“นังลู่เหมย ทำไมเนื้อตัวเปียกแบบนี้ หล่อนแอบหนีไปเล่นน้ำอีกแล้วใช่ไหม”
หญิงชราที่เห็นว่าหลานสาวนั้นเดินตัวเปียก ผมแห้งลีบติดศีรษะ ก็เข้าใจว่าถังลู่เหมยนั้นคงแอบไปเล่นน้ำอยู่แน่ ๆ ถึงได้กลับมาช้า นางตวาดถามออกไปก่อนจะคว้าไม้ยาวมาฟาดไปที่ก้นหลานสาว หญิงสาวร้องลั่นวิ่งหนีไปโดยทิ้งผลท้อลงพื้น ก่อนจะไปหลบอยู่หลังพี่ชายที่เดินออกมาพอดี
“เจ็บ เจ็บ ย่าตี”
หญิงสาวชี้ไปที่หญิงชรา ก่อนใช้ฝ่ามือตบที่หลังพี่ชายและพูดคำเดิมย้ำ ๆ พลางลูบก้นป้อย ๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกย่าตี ความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวรู้สึกโกรธ ด้วยความที่สติไม่สมประกอบแม้เธอจะเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นในบางครั้งก็คลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้
ถังลู่เหมยย่อตัวลง ก่อนที่เธอนั้นจะคว้าก้อนหินก้อนเล็กมาถือไว้และโยนใส่หญิงชรา
“นังลู่เหมย เดี๋ยวเถอะนะ!”
ด้วยความโมโหที่ถูกปาก้อนหินใส่ ผู้เป็นย่าจึงเดินตรงเข้าหา พร้อมกับง้างไม้มาแต่ไกล แต่โชคดีที่ชายหนุ่มขวางเอาไว้ ทำให้หญิงชรานั้นไม่กล้าลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้
“หลบไป ฉันจะสั่งสอนเด็กนิสัยเสีย!” ย่าถังพูดกับหลานชายที่ยืนขวางทางอยู่
“ย่าพอเถอะ อาเหมยไม่ได้แอบไปเล่นน้ำ ลืมไปแล้วเหรอว่าย่าเป็นคนใช้ให้อาเหมยไปจับปลา”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย เดิมทีย่าของเขารังเกียจน้องสาวอยู่แล้ว และเมื่ออายุมากขึ้นก็เริ่มหลง ๆ ลืม ๆ บางทีพูดหรือทำอะไรไว้ก็จำไม่ได้
หญิงชราทำท่าทางนึกแล้วถามกลับมา “ฉันให้ไปจับปลาเหรอ”
“ใช่แล้ว ย่าให้อาเหมยไปจับปลา อาเหมยก็เลยลงไปในน้ำเพื่อจับปลาอย่างที่ย่าสั่งอย่างไรเล่า จำได้ไหม” ถังอี้คุณตอบกลับคนเป็นย่ากลับไป
เขาเห็นว่าถังลู่เหม่ยไม่ได้ทำอะไรผิด จึงได้ปกป้องน้องสาวเต็มที่ ผู้เป็นย่าครุ่นคิด นางจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งยืนกรานว่าไม่ได้เป็นคนสั่งให้หญิงสาวไปจับปลาอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้าง
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ให้น้องชายแกไปจับปลา แกต้องการจะปกป้องมัน ถึงได้ปั้นเรื่องว่าฉันเป็นคนสั่งใช่ไหม”
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอธิบายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟัง ย่าของเขาดื้อดึงยิ่งกว่าใคร หากได้เกลียดใครแล้วก็เกลียดจนฝังใจ แม้ว่าตอนนี้จะเลอะเลือนไปบ้างแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ยังจำได้ว่าเกลียดถังลู่เหมยมากแค่ไหน
“อาเหมย ไปอาบน้ำไป”
ถังอี้คุณตัดปัญหาด้วยการไล่น้องสาวให้แยกไปอีกทาง ส่วนเขาก็จับจูงผู้เป็นย่าเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนาทำให้อีกฝ่ายนั้นลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียสนิท
อาการหลง ๆ ลืม ๆ ของหญิงชราเป็น ๆ หาย ๆ มานานนับปี ซึ่งบางครั้งก็จดจำได้ทุกสิ่ง แต่บางครั้งก็ลืมเลือน ในวันนี้นางกลับมาเป็นปกติ จึงได้ครุ่นคิดแผนการบางอย่างและเรียกใช้งานหลานสาวอีกครั้ง
“อาเหมย เอาตะกร้านี้ไปนะ เข้าไปเก็บผักในป่ามาให้ฉัน อ้อ! เข้าไปในป่าลึก ๆ หน่อยนะจะได้มีผักป่าเยอะ ๆ เข้าใจไหม”
ถังลู่เหมยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ขณะที่มือนั้นก็ยังคงถือผลท้ออยู่ไม่ยอมปล่อย
“ผักอะไร ทำอะไร” หญิงสาวเอ่ยถาม พร้อมกับสายตากลอกไปมา เธอแทบไม่ได้จับจ้องไปทางหญิงชราเลยแม้แต่น้อย จึงไม่เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของหญิงชราตรงหน้า
“ผักที่จะต้มให้หมู เข้าไปหาในป่าลึก เข้าใจไหม” ย่าถังกำชับหลานสาวอีกครั้งว่าให้เข้าไปในป่าลึก ๆ
“ได้ ได้ เก็บผักให้หมู” ถังลู่เหมยพยักหน้ารับ เธอไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ว่าย่าแท้ ๆ นั้นคิดร้ายต่อเธอ มือบางยกตะกร้าก่อนจะเดินออกจากบ้าน และตรงเข้าไปในป่าใหญ่เพียงลำพัง
ย่าถังมองตามก่อนที่จะเหยียดยิ้มและเอนกายนอนลงอย่างสบายใจตรงม้านั่งหน้าบ้าน
“ฐานะที่บ้านยากจนข้นแค้น ทุกวันนี้แทบไม่พอกิน เพราะต้องเฉลี่ยอาหารให้กับสมาชิกทุกคน แต่หากกำจัดถังลู่เหม่ยไปได้ ตัวหารก็จะลดน้อยลง ถึงเวลานั้นทุกคนในครอบครัวก็จะได้กินอิ่มกินเต็มมากขึ้น ฉันทำเพราะหวังดีกับทุกคนนะ” ย่าถ้งพูดขึ้นมาอย่างสบายใจ ในใจนั้นมุ่งมั่นว่าวันนี้ต้องกำจัดหลานสาวจากบ้านรองให้ได้ นางทำราวกับหวังดีกับคนในบ้าน แต่ลึก ๆ ในใจต้องการที่จะกำจัดหลานสาวผู้นี้เท่านั้น
ภายในป่า... ถังลู่เหมยสอดส่องสายตามองหาผักที่ผู้เป็นย่าต้องการแต่เมื่อไม่เจอ เธอก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น โดยไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบด้านที่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
“อยู่ไหน ผัก อยู่ไหน”
หญิงสาวพึมพำออกมา เธอก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปลึกเรื่อย ๆ เมื่อเจอผักที่ต้องการเธอก็ก้มลงก่อนจะกระหน่ำดึงมาใส่ตะกร้าจนพูน
ถังลู่เหมยรู้สึกเหนื่อยจึงได้นั่งลงใต้ต้นไม้ เห็นผลผิงกัวตกอยู่ข้างกาย จึงรีบคว้ามากัดกินด้วยความหิวโหย
หลังจากกินอิ่มก็ลุกขึ้นและเดินย้อนกลับทางเดิม แต่ถังลู่เหมยไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของเธอนั้นไกลออกไปเรื่อย ๆ แล้ว เธอก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อให้ถึงบ้าน แต่ไม่ว่าจะเดินมานานแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็กลับมาอยู่จุดเดิม
หญิงสาวเริ่มงุนงงสับสน เธอเรียกหาพ่อแม่และพี่ชาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอจึงทรุดตัวนั่งลงร้องไห้ด้วยความกลัว สองแขนเรียวเล็กโอบกอดตัวเองในขณะที่น้ำตานั้นไหลอาบแก้ม
“พ่อ แม่ พี่” หญิงสาวเรียกพ่อแม่และพี่อย่างคนหวาดกลัว พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
เสียงร้องไห้และเสียงเรียกพ่อแม่พี่ชาย เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หมูป่าที่ปักหลักอยู่แถวนั้นได้ยินและเดินมาด้อม ๆ มอง ๆ ด้วยความสนใจ หญิงสาวเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้ เธอคิดว่าเป็นพี่ชายจึงได้เดินเข้าไปใกล้ ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงอันตรายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ถังเยี่ยและเหนียงฟางเดินออกมาจากป่า ซึ่งอยู่คนละฝากฝั่งกับป่าลึกที่ถังลู่เหมยเพิ่งเดินทางเข้าไป ทั้งสองขุดเผือกมาได้หลายหัว จึงตั้งใจจะนำมาอวดลูกสาว แต่ทว่าเมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านกลับไม่พบอีกฝ่าย
“แม่ อาเหมยไปไหน” เมื่อเห็นว่าแม่สามีนั่งอยู่หน้าบ้านจึงได้เอ่ยถามถึงถังลู่เหมยลูกสาวตัวเอง
“ไม่รู้สิ คงจะออกไปเที่ยวเล่นล่ะมั้ง”
เพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองพบเจอหลานสาว ย่าถังจึงได้โกหกออกไป อีกทั้งยังหาเรื่องรั้งลูกชายและลูกสะใภ้ไว้ด้วยการชวนคุยเรื่องอื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะทั้งสองนั้นเป็นห่วงลูกสาวมาก จึงได้รีบออกตามหาเนื่องจากเห็นว่าฝนกำลังจะตก
หญิงชรารู้สึกขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นางภาวนาขอให้หลานสาวถูกสัตว์ป่าลากไปกิน หรือไม่ก็ประสบเหตุร้ายจนสูญสิ้นชีวิต จะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นภาระของครอบครัวอีก
เหนียงฟางแยกกับสามีเพื่อตามหาลูกสาว ทั้งสองเดินไปคนละทิศทาง ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อหวังจะได้พบถังลู่เหมย
“เห็นลู่เหมยบ้างหรือไม่” เธอเอ่ยถามกลุ่มเด็กที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยอยู่ใต้ต้นไม้ แต่พวกเขากลับส่ายหน้า เพราะวันนี้ทั้งวันยังไม่เจอถังลู่เหมย พอรู้สึกกังวลใจมากขึ้น ปกติแล้วลูกสาวของเธอไม่เคยเดินทางไปไหนไกล มักจะวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น แต่วันนี้กลับต่างออกไป
ด้านถังเยี่ยก็รู้สึกเป็นกังวลไม่แพ้กัน เขากลัวว่าจะมีคนล่อลวงลูกสาวไปทำเรื่องไม่ดี เพราะแม้ว่าถังลู่เหมยจะเป็นคนสติไม่ดี แต่เธอก็มีใบหน้าที่งดงาม
เวลาผ่านไปสองสามีภรรยาเดินวนกลับมาพบกันที่จุดนัดหมาย ก่อนที่ทั้งสองนั้นจะตัดสินใจออกตามหาด้วยกันอีกครั้ง ขณะที่กำลังเดินตามหาลูกสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่เขาจะชี้เข้าไปในป่าและเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันเห็นอาเหมยเดินเข้าไปในป่าน่ะ ฉันกำลังจะเดินไปบอกเธอพอดี”
“จริงเหรอ” เหนียงฟางปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้าขั้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าลูกสาวนั้นไปยังทิศทางไหน
ขณะนั้นถังอี้คุณที่ช่วยพ่อแม่ออกตามหาน้องสาวก็เดินเข้ามาสมทบ ก่อนที่เขากับผู้เป็นพ่อจะตัดสินใจเดินเข้าป่าไปด้วยกัน
“เธอกลับไปรอที่บ้านนะเผื่อว่าอาเหมยจะกลับไปบ้าน ฉันเข้าป่าไปตามหาลูกแล้วจะรีบกลับมา” ถังเยี่ยเอ่ยกับภรรยา ก่อนที่เขากับลูกชายจะรีบเร่งเดินทางเข้าป่าทันที
ส่วนเหนียงฟางก็เดินทางกลับบ้านเพื่อรอฟังข่าว เธอนั่งไม่ติดได้แต่เดินไปเดินมา เพราะรู้สึกเป็นห่วงถังลู่เหมยอย่างมาก
หญิงชราเองก็รู้สึกกังวลใจไม่แพ้กัน นางกลัวว่าหากถังลู่เหมยกลับมา อีกฝ่ายจะปากโป้งบอกความจริงกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่าเธอเป็นคนบังคับให้เข้าไปเก็บผักในป่าลึก
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั