ายร่างกายของลูกชายฉันซ้ำ แบบนี้เรียกไม่ได้ตั้งใจเหรอ พ่อควรบอกให้เขาสำนึกผิดไม่ใช่มาขอให้เราไม่เอาผิดพวกเขาไม่งั้นชาวบ้านจะมองพ่อเป็นอะไร รักลุกชายคนโตรังแกลูกชายคนเล็กเหรอ” ซิ่วอิงจี้จุดพ่อเฒ่า เธอรู้ดีว่าของสามีห่วงหน้าตาตัวเอ
จางจื่อหานพาลูกและภรรยามาที่บ้านโดยมีจางจื่อชิงติดสอยห้อยตามมาด้วย จางจื่อหานวางลูกชายคนเล็กลงบนเตียงเตาก่อนจะถอยออกมาให้ซิ่วอิงได้เข้าไปดู“ห่าวห่าว เป็นยังบ้าง” ซิ่วอิงเอ่ยถามอีกครั้ง“แม่ ฉันไม่เป็นไร” ซีห่าวเอ่ยตอบ ซิ่วอิงที่เห็นเด็กน้อยยืนยันเธอก็รู้สึกผ่อนคลายลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองดูเธอด้วยสายตามีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น“ห่าวห่าว ลูกนอนพักก่อนนะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง เธอรู้สึกสงสารซีห่าวมากทั้งป่วยแล้วยังจะมีบาดเจ็บอีก เมื่อซีห่าวทำตามที่เธอบอกเธอจึงพยักหน้าให้สามีว่าออกไปคุยกันข้างนอก“พี่จื่อหาน ทำไมพี่กลับมาเร็วจัง” จางจื่อชิงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม“จัดการธุระเสร็จแล้วเลยรีบกลับมา” จางจื่อหานเอ่ยเสียงนิ่งตามนิสัยของเจ้าตัว“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะจื่อชิง” ถ้าวันนี้ไม่มีจื่อชิงเธอคงพาซีห่าวไปถึงอนามัยไม่เร็วเท่านี้“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเองว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น?” จางจื่อชิงถามด้วยความสงสัย“ฉันก็ไม่รู้ ฉันกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเด็กๆ ถูกรังแกและซีห่าวหัวแตก ฉันก็เลยโมโหเอาไม้ไล่ตีพวกเขา” เธอเหลือบตามองจางจื่อหาน เขาจะคิดว่าเธอ
“หยุด!” ซิ่วอิงตะโกนดังลั่น หลังจากไปทำงานเธอรู้สึกเป็นห่วงซีห่าวมากกลัวว่าจะไข้ขึ้นสูงเธอจึงรีบเร่งทำงานพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสณ้จโดยเร็วหลังจากผ่านไปพักใหญ่หน้างานของเธอเหลือไม่มากซีซวนที่มองอาการของผู้เป็นแม่ออกก็อาสาทำที่เหลือแทนและให้เธอกลับมาที่บ้านก่อนหลังจากทำงานเสร็จเขาจึงจะตามมาทีหลัง เมื่อซิ่วอิงเดินมาใกล้จะถึงบ้านเธอได้ยินเสียงของซูเม่ยตะโกนขอความช่วยเหลือเธอตกใจกลัวว่าซีห่าวอาจจะไข้ขึ้นสูงจนช็อคจึงรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วแต่สิ่งที่เห็นคือคนชั่วทั้งสาวคนนั่นกำลังรังแกลลูกของเธอทำให้เธอตะโกนบอกให้พวกเขาหยุดด้วยอารมณ์ที่โมโห ยิ่งเมื่อเธอมองเห็นเลือดที่ไหลอาบใบหน้าของซีห่าวดวงตาของเธอก็เริ่มดำมืดขึ้น ซิ่วอิงคว้าไม้กวาดที่อยู่ไม่ไกลมาถือไว้ในมือแล้วก้าวฉับๆ ไปหาทั้งสามคนทันที“กล้าดียังไงมารังแกลูกของฉันห้ะ” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับง้างไม้กวาดไล่ฟาดทั้งสามคนโดยไม่สนว่าจะเป็นครอบครัวของสามี“กรี๊ดด อย่านะ” เหมยลี่กรีดร้องอย่างหวาดกลัว“นังปากร้ายจะฆ่าคนแล้ว ช่วยด้วย จะฆ่าคนแล้ว โอ้ย!” จางจื่อซวานที่โดนตีก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกหวาดกลัวมากจึงวิ่งไปชนประตูอย่างแรงจนทำให้
“เรื่องนี้อย่าให้พ่อของแกรู้” แม่เฒ่าจางเอ่ยบอกลูกชายคนโต แม้ว่าพ่อเฒ่าจางจะลำเอียงรักลูกชายคนโตแต่เขาก็มักจะไว้หน้าตัวเองเสมอไม่แสดงออกถึงความลำเอียงมากเกินไป วันนี้พ่อเฒ่าจางมัววแต่ไปพูดคุยกับเพื่อนฝูงทำให้ทั้งสามคนคิดวางแผนที่จะทำเรื่องนี้“คุณแม่คะ แล้วนังนั่นจะไม่ไปแจ้งสันติบาลเหรอคะ” เหมยลี่เองก็อยากได้เงินห้าร้อยหยวนแต่เธอก็กังวลไม่ได้ หากนังปากร้ายนั่นไปแจ้งสันติบาลหรือคณะกรรมการปฏิวัติพวกเธออาจจะถูกจับ“มีลูกสะใภ้ที่ไหนจะแจ้งจับแม่สามี” จะสามารถทำแบบนั้นได้ยังไง ไม่เคยมีสะใภ้คนไหนกล้าแจ้งจับแม่สามีแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่โดนทุบตีก็ตามมันถูกมองว่าเป็นปกติเว้นเสียแต่ว่าจะมีคนตาย“แต่มันแยกบ้านไปแล้วนะคะ” เหมยลี่ไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนั้นได้ เธอไม่อยากถูกจับ“นี่สะใภ้ใหญ่ เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่เฒ่าจางพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะแม่” เหมยลี่ที่เห็นแม่สามีเริ่มไม่พอใจก็ไม่กล้าที่จะแย้งอีก ในใจก็แอบเห็นด้วยว่าจางจื่อหานคงไม่แจ้งจับแม่ตัวเองหรอก“แม่ครับ ผมว่าเราควรไปตอนที่มันออกไปทำงาน” เวลานั้นชาวบ้านจะออกไปทำงานแลกคะแนนกันหมดไม่มีใครอยู่บ้านถือว่าทางสะด