จางจื่อหานพาซิ่วอิงกลับมาเก็บสองที่ห้อง สองสามีภรรยาช่วยกันเก็บของใส่กล่องไม้ยิ่งเก็บข้าวของจื่อหานก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ภรรยาและลูกๆ ของเขามีเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ของทั้งห้องมีแค่สองกล่องไม้ เขารู้สึกล้มเหลวในฐานะสามีและพ่อโดยสมบูรณ์ ดวงตาสีเข้มมองไปที่ภรรยาอย่างรู้สึกผิดเมื่อก่อนเธอและลูกๆ ต้องลำบากเป็อย่างมากแต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย
“แม่จ๊ะ ป้าสะใภ้บอกว่าเราต้องออกไปจากที่นี่ เป็นเรื่องจริงเหรอจ๊ะ” ซูเม่ยเอ่ยถาม ซีซวนและซีห่าวก็เดินเข้ามาในห้อง ซีห่าวรีบเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ในทันที “ผมจะไปกับแม่” ซีห่าวกลัวว่าแม่จะทิ้งจึงกอดไว้แน่น ซิ่วอิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แน่นอน พวกเราจะไปด้วยกันทั้งหมด” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับยกมือเรียวลูบหัวเด็กน้อย “เราจะย้ายบ้านเหรอจ๊ะแม่” ซูเม่ยเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย ถ้าเธอไม่ต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกนับว่าเป็นเรื่องที่ดี “ใช่ ต่อไปนี้จะย้ายไปอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน” ซิ่วอิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ยกของไปไว้ที่บ้านท้ายหมู่บ้าน” จางจื่อหานเอ่ยบอกลูกชายคนโตเสียงเรียบ ซีซวนเห็นสายตาของพ่อก็ไม่กล้าขัดรีบยกกล่องไม้ออกไปทันที “เราจะไปอยู่บ้านร้างท้ายหมู่บ้านเหรอจ๊ะ” ซูเม่ยเอ่ยถาม “ใช่ เราจะไปอยู่ที่นั่นก่อนเดี๋ยวค่อยให้พ่อไปยื่นเรื่องขอสร้างบ้าน” ซิ่วอิงเอ่ยตอบลูกสาว “เหอะ จะมีเงินสร้างบ้านไหมเถอะ” เหมยลี่เดินเข้ามาพร้อมกับมองเหยียด “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ” ซิ่วอิงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ พูดกับคนบ้ามีแต่จะเหนื่อยซะเปล่า “นี่ หึ อย่ากลับมาสร้างความเดือดร้อนให้บ้านนี้ก็แล้วกัน” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปซิ่วอิงก็ไม่ได้สนใจ เธอสำรวจดูห้องเมื่อเห็นว่าเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ยื่นมือไปให้ซีห่าวจับ “ไปกันเถอะค่ะ” เธอเอ่ยบอกร่างสูงที่ถือกล่องไม้รออยู่ เขาพยักหน้าให้เธอเบาๆ กวาดตามองห้องและบ้านหลังนี้ที่เขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาภรรยาและลูกเดินออกไป ต่อจากนี้เขาต้องทุ่มเทให้มากเพื่อที่ภรรยาและลูกของเขาจะได้ไม่ลำบาก ห้าคนพ่อแม่ลูกเดินออกมาจากบ้านพ่อเฒ่าจางมุ่งหน้าไปยังท้ายหมู่บ้านท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มองมาราวกับพวกเขากำลังเจอเรื่องสนุก ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะได้หัวข้อนินทาใหม่เสียแล้ว นังปากร้ายสร้างปัญหาจนถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้าน! จางจื่อหานไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านมองเขาด้วยสายตาแบบไหนที่เขาสนใจคือภรรยาของเขาจะรู้สึกแย่หรือไม่ ซิ่วอิงเห็นสายตาของจางจื่อหานมองมาที่เธอด้วยความเป็นห่วงก็ขมวดคิ้วงุนงง เกิดอะไรขึ้น? “บ้านนี้ไม่มีคนอยู่มานาน เก่าไปหน่อยวันนี้ผมจะซ่อมแซมมันให้เสร็จ” จางจื่อหานเอ่ยบอกภรรยา “มันยังคงดูใช้ได้อยู่ คุณแค่ซ่อมหลังคาส่วนฉันกับลูกๆ จะทำความสะอาดแค่นี้ก็น่าจะอยู่ได้แล้วค่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเขาด้วยรอยยิ้ม จางจื่อหานไม่เคยเห็นรอยยิ้มภรรยาก็ชะงักไปครู่หนึ่งรอยยิ้มของเธอสว่างไสวราวกับแสงเทียนในความมืดมิด “เอาตามที่คุณว่า” จางจื่อหานเอ่ยตอบภรรยา “คุณรู้หรือเปล่าคะว่าขอสร้างที่อาศัยต้องใช้เวลานานเท่าไหร่” ซิ่วอิงเอ่ยถามพลางช่วยเด็กๆ ทำความสะอาดไปด้วย “ปกติก็อาจสักสองสามปี อนุมัติแล้วก็ต้องรอวัสดุอีกอย่างเร็วสุดน่าจะหนึ่งปี” จางจื่อหานเอ่ยตอบภรรยาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนกว่าพูดกับคนอื่นอยู่หลายส่วน แม้แต่ลูกๆ ก็ไม่ได้รับน้ำเสียงแบบนี้ “นานเกินไป” ซิ่วอิงพึมพำแต่จางจื่อหานที่เป็นทหารหน่อยรบพิเศษเขาย่อมมีการได้ยินดีกว่าคนทั่วไป “ไม่ต้องกังวล ฉันจะหาทางจัดการเรื่องนี้” เขาเองก็ไม่อยากให้ภรรยาอยู่บ้านหลังเก่านัก ช่วงหน้าร้อนคงไม่เป็นไรแต่หากฤดูฝนและฤดูหนาวมาถึงคงจะลำบากเป็นอย่างมาก เขาต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหานี้ “แม่คะ กวาดเสร็จแล้วฉันกับพี่จะไปทำงานแลกคะแนนก่อนนะคะ” ซูเม่ยเอ่ยบอกคนเป็นแม่ “ไปเถอะ อย่าลืมกลับมากินอาหารกลางวันด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กๆ “วันนี้เราสามารถกินอาหารได้อีกเหรอครับ” ซีห่าวเอ่ยถามซิ่วอิงตาแป๋ว ปกติย่าจะให้พวกเขากินอาหารแค่วันละหนึ่งมื้อแล้ววันนี้พวกเขาก็กินไปแล้วไม่คิดว่าจะยังสามารถกินได้อีก “ได้สิ ตอนนี้เราแยกบ้านออกมาแล้วและพ่อก็กลับมาแล้วเราไม่จำเป็นต้องอดอาหารอีกต่อไป” ซิวอิงงกลัวว่าจางจื่อหานจะรู้สึกแย่ที่ถูกแม่เฒ่าตัดขาดเธอจึงให้เขารับรู้ด้วยว่าครอบครัวดีใจที่เขากลับมาและพวกเธอต้องการพึ่งพิงเขา อย่างไรผู้ชายยิ่งในยุคสมัยนี้มักมีความรู้สึกถึงการเป็นผู้นำหากเขารับรู้ได้ว่าเขาเป็นที่พึ่งพิงให้กับครอบครัวได้เขาจะรู้สึกผ่อนคลายลง “คุณคะ กองทัพให้คุณย้ายงานจริงๆ เหรอคะ” ซิ่วอิงเอ่ยถามหลังจากบอกให้ซีห่าวไปเล่น “ผมจะขอย้ายงาน” จางจื่อหานพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “ทำไมล่ะคะ” ซิ่วอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำไมจู่ๆ เขาถึงขอย้ายงานล่ะ? “…..” จางจื่อหานเม้มปากเงียบไม่ตอบแต่สายตามองเธออย่างอ่อนโยน “แต่คุณกลับมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วล่ะค่ะ ฉันกับลูกๆ ต้องการคุณ” เห็นเขาเงียบซิ่วอิงก็เดาได้ว่ามันคงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นดังนั้นเธอจึงไม่คาดคั้นและทำให้เขารู้สึกว่าเขาสำคัญมากแค่ไหนยิ่งตอนนี้เขาเพิ่งถูกแม่เฒ่าตัดขาดในใจเขาคงรู้สึกสับสนหลงทางไม่น้อย เธอต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เขา ” อีกอย่างงานในกองทัพอันตรายมาก ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ปลอดภัย” ซิ่วอิงยังคงพูดปลอบประโลมเขา หัวใจของจางจื่อหานเต้นแรงขึ้นความรู้สึกของการถูกใครสักคนห่วงใยเขาไม่เคยได้สัมผัส เขาโตมากับถูกคนเป็นแม่สอนว่าต้องเป็นลูกกตัญญูแม้ตัวเองจะเจ็บก็ไม่เป็นไรแต่พอเขาไปเป็นทหารทำให้เขาเรียนรู้จากเพื่อนในกองทัพว่าควรให้ความสำคัญกับภรรยาและลูกๆ หน้าที่ของลูกผู้ชายคือต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นที่พึ่งพิงให้กับภรรยาและลูก แต่ในวันนี้ที่เขาต้องเลือกเขาคิดว่าตัวเองกตัญญูต่อพ่อแม่มามากแล้วหลายปีกับการเสี่ยงชีวิตส่งเงินมาให้แม่ ละเลยต่อภรรยาเขาจึงคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาควรชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมาให้เธอ เป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อที่ควรแก่การพึ่งพา “ผมจะไปซ่อมหลังคา” เขาเอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม “ให้ฉันช่วยนะคะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอก เธอไม่อยากปล่อยให้ต้องเหน็ดเหนื่อยคนเดียว “ไม่เป็นไร คุณพักเถอะ” จางจื่อหานปฏิเสธ เขาไม่ต้องการให้เธอเหนื่อย “ช่วยกันจะได้เสร็จไวๆ ไงคะ” ซิ่วอิงยังคงยืนกราน “ผมว่าคุณควรไปเตรียมอาหาร” จางจื่อหานหาทางหลีกเลี่ยง ข้านอแดดดร้อนเขากลัวผิวขาวๆ ดูบอบบางนั้นจะโดนแดดเผาเสียก่อน “ก็ได้ค่ะ คุณระวังด้วยนะคะ” ซิ่วอิงยอมในที่สุดพร้อมกับกำชับให้เขาระมัดระวังก่อนที่เธอจะเดินไปก่อไฟที่ครัว วันนี้นอกจากธัญพืชแล้วเธอยังได้ไข่ไก่และผักมาบางส่วน อีกทั้งยังได้ไก่มาเลี้ยงอีกสองตัววันนี้เธอจึงคิดว่าจะทำไข่ผัดกุ้ยช่ายและน้ำแกงมะเขือ และแพนเค้กแค่นี้ก็น่าจะพอ เวลาผ่านไปสักพัก….. “แม่ กลิ่นหอมจังเลยครับ” ซีห่าวเดินเข้ามาเกาะโต๊ะมองดูอาหารที่วางอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “เดี๋ยวรอพ่อกับพี่ๆ ของลูกก่อน” ซิ่วอิงเอ่ยบอกลูกชาย เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าหิวแค่ไหนก็ต้องรู้จักรอคนอื่นไม่ควรที่จะโลภกินเองคนเดียว “เดี๋ยวผมจะไปตามพี่ๆ เอง” ซีห่าวอาสา ถ้าเขาไปตามพี่ๆ ก็จะได้รีบกลับมาเขาก็จะได้กินเร็วขึ้น “ได้ ลูกต้องระมัดระวัง” ซิ่วอิงกำชับเธอกลัวว่าเขาจะรีบมากจนหกล้ม เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะวิ่งออกไปสวนทางกับจางจื่อหานที่เดินเข้าพอดี “ซีห่าวไปตามพี่ๆ ของเขา” เธอเอ่ยบอก จางจื่อหานพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะมองอาหารบนโต๊ะ เธอทำอาหารเป็นด้วยเหรอ? อย่างไรก็ตามเจ้าของร่างขึ้นชื่อว่าเป็นคนปากร้ายและขี้เกียจเพราะงั้นการที่เธอทำอาหารออกมาได้ดูดีขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอยู่มาก “คุณหิวหรือยัง กินก่อนพวกเขาสิ” เธอกลัวว่าเขาจะเหนื่อยและหิวเกินไป อย่างไรก็ตามในยุคนี้พ่อแม่กินก่อนลูกกินทีหลังนับว่าเป็นเรื่องปกติถึงแม้ว่ามันจะสวนทางกับสิ่งที่เธอต้องการสอนลูกๆ ก็ตามเธออาจจะต้องอธิบายให้พวกเขาฟังในภายหลังว่าพ่อของพวกเขาทำงานหนักจึงหิวมากต้องกินก่อนและจะได้รีบไปทำงานต่อ และเธอต้องสอนถึงเวลาที่มีจำกัดทำให้บางครั้งอาจมีคนใดคนหนึ่งจำเป็นต้องกินก่อน “ไม่เป็นไร รอพวกเขา” จางจื่อหานเอ่ย เขาไม่ได้หิวมากขนาดนั้นอย่างไรในเวลาปฏิบัติภารกิจเขาแทบไม่ได้กินอาหารเลยด้วยซ้ำเพียงแค่รอให้ลุกๆ กลับมานับว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา ซิ่วอิงเห็นว่าเขาแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นที่ไม่สนใจจะรอภรรยาและลูกกินในใจเธอก็มีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นในหลายส่วน“ผมอยากคุยเรื่องพ่อของผม” จางจื่อหานเห็นว่าคนเป็นภรรยานิ่งเงียบก็รู้สึกใจเสีย เขาไม่น่าพูดเรื่องนี้ออกมาจริงๆ คิดได้ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น“คุณลืมมันไปเถอะครับ” เขาไม่อยากให้ภรรยารู้สึกไม่ดี“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย ฉันเองก็กำลังคิดอยู่ว่าเราควรที่จะแบ่งอาหารให้ที่บ้านเดิมของคุณบ้างอย่างน้อยปีละครั้งยิ่งตอนนี้พ่อเฒ่าต้องทำงานอยู่คนเดียวแล้วยังต้องดูแลเด็กๆ ไม่ด้วยเขาคงลำบากไม่น้อยเลย” อย่างไรก็ตามตอนนี้จางจื่อหานเป็นถึงรองผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติและผู้บัญชาการทหารชุมชนเขาไม่ควรมีชื่อเสียงเรื่องความไม่กตัญญู ซิ่วอิงคิดถึงเรื่องนี้ เธอคิดว่าควรให้ทุกคนได้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะมีความซื่อตรงจับคนผิดไปลงโทษไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวตัวเองแต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความกตัญญูช่วยเหลือครอบครัวเดิมอยู่เสมอ นี่คือแนวคิดที่ถูกต้อง เป็นลูกก็ต้องกตัญญู เป็นคนผิดก็ต้องถูกลงโทษ ต่อไปจะไม่มีใครมาพูดถึงเขาในแง่ร้ายได้“ผมนึกว่าคุณจะไม่พอใจซะอีก” สิ่งที่ซิ่วอิงพูดทำให้จางจื่อหานรู้สึกแปลกใจ“ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจล่ะคะ ยังไงการกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เป็นสิ่งที่ลูกหลานควรทำอยู่แล้ว” เธอย่อมทำดีต่อเขาทำให้เขเห็นว่าเธ
จางจื่อหานใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับมาถึงบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบว่าภรรยากำลังเช็ดตัวให้ลูกชายเล็กอยู่เขาจึงเดินไปใกล้ๆ แล้วยืนดู ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเธออ่อนโยนมากแตกต่างจากคนก่อนเป็นอย่างมากหัวใจของจางจื่อหานสั่นไหวเขาไม่สามารถห้ามมุมปากที่ยกขึ้นได้“กลับมาแล้วเหรอคะ” ซิ่วอิงรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจึงหันไปดูพบว่าเป็นจางจื่อหานที่กำลังยืนมองเธออยู่“ให้คุณเลือก” จางจื่อหานยื่นแผนผังให้กับภรรยา ซิ่วอิงรับมาแล้วเปิดออกดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเขา“อนุมัติการสร้างบ้านแล้วเหรอ?” ไม่ใช่เขาบอกเธอว่าอาจใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีหรอกเหรอ“ผู้อำนวยการกรรมการปฏิวัติอนุมัติให้เราเป็นกรณีพิเศษ” เขาบอกพร้อมกับมองเธอที่กำลังยิ้มดีใจ หัวใจของเขาเต้นแรงอีกแล้ว“ดีจริงๆ คุณกลับมาครอบครัวเราก็มีแต่เรื่องดีๆ” ทั้งเงินเดือนและอาหารไหนจะสร้างบ้านใหม่ จางจื่อหานนี่คือขาทองคำชัดๆ จางจื่อหานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ“คุณชอบตรงไหน” เขาเอ่ยถามเธอพร้อมกับก้มลงมามองกระดาษแผ่นเดียวกัน“ฉันคิดว่าที่ตรงนี้ดี” ซิ่วอิงชี้ไปที่กระดาษ ที่นั่นห่งจากบ้านอื่นหน่อยดูไม่แออัดและเป็นพื้นที่กว้างอีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล
“เจ้าเล็ก ยังไงพวกเขาก็เป็นแม่และพี่ชายของลูก” พ่อเฒ่าจางพาหลานทั้งสองมาที่บ้านท้ายหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับซิ่วอิง ระหว่างที่เดินมาเขารู้สึกหนักใจไม่น้อยกลัวว่าลูกสะใภ้เล็กจะไม่ยอมและอาละวาดแต่เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าลูกชายคนเล็กได้อยู่ที่บ้านด้วยเขาจึงรู้สึกโล่งคิดว่าลูกชายคนเล็กคงเห็นแก่แม่อยู่บ้าง“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรกับพวกเขา” จางจื่อหานตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าเล็กตอนนี้พี่ชายของลูกกำลังบาดเจ็บ” พ่อเฒ่าจางยังไม่ยอมถอย เขาต้องการกดดันลูกชายคนเล็กให้ช่วยลูกชายคนโตออกมา“พ่อ พ่อบอกว่าพี่ใหญ่เจ็บแล้วซีห่าวของเราไม่เจ็บเหรอ เขาป่วยอยู่แล้วยังถูกพี่ใหญ่ที่เป็นลุกของเขาทำร้ายจนหัวแตกอีก” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้น เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากที่จนถึงขนาดนี้คนพวกนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีก“สะใภ้เล็กเจ้าใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจ” พ่อเฒ่าจางเอ่ยแก้ต่างแทนลูกชาย“ฉันเห็นกับตาว่าเขากำลังเข้าไปทำร้ายร่างกายของลูกชายฉันซ้ำ แบบนี้เรียกไม่ได้ตั้งใจเหรอ พ่อควรบอกให้เขาสำนึกผิดไม่ใช่มาขอให้เราไม่เอาผิดพวกเขาไม่งั้นชาวบ้านจะมองพ่อเป็นอะไร รักลุกชายคนโตรังแกลูกชายคนเล็กเหรอ” ซิ่วอิงจี้จุดพ่อเฒ่า เธอรู้ดีว่าของสามีห่วงหน้าตาตัวเอ
จางจื่อหานพาลูกและภรรยามาที่บ้านโดยมีจางจื่อชิงติดสอยห้อยตามมาด้วย จางจื่อหานวางลูกชายคนเล็กลงบนเตียงเตาก่อนจะถอยออกมาให้ซิ่วอิงได้เข้าไปดู“ห่าวห่าว เป็นยังบ้าง” ซิ่วอิงเอ่ยถามอีกครั้ง“แม่ ฉันไม่เป็นไร” ซีห่าวเอ่ยตอบ ซิ่วอิงที่เห็นเด็กน้อยยืนยันเธอก็รู้สึกผ่อนคลายลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองดูเธอด้วยสายตามีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น“ห่าวห่าว ลูกนอนพักก่อนนะ” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง เธอรู้สึกสงสารซีห่าวมากทั้งป่วยแล้วยังจะมีบาดเจ็บอีก เมื่อซีห่าวทำตามที่เธอบอกเธอจึงพยักหน้าให้สามีว่าออกไปคุยกันข้างนอก“พี่จื่อหาน ทำไมพี่กลับมาเร็วจัง” จางจื่อชิงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม“จัดการธุระเสร็จแล้วเลยรีบกลับมา” จางจื่อหานเอ่ยเสียงนิ่งตามนิสัยของเจ้าตัว“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะจื่อชิง” ถ้าวันนี้ไม่มีจื่อชิงเธอคงพาซีห่าวไปถึงอนามัยไม่เร็วเท่านี้“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเองว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น?” จางจื่อชิงถามด้วยความสงสัย“ฉันก็ไม่รู้ ฉันกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเด็กๆ ถูกรังแกและซีห่าวหัวแตก ฉันก็เลยโมโหเอาไม้ไล่ตีพวกเขา” เธอเหลือบตามองจางจื่อหาน เขาจะคิดว่าเธอ
“หยุด!” ซิ่วอิงตะโกนดังลั่น หลังจากไปทำงานเธอรู้สึกเป็นห่วงซีห่าวมากกลัวว่าจะไข้ขึ้นสูงเธอจึงรีบเร่งทำงานพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสณ้จโดยเร็วหลังจากผ่านไปพักใหญ่หน้างานของเธอเหลือไม่มากซีซวนที่มองอาการของผู้เป็นแม่ออกก็อาสาทำที่เหลือแทนและให้เธอกลับมาที่บ้านก่อนหลังจากทำงานเสร็จเขาจึงจะตามมาทีหลัง เมื่อซิ่วอิงเดินมาใกล้จะถึงบ้านเธอได้ยินเสียงของซูเม่ยตะโกนขอความช่วยเหลือเธอตกใจกลัวว่าซีห่าวอาจจะไข้ขึ้นสูงจนช็อคจึงรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วแต่สิ่งที่เห็นคือคนชั่วทั้งสาวคนนั่นกำลังรังแกลลูกของเธอทำให้เธอตะโกนบอกให้พวกเขาหยุดด้วยอารมณ์ที่โมโห ยิ่งเมื่อเธอมองเห็นเลือดที่ไหลอาบใบหน้าของซีห่าวดวงตาของเธอก็เริ่มดำมืดขึ้น ซิ่วอิงคว้าไม้กวาดที่อยู่ไม่ไกลมาถือไว้ในมือแล้วก้าวฉับๆ ไปหาทั้งสามคนทันที“กล้าดียังไงมารังแกลูกของฉันห้ะ” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับง้างไม้กวาดไล่ฟาดทั้งสามคนโดยไม่สนว่าจะเป็นครอบครัวของสามี“กรี๊ดด อย่านะ” เหมยลี่กรีดร้องอย่างหวาดกลัว“นังปากร้ายจะฆ่าคนแล้ว ช่วยด้วย จะฆ่าคนแล้ว โอ้ย!” จางจื่อซวานที่โดนตีก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกหวาดกลัวมากจึงวิ่งไปชนประตูอย่างแรงจนทำให้
“เรื่องนี้อย่าให้พ่อของแกรู้” แม่เฒ่าจางเอ่ยบอกลูกชายคนโต แม้ว่าพ่อเฒ่าจางจะลำเอียงรักลูกชายคนโตแต่เขาก็มักจะไว้หน้าตัวเองเสมอไม่แสดงออกถึงความลำเอียงมากเกินไป วันนี้พ่อเฒ่าจางมัววแต่ไปพูดคุยกับเพื่อนฝูงทำให้ทั้งสามคนคิดวางแผนที่จะทำเรื่องนี้“คุณแม่คะ แล้วนังนั่นจะไม่ไปแจ้งสันติบาลเหรอคะ” เหมยลี่เองก็อยากได้เงินห้าร้อยหยวนแต่เธอก็กังวลไม่ได้ หากนังปากร้ายนั่นไปแจ้งสันติบาลหรือคณะกรรมการปฏิวัติพวกเธออาจจะถูกจับ“มีลูกสะใภ้ที่ไหนจะแจ้งจับแม่สามี” จะสามารถทำแบบนั้นได้ยังไง ไม่เคยมีสะใภ้คนไหนกล้าแจ้งจับแม่สามีแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่โดนทุบตีก็ตามมันถูกมองว่าเป็นปกติเว้นเสียแต่ว่าจะมีคนตาย“แต่มันแยกบ้านไปแล้วนะคะ” เหมยลี่ไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนั้นได้ เธอไม่อยากถูกจับ“นี่สะใภ้ใหญ่ เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่เฒ่าจางพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะแม่” เหมยลี่ที่เห็นแม่สามีเริ่มไม่พอใจก็ไม่กล้าที่จะแย้งอีก ในใจก็แอบเห็นด้วยว่าจางจื่อหานคงไม่แจ้งจับแม่ตัวเองหรอก“แม่ครับ ผมว่าเราควรไปตอนที่มันออกไปทำงาน” เวลานั้นชาวบ้านจะออกไปทำงานแลกคะแนนกันหมดไม่มีใครอยู่บ้านถือว่าทางสะด