พอฟังคำพูดของลูกสะใภ้ หนิงหงชุนก็คิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อนึกถึงปัญหาที่ฟางหลู่เฉินต้องเจอต่อจากนี้กับทางบ้านฟาง เธอก็อดที่จะหวงไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วอาเฉินจะไม่มีปัญหาเหรอ” เธอถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“มีปัญหาก็ดีเหมือนกันครับน้าหงชุน ผมก็อยากจะออกมาจากบ้านฟางเต็มทีแล้วเหมือนกัน ตอนแรกมีสหายมาชวนไปทำงานต่างเมือง แต่เพราะยังเป็นห่วงเจียวเหมย ผมเลยยังไม่คิดจะไปไหน แต่ตอนนี้ในเมื่อน้องมีลู่ทางทำมาหากิน ผมเป็นพี่ชายก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือน้องครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับตามความรู้สึกของเขาจริงๆ หากไม่ติดที่คอยเป็นห่วงน้องสาว เขาคงตามสหายไปทำงานต่างเมืองแล้วเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรอยู่บ้านฟางเขาก็แทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากนะคะพี่ใหญ่ ที่ทำเพื่อน้องสาวที่ไม่เอาไหนและแสนร้ายกาจคนนี้มาตลอด ต่อจากนี้ไปฉันสัญญาเลยค่ะว่าจะไม่ทำให้พี่หนักใจหรือต้องเป็นห่วงอีก ขอแค่บ้านสามหลี่ตัดขาดจากบ้านหลี่ได้ พวกเรา
ทุกคนก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันเถอะ ที่นั่นมีลู่ทางให้พวกเราทำมาหากินเยอะแยะเลยล่ะ” ฟางเจียวเหมยตอบกลับพี่ชายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะพาทุกคนไปพบเจอแต่สิ่งดี ๆ
หลังจากจบเรื่องกับบ้านใหญ่ ฟางเจียวเหมยและทุกคนจึงกิน
มื้อเย็นกันต่อ เมื่อจบมื้อเย็นแล้วฟางหลู่เฉินเอาจานชามไปช่วยล้างที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน ก่อนจะขอตัวกลับบ้านฟางด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
ส่วนฟางเจียวเหมยและคนบ้านสามต่างก็ช่วยกับเก็บของเข้าห้อง ก่อนจะรออาบน้ำต่อจากบ้านใหญ่และบ้านรอง จากนั้นก็เข้านอนพักผ่อน
กลับมาทางบ้านฟาง เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วฟางหลู่เฉินยังไม่กลับ ลู่เจียเม่ยก็บ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เพราะเธอรอใช้แรงงานเขาอยู่
“ลูกชายพี่หายไปไหน ไม่รู้หรือไงว่าฟืนบ้านเราใกล้จะหมดแล้ว”
“เธอก็จะอะไรกับลูกมากมาย อาเฉินนี้ก็โตแล้วนะ ความจริงแล้วควรจะหาภรรยาให้ได้แล้ว แต่เพราะบ้านเราจนอย่างไรล่ะเลยไม่มีใครอยาก จะแต่งเข้ามา”
ฟางควนนั่งสูบยาสูบอยู่ก็อดที่จะพูดสวนขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้ลูกชายคนโตก็อายุเกินวัยที่จะแต่งงานแล้ว แต่กลับยังไม่มีภรรยา จนลืมไปว่าเพราะเขานั่นแหละที่ไม่คิดจะสนใจหาภรรยาให้ลูกชายต่างหาก ไม่เกี่ยวกับว่าบ้านจะจนหรือไม่
“เอ๊ะ นี่พี่กำลังเข้าข้างลูกพี่อยู่อย่างนั้นเหรอพี่ฟางควน ฉันแต่งงานเข้าบ้านฟางมาก็อยากจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดี แต่พี่จะให้ฉันไปบังคับลูกสาวบ้านอื่นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสตรีใดอยากแต่งเข้าบ้านฟาง พี่จะให้ฉันทำอย่างไร” ลู่เจียเม่ยพูดขึ้นมาคล้ายกับจะแก้ต่างกับสามี ว่าทั้งหมดไม่ใช่ความผิด
ของเธอ
“ช่างเถอะ ถึงเวลาอาเฉินก็คงมีภรรยาเองนั่นแหละ ว่าแต่อาเซียนยังไม่กลับมาอีกเหรอ” เขาคร้านจะเถียงกับภรรยา จึงเอ่ยถามถึงลูกเลี้ยงขึ้นมาเพราะไม่เห็นหญิงสาวอยู่ภายในบ้าน
“คงไปบ้านสหายนั่นแหละพี่ เดี๋ยวก็คงกลับมา พี่หิวหรือยัง จะไปกินมื้อเย็นก่อนไหม” ลู่เจียเม่ยไม่อยากให้สามีตำหนิลูกสาวตนเอง จึงหาเรื่องเบี่ยงเบนด้วยการชวนเขาไปกินมื้อเย็นแทน
“อืม หิวแล้วเหมือนกัน สองคนนั้นเดี๋ยวพอกลับมาค่อยหากินกันเอง เธอกับฉันไปกินกันก่อนเถอะ” พูดจบฟางควนก็ดับยาสูบและลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงที่ภรรยาเตรียมอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น ฟางหลู่เฉิน
เดินกลับเข้ามาพอดี พร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้าที่น้องสาวให้มา
ชายหนุ่มกำลังจะเดินไปที่ห้องของตนเอง แต่กลับโดนแม่เลี้ยงอย่างลู่เจียเม่ยเรียกไว้เสียก่อน เพราะหล่อนนั้นเห็นถุงใส่ของที่ลูกเลี้ยงถือมา
“เดี๋ยวก่อนสิอาเฉิน นั่นถุงอะไร กลับบ้านก็เย็น ไม่ใช่ว่าแอบเอาเงินที่ควรจะนำเข้ากองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวหรอกนะ” ลู่เจียเม่ยถามออกไปพร้อมกับจ้องถุงในมือของลูกเลี้ยงไม่วางตา
“แล้วยังไงครับ ต่อให้ผมเอาเงินในกองกลางไปซื้อ แต่ว่านั่นก็เงินที่ผมหามาไม่ใช่เหรอครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชั่วพอที่จะเอาเงินกองกลางไปซื้อของส่วนตัวหรอกครับ เสื้อผ้าในถุงนี้เจียวเหมยเป็นคนซื้อให้ น้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฟางหลู่เฉินตอบกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า เพราะคนที่เอาเงินกองกลางไปใช้ส่วนตัวก็มีแต่คนที่ถามเขาอยู่นี่แหละ
ต่อให้ไม่อยากจะทะเลาะด้วย แต่ครั้งนี้เพื่อต้องการทำตามแผนของน้องสาว ชายหนุ่มจึงยอมที่จะปะทะฝีปากกับแม่เลี้ยง
“เอ๊ะ นี่เธอกำลังว่าฉันอยู่เหรอ ฉันก็แค่สงสัยเลยถาม หรือเธอคิดว่าฉันและลูกสาวเอาเงินกองกลางไปใช้อย่างอื่น ว่าแต่เจียวเหมยเอาเงินที่ไหนไปซื้อ” ลู่เจียเม่ยร้อนตัวทันที เพราะหล่อนเอาเงินกองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวให้ตนเองและลูกสาวจริง ๆ
“น้าไม่รู้เหรอครับ ว่าแม่พวกเราก็มีเงินเหมือนกัน ตอนที่เจียวเหมยแต่งงาน ผมก็เอาสินเดิมของแม่ให้ไปเป็นสินเดิมของน้อง วันนี้น้องเห็นเสื้อผ้าลดราคาก็เลยซื้อมาให้ผมและคนบ้านสามหลี่” ชายหนุ่มพูดตามที่นัดแนะกับน้องสาวทุกอย่าง ในขณะที่พูดนั้นมุมปากก็กระตุกรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของแม่เลี้ยงดูตกใจที่แม่มีสินเดิมทิ้งไว้ให้เขาและน้องสาว
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะคะพี่ฟางควน แล้วทำไมจะต้องให้สินเดิมไปทั้งหมดด้วย” หลังจากได้ยินว่าลูกเลี้ยงมี
สินเดิมจากแม่ทิ้งไว้ให้ หล่อนจึงหันมาทำเสียงไม่พอใจใส่สามี หากรู้ก่อนหน้านี้หล่อนคงยึดเอาของพวกนั้นมาไว้เป็นของตัวเองแล้วล่ะ
“ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลยไม่ได้บอก อีกอย่างลูกทั้งสองก็เติบโตแล้ว น่าจะเก็บสินเดิมของแม่ตัวเองไว้ได้ และเมื่อเจียวเหมยแต่งงานก็ควรจะได้สินเดิมของแม่ไปก็ถูกต้องแล้วนี่”
ฟางควนไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะลูกทั้งสองคนก็โตพอที่จะเก็บทรัพย์สินของแม่ไว้เองได้ เขาเลยไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ โดยปล่อยให้สองพี่น้องจัดการเอาเอง
หลังจากตอบภรรยาแล้ว เขาก็หันมาต่อว่าลูกชายคนโตที่ดูจะไม่มีความเคารพต่อแม่เลี้ยงเลย
“แกก็เหมือนกันอาเฉิน หัดพูดจาดี ๆ กับน้าเจียเม่ยหน่อยเถอะ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดไม่ต้องจากันเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
แม้จะรู้สึกปวดหัวใจที่ไม่สามารถฉกชิงสินเดิมของสองพี่น้องมาได้ แต่ลู่เจียเม่ยก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ที่สามีเข้าข้างตนเองและหันไปตำหนิลูกชายแทน
“ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คิดจะแวะพูดด้วยอยู่แล้วนะครับพ่อ แต่ภรรยาของพ่อกลับเรียกผมไว้ ถ้าไม่อยากให้ผมพูดจาแบบนี้อีก ก็อย่าเรียกสิครับ ขอตัวก่อนนะครับพ่อ” พูดจบฟางหลู่เฉินก็เดินหนีไปยังห้องของตัวเองทันที
“ดูลูกชายพี่ทำกิริยาต่อฉันสิคะ ฉันแต่งเข้าบ้านฟางมาก็หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน ฉันก็ไม่เป็นที่เคารพของลูกพี่ทั้งสองคน” ลู่เจียเม่ยได้ทีก็ฟ้องสามีทันที เธอทำเหมือนตัวเองเป็นแม่เลี้ยงที่ถูกลูกสามีรังแก
“เธอก็ใจเย็นหน่อยเถอะ เดี๋ยวสักวันอาเฉินคงจะดีขึ้น” ฟางควนไม่พูดอะไรต่อ และก้มหน้าก้มตากินอาหารทันที
เช้าวันต่อมา…
ฟ้ายังไม่ทันสว่างสักเท่าไหร่ ฟางเจียวเหมยก็ตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมให้แม่และน้องสามี รวมถึงลูกน้อยทั้งสองคน ทำให้กลิ่นอาหารก็ตลบอบอวลลอยไปทางบ้านใหญ่เหมือนเดิม
หลังจากทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หลบเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ครัว ก่อนจะเข้ามิติไปอาบน้ำชำระร่างกาย และออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นจึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้เรียบร้อยแล้วเรียกแม่และน้องสามีออกมากิน
ส่วนตัวเธอนั้นต้มน้ำและไปตักน้ำมาใส่อ่างเล็กเพื่อผสมกับน้ำร้อน ทำเป็นน้ำอาบให้ลูกทั้งสองคนอย่างเอาใจใส่
“พี่สะใภ้ ข้าวต้มแบบนี้กินได้เหรอคะ”
เด็กสาวมองไปยังหม้อใบเล็ก เห็นว่าในนั้นมีข้าวต้มผสมกับผักหั่นเต๋าหลายชนิดรวมถึงตับหมูที่หั่นเป็นเต๋าแล้วเหมือนกัน เลยไม่เข้าใจว่าหลานตัวน้อยจะเคี้ยวข้าวพวกนี้ไปได้อย่างไร
บทส่งท้าย ครอบครัวอบอุ่นหลี่อี้ข่ายเมื่อรู้เรื่องว่าภรรยาเหมือนจะคลอดแล้วจึงรีบตามไปที่โรงพยาบาลทันที พอมาถึงก็รู้ว่าภรรยาได้เข้าไปในห้องคลอดแล้ว เขาได้แต่เดินไปเดินมาที่หน้าห้องคลอด จนทุกคนเวียนหัวไปหมดแล้วในตอนนี้“อาข่ายหยุดเดินแล้วมานั่งก่อนเถอะ ตาเวียนหัวไปหมดแล้ว” นายท่านผู้เฒ่ากงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเพราะเขาเวียนหัวไปหมดแล้วจากการเดินของหลานเขย“ครับ คุณตา”แต่ถึงแม้จะบอกอย่างนั้น หลี่อี้ข่ายก็ไม่ยอมนั่ง เขาเดินไปยืนเอาหน้าแนบประตูห้องคลอด เหมือนกับว่าจะมองให้ทะลุเข้าไปในห้องให้ได้ นั่นจึงทำให้ทุกคนส่ายหัวให้กับความตื่นเต้นของเขา ทั้ง ๆ ที่เคยมีลูกมาก่อนแล้วสองคนไม่นานประตูก็เปิดออกและมีคุณหมอก็ออกมาแจ้งข่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มว่า“ยินดีด้วยนะคะ คุณเจียวเหมยคลอดลูกแฝดชายหญิงค่ะ”“ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” ชายหนุ่มรีบถามถึงอาการของภรรยาก่อนจนคุณหมอต้องอมยิ้ม เพราะเขาไม่ถามเลยว่าแฝดกี่คน‘ดูท่าว่าคนนี้จะรักภรรยามากจริง ๆ’ หมอคิดในใจ“ภรรยาคุณหลังจากที่คลอดลูกก็เพลียจนตอนนี้หลับไปแล้วค่ะ อาการปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกเลยค่ะ ว่าแต่คุณพ่อไม่ถามเหรอคะ ว่าคราวนี้ลูกแฝ
บทที่ 74 รับปู่กับย่ามาอยู่ด้วย“ฮือ ๆ ๆ ตาแก่นั่นตอนนี้ป่วยหนัก แต่ย่าไม่มีเงินพาไปหาหมอเพราะสะใภ้ใหญ่แอบเอาเงินที่มีไปให้บ้านเดิมยืม จนตอนนี้บ้านซ่งก็ยังไม่คืน แถมเมียอาจงพอเห็นสามีติดคุกก็หอบเงินที่มีหนีไปอีก ตอนนี้บ้านหลี่เราลำบากมาก แทบไม่มีอะไรกิน ตาแก่ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหวสะดุดล้มหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินไม่ได้อีกและนอนป่วยอยู่ที่บ้าน กินน้ำต้มข้าวประทังชีวิตไปวัน ๆ ”ย่าหลี่พูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ นางเคยบากหน้าไปขอจากลูกคนรอง แต่บ้านนั้นแทบจะไม่เปิดประตูต้อนรับนางเช่นกันหลี่อี้ข่ายได้ฟังอย่างนั้นก็หันไปสบสายตากับฟางเจียวเหมย เมื่อเธอพยักหน้าให้ เขาก็ออกคำสั่งกับคนที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที“เผิงหยู่ นายเอารถฉันพาย่าไปรับปู่แล้วรีบไปส่งโรงพยาบาล ค่ารักษาฉันจะจ่ายเองทั้งหมด อ้อ เอาอาหารแล้วก็ของใช้ไปให้เพียงพอสำหรับปู่กับย่าด้วยนะ คนอื่นไม่เกี่ยว” ชายหนุ่มไม่อยากคิดถึงความร้ายกาจที่บ้านใหญ่มีต่อบ้านสามของเขา ครั้งนี้เขาขอทำเพื่อพ่อที่จากไป อย่างน้อยก็ได้กตัญญูแทนท่าน และเขาทำให้ปู่กับย่าเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์“ครับเถ้าแก่” เผิงหยู่ขานรับทันที เขารู้สิ่
บทที่ 73 ความสุขที่ได้แบ่งปันข่าวเรื่องที่ร้านหลี่ฟางจะตั้งโรงทานเพื่อแจกอาหารและของใช้ให้ชาวบ้าน ต่างกระจายไปทั่ว ไม่ว่าหมู่บ้านนั้นจะอยู่ลึกและกันดารแค่ไหน สามล้อพุ่มพวงก็เดินทางไปส่งข่าวหลังจากขายของหมดแล้ว ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกคนได้แต่อวยพรให้ร้านหลี่ฟางขายดีและร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม พอนายท่านกงและนายท่านผู้เฒ่ากงทราบเรื่อง ทั้งสองก็มาช่วยลงขันด้วย โดยการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ยากไร้ ไม่มีทุนทรัพย์ในการเรียนต่อเบื้องต้นจำนวน 50 ทุนและจะพิจารณาทุนให้เป็นการเฉพาะรายที่อยากเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยจะคัดเลือกจากคนเรียนดีแต่ยากจนจริงๆ อีกครั้งในภายหลัง พอเรื่องนี้เข้าหูชาวบ้าน ทุกคนก็ยิ่งดีใจมาก เพราะหลายครอบครัวที่อยากส่งลูกหลานเรียนแต่ไม่มีเงิน“ขอบคุณตระกูลหลี่ ตระกูลฟาง และตระกูลกง นอกจากฉันจะไม่อดตายในหน้าหนาวปีนี้แล้ว หลานของฉันมีโอกาสได้เรียนต่อตามที่เขาตั้งใจไว้อีกด้วยขอบคุณจริงๆ”ยายเฒ่าคนหนึ่งหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อได้ยินประกาศจากรถสามล้อพุ่มพวง เนื่องจากเธออาศัยอยู่กับหลานชายและลูกชาย ซึ่งตอนนี้หลานชายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เนื่องจากบ้านพวกเธอต่างยอม
บทที่ 72 คืนกำไรให้ชาวบ้าน“เป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่คิดไหม” นายท่านผู้เฒ่ากงสอบถามทันทีด้วยสีหน้าร้อนรนปนตื่นเต้น เมื่อหลานทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน“เป็นอย่างที่คิดครับคุณตา เจียวเหมยตั้งท้องแล้วครับ แปดสัปดาห์แล้วครับคุณตา” หลี่อี้ข่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะเวลานี้เขากำลังดีใจที่จะมีลูกเพิ่ม“จริงหรือ” หนิงหงชุนพอได้ยินว่าลูกสะใภ้ตั้งท้องอีกครั้งก็รีบวางหลานสาวเข้าคอกกั้น ก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจส่วนนายท่านผู้เฒ่ากงปรากฏรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่“จริงครับแม่”หลี่อี้ข่ายตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เนื่องจากเวลานี้เขากำลังดีใจกว่าทุกคนในเรื่องนี้ ส่วนฟางเจียวเหมยนั้นไม่ต้องห่วง เธอนั้นมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งอบอุ่นหัวใจและดีใจก่อนจะเดินไปหาลูกน้อยทั้งสองคนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในคอก“อาหมิง หนิงหนิง เราสองคนกำลังมีน้องแล้วนะ ดีใจไหม” ความดีใจนี้เธออยากจะบอกให้ลูกทั้งสองคนรับรู้“น้อนเหยอ” หลี่ลี่หนิงละทิ้งของเล่นในมือพร้อมกับเอียงคอถามด้วยท่าทีที่น่ารัก“ค่ะลูก หนูกำลังจะมีน้องรู้ไหม” หญิงสาวตอบกลับพร้อมกับลูบหัวลูกสาวตัวน้อยด้วยความอ่อนโยน ส่วนหลี่ชุน
บทที่ 71 ตั้งท้องแล้วหลังจากเปิดใจกันวันนั้นฟางหลู่เฉินและหลี่เหว่ยเหลียนก็ได้เปิดตัวกับทุกคน ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็ยินดีกับทั้งสองคนด้วย รวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากงด้วย วันเวลาล่วงเลยจนอี้เสี่ยวม่านใกล้คลอดแล้ว ส่วนกงเฉิงเสวียนก็เดินทางไปกลับระหว่างสองเมืองเพื่อดูแลงานเองทุกที่ รวมถึงร้านรับซื้อหยกของเขาด้วย มีบางครั้งที่ฟางเจียวเหมยและสามีตามไปด้วยเพื่อหาซื้อหยกแล้วขายต่อให้พี่ชายอีกทั้งเวลานี้โรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ก็คืบหน้าไปมาก เพราะฟางเจียวเหมยทุ่มเงินไปกับส่วนนี้ไม่น้อย แม้การก่อสร้างจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพและความคงทนแข็งแรงนั้นไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะทรัพย์สินพวกนี้เป็นอะไรที่สามารถเก็บกินระยะยาวหลายสิบปีและเธอตั้งใจจะทำเพื่อมอบไว้ให้ลูก ๆฟางเจียวเหมยและหลี่อี้ข่าย ตอนนี้ทั้งสองคนมีอิทธิพลในเมืองแห่งนี้และเมืองใกล้ ๆ ไม่น้อย เพราะกิจการที่เจริญรุ่งเรืองไม่หยุดของทั้งคู่ ทำให้เป็นที่นับหน้าถือตาของกลุ่มนักธุรกิจด้วยกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวบ้านธรรมดา จะกลายเป็นผู้มีเงินได้มากขนาดนี้อีกทั้งคุณนายหลี่อย่างฟางเจียวเหมย ยังมีฐานะเป็นหลานสาวของตระกูลกงที่มั่งคั่งและร่ำรวยระ
บทที่ 70 คำสารภาพของฟางหลู่เฉินหลังจากส่งนายท่านกงขึ้นรถแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง รวมถึงกงเฉิงเสวียนที่เปิดกิจการใหม่ที่นี่ด้วยนั่นก็คือโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ตามคำแนะนำของน้องสาวอย่างฟางเจียวเหมย ซึ่งเธอก็สร้างด้วยเหมือนกัน เพราะกิจกรรมพวกนี้ มันไม่ได้แย่งชิงลูกค้ากันอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคนที่อยากมีบ้านแต่ทุนน้อยและไม่มีที่ดินของตนเอง ซึ่งการที่ฟางเจียวเหมยให้พี่ชายคนนี้มาทำกิจการนี้ นั่นก็เพราะว่ากงเฉิงเสวียนมีเส้นสายในการขออนุญาตกับภาครัฐอย่างไรล่ะ หากเป็นตาสีตาสาเช่นเธอ ทุกอย่างคงจะยากน่าดูพอทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่ากงก็หันมาเล่นกับสองแฝดด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของชายชราปรากฏให้เห็นแล้วว่าเขานั้นมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้ ซึ่งเด็กน้อยแม้จะพูดไม่ค่อยชัดเพราะเริ่มหัดพูด แต่ก็พยายามโต้ตอบสื่อสารกับผู้เป็นทวดของทั้งสองคนอย่างร่าเริง“ฉันฝากสองแฝดหน่อยนะคะนายท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวจะไปเตรียมอาหารไว้สำหรับมื้อเที่ยงของเด็กๆ วันนี้นายท่านต้องการรับประทานอาหารชนิดไหนคะ ฉันจะได้เตรียมไว้ให้” หนิงหงชุนพอเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว เลยฝากหลานทั้งสองไว้ให้นายท่านผู้