พอฟังคำพูดของลูกสะใภ้ หนิงหงชุนก็คิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อนึกถึงปัญหาที่ฟางหลู่เฉินต้องเจอต่อจากนี้กับทางบ้านฟาง เธอก็อดที่จะหวงไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วอาเฉินจะไม่มีปัญหาเหรอ” เธอถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“มีปัญหาก็ดีเหมือนกันครับน้าหงชุน ผมก็อยากจะออกมาจากบ้านฟางเต็มทีแล้วเหมือนกัน ตอนแรกมีสหายมาชวนไปทำงานต่างเมือง แต่เพราะยังเป็นห่วงเจียวเหมย ผมเลยยังไม่คิดจะไปไหน แต่ตอนนี้ในเมื่อน้องมีลู่ทางทำมาหากิน ผมเป็นพี่ชายก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือน้องครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับตามความรู้สึกของเขาจริงๆ หากไม่ติดที่คอยเป็นห่วงน้องสาว เขาคงตามสหายไปทำงานต่างเมืองแล้วเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรอยู่บ้านฟางเขาก็แทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากนะคะพี่ใหญ่ ที่ทำเพื่อน้องสาวที่ไม่เอาไหนและแสนร้ายกาจคนนี้มาตลอด ต่อจากนี้ไปฉันสัญญาเลยค่ะว่าจะไม่ทำให้พี่หนักใจหรือต้องเป็นห่วงอีก ขอแค่บ้านสามหลี่ตัดขาดจากบ้านหลี่ได้ พวกเรา
ทุกคนก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันเถอะ ที่นั่นมีลู่ทางให้พวกเราทำมาหากินเยอะแยะเลยล่ะ” ฟางเจียวเหมยตอบกลับพี่ชายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะพาทุกคนไปพบเจอแต่สิ่งดี ๆ
หลังจากจบเรื่องกับบ้านใหญ่ ฟางเจียวเหมยและทุกคนจึงกิน
มื้อเย็นกันต่อ เมื่อจบมื้อเย็นแล้วฟางหลู่เฉินเอาจานชามไปช่วยล้างที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน ก่อนจะขอตัวกลับบ้านฟางด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
ส่วนฟางเจียวเหมยและคนบ้านสามต่างก็ช่วยกับเก็บของเข้าห้อง ก่อนจะรออาบน้ำต่อจากบ้านใหญ่และบ้านรอง จากนั้นก็เข้านอนพักผ่อน
กลับมาทางบ้านฟาง เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วฟางหลู่เฉินยังไม่กลับ ลู่เจียเม่ยก็บ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เพราะเธอรอใช้แรงงานเขาอยู่
“ลูกชายพี่หายไปไหน ไม่รู้หรือไงว่าฟืนบ้านเราใกล้จะหมดแล้ว”
“เธอก็จะอะไรกับลูกมากมาย อาเฉินนี้ก็โตแล้วนะ ความจริงแล้วควรจะหาภรรยาให้ได้แล้ว แต่เพราะบ้านเราจนอย่างไรล่ะเลยไม่มีใครอยาก จะแต่งเข้ามา”
ฟางควนนั่งสูบยาสูบอยู่ก็อดที่จะพูดสวนขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้ลูกชายคนโตก็อายุเกินวัยที่จะแต่งงานแล้ว แต่กลับยังไม่มีภรรยา จนลืมไปว่าเพราะเขานั่นแหละที่ไม่คิดจะสนใจหาภรรยาให้ลูกชายต่างหาก ไม่เกี่ยวกับว่าบ้านจะจนหรือไม่
“เอ๊ะ นี่พี่กำลังเข้าข้างลูกพี่อยู่อย่างนั้นเหรอพี่ฟางควน ฉันแต่งงานเข้าบ้านฟางมาก็อยากจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดี แต่พี่จะให้ฉันไปบังคับลูกสาวบ้านอื่นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสตรีใดอยากแต่งเข้าบ้านฟาง พี่จะให้ฉันทำอย่างไร” ลู่เจียเม่ยพูดขึ้นมาคล้ายกับจะแก้ต่างกับสามี ว่าทั้งหมดไม่ใช่ความผิด
ของเธอ
“ช่างเถอะ ถึงเวลาอาเฉินก็คงมีภรรยาเองนั่นแหละ ว่าแต่อาเซียนยังไม่กลับมาอีกเหรอ” เขาคร้านจะเถียงกับภรรยา จึงเอ่ยถามถึงลูกเลี้ยงขึ้นมาเพราะไม่เห็นหญิงสาวอยู่ภายในบ้าน
“คงไปบ้านสหายนั่นแหละพี่ เดี๋ยวก็คงกลับมา พี่หิวหรือยัง จะไปกินมื้อเย็นก่อนไหม” ลู่เจียเม่ยไม่อยากให้สามีตำหนิลูกสาวตนเอง จึงหาเรื่องเบี่ยงเบนด้วยการชวนเขาไปกินมื้อเย็นแทน
“อืม หิวแล้วเหมือนกัน สองคนนั้นเดี๋ยวพอกลับมาค่อยหากินกันเอง เธอกับฉันไปกินกันก่อนเถอะ” พูดจบฟางควนก็ดับยาสูบและลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงที่ภรรยาเตรียมอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น ฟางหลู่เฉิน
เดินกลับเข้ามาพอดี พร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้าที่น้องสาวให้มา
ชายหนุ่มกำลังจะเดินไปที่ห้องของตนเอง แต่กลับโดนแม่เลี้ยงอย่างลู่เจียเม่ยเรียกไว้เสียก่อน เพราะหล่อนนั้นเห็นถุงใส่ของที่ลูกเลี้ยงถือมา
“เดี๋ยวก่อนสิอาเฉิน นั่นถุงอะไร กลับบ้านก็เย็น ไม่ใช่ว่าแอบเอาเงินที่ควรจะนำเข้ากองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวหรอกนะ” ลู่เจียเม่ยถามออกไปพร้อมกับจ้องถุงในมือของลูกเลี้ยงไม่วางตา
“แล้วยังไงครับ ต่อให้ผมเอาเงินในกองกลางไปซื้อ แต่ว่านั่นก็เงินที่ผมหามาไม่ใช่เหรอครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชั่วพอที่จะเอาเงินกองกลางไปซื้อของส่วนตัวหรอกครับ เสื้อผ้าในถุงนี้เจียวเหมยเป็นคนซื้อให้ น้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฟางหลู่เฉินตอบกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า เพราะคนที่เอาเงินกองกลางไปใช้ส่วนตัวก็มีแต่คนที่ถามเขาอยู่นี่แหละ
ต่อให้ไม่อยากจะทะเลาะด้วย แต่ครั้งนี้เพื่อต้องการทำตามแผนของน้องสาว ชายหนุ่มจึงยอมที่จะปะทะฝีปากกับแม่เลี้ยง
“เอ๊ะ นี่เธอกำลังว่าฉันอยู่เหรอ ฉันก็แค่สงสัยเลยถาม หรือเธอคิดว่าฉันและลูกสาวเอาเงินกองกลางไปใช้อย่างอื่น ว่าแต่เจียวเหมยเอาเงินที่ไหนไปซื้อ” ลู่เจียเม่ยร้อนตัวทันที เพราะหล่อนเอาเงินกองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวให้ตนเองและลูกสาวจริง ๆ
“น้าไม่รู้เหรอครับ ว่าแม่พวกเราก็มีเงินเหมือนกัน ตอนที่เจียวเหมยแต่งงาน ผมก็เอาสินเดิมของแม่ให้ไปเป็นสินเดิมของน้อง วันนี้น้องเห็นเสื้อผ้าลดราคาก็เลยซื้อมาให้ผมและคนบ้านสามหลี่” ชายหนุ่มพูดตามที่นัดแนะกับน้องสาวทุกอย่าง ในขณะที่พูดนั้นมุมปากก็กระตุกรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของแม่เลี้ยงดูตกใจที่แม่มีสินเดิมทิ้งไว้ให้เขาและน้องสาว
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะคะพี่ฟางควน แล้วทำไมจะต้องให้สินเดิมไปทั้งหมดด้วย” หลังจากได้ยินว่าลูกเลี้ยงมี
สินเดิมจากแม่ทิ้งไว้ให้ หล่อนจึงหันมาทำเสียงไม่พอใจใส่สามี หากรู้ก่อนหน้านี้หล่อนคงยึดเอาของพวกนั้นมาไว้เป็นของตัวเองแล้วล่ะ
“ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลยไม่ได้บอก อีกอย่างลูกทั้งสองก็เติบโตแล้ว น่าจะเก็บสินเดิมของแม่ตัวเองไว้ได้ และเมื่อเจียวเหมยแต่งงานก็ควรจะได้สินเดิมของแม่ไปก็ถูกต้องแล้วนี่”
ฟางควนไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะลูกทั้งสองคนก็โตพอที่จะเก็บทรัพย์สินของแม่ไว้เองได้ เขาเลยไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ โดยปล่อยให้สองพี่น้องจัดการเอาเอง
หลังจากตอบภรรยาแล้ว เขาก็หันมาต่อว่าลูกชายคนโตที่ดูจะไม่มีความเคารพต่อแม่เลี้ยงเลย
“แกก็เหมือนกันอาเฉิน หัดพูดจาดี ๆ กับน้าเจียเม่ยหน่อยเถอะ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดไม่ต้องจากันเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
แม้จะรู้สึกปวดหัวใจที่ไม่สามารถฉกชิงสินเดิมของสองพี่น้องมาได้ แต่ลู่เจียเม่ยก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ที่สามีเข้าข้างตนเองและหันไปตำหนิลูกชายแทน
“ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คิดจะแวะพูดด้วยอยู่แล้วนะครับพ่อ แต่ภรรยาของพ่อกลับเรียกผมไว้ ถ้าไม่อยากให้ผมพูดจาแบบนี้อีก ก็อย่าเรียกสิครับ ขอตัวก่อนนะครับพ่อ” พูดจบฟางหลู่เฉินก็เดินหนีไปยังห้องของตัวเองทันที
“ดูลูกชายพี่ทำกิริยาต่อฉันสิคะ ฉันแต่งเข้าบ้านฟางมาก็หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน ฉันก็ไม่เป็นที่เคารพของลูกพี่ทั้งสองคน” ลู่เจียเม่ยได้ทีก็ฟ้องสามีทันที เธอทำเหมือนตัวเองเป็นแม่เลี้ยงที่ถูกลูกสามีรังแก
“เธอก็ใจเย็นหน่อยเถอะ เดี๋ยวสักวันอาเฉินคงจะดีขึ้น” ฟางควนไม่พูดอะไรต่อ และก้มหน้าก้มตากินอาหารทันที
เช้าวันต่อมา…
ฟ้ายังไม่ทันสว่างสักเท่าไหร่ ฟางเจียวเหมยก็ตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมให้แม่และน้องสามี รวมถึงลูกน้อยทั้งสองคน ทำให้กลิ่นอาหารก็ตลบอบอวลลอยไปทางบ้านใหญ่เหมือนเดิม
หลังจากทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หลบเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ครัว ก่อนจะเข้ามิติไปอาบน้ำชำระร่างกาย และออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นจึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้เรียบร้อยแล้วเรียกแม่และน้องสามีออกมากิน
ส่วนตัวเธอนั้นต้มน้ำและไปตักน้ำมาใส่อ่างเล็กเพื่อผสมกับน้ำร้อน ทำเป็นน้ำอาบให้ลูกทั้งสองคนอย่างเอาใจใส่
“พี่สะใภ้ ข้าวต้มแบบนี้กินได้เหรอคะ”
เด็กสาวมองไปยังหม้อใบเล็ก เห็นว่าในนั้นมีข้าวต้มผสมกับผักหั่นเต๋าหลายชนิดรวมถึงตับหมูที่หั่นเป็นเต๋าแล้วเหมือนกัน เลยไม่เข้าใจว่าหลานตัวน้อยจะเคี้ยวข้าวพวกนี้ไปได้อย่างไร
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี