เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”
“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”
เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”
ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิต
ความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก
“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”
เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”
แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น
แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และน้องชายจะไม่กลายเป็นภาระของเขาในภายหน้า
“อดทนอีกหนึ่งวัน อีกหนึ่งวันเท่านั้นพี่สาวจะไปรับเจ้ามาอยู่ด้วยกัน กู้ชิงฉี!”
……….
กู้ชิงเหอตื่นแต่เช้าก่อนใครเหมือนเช่นเคย นางต้มข้าวฟ่างทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พอถึงเช้าก็เอาออกมาบดหยาบๆ แล้วแผ่เป็นแผ่นบางก่อนจะย่างบนกระทะหินที่ตั้งอยู่เหนือเตาไฟ
เสียงฉ่าเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกลิ่นไหม้อ่อน ๆ อบอวลไปทั่วเรือน แผ่นข้าวฟ่างย่นตัวเล็กน้อยจากไอร้อน ขอบเริ่มเกรียม น้ำตาลธรรมชาติจากเมล็ดข้าวผุดขึ้นแวววาว
นางใช้ตะเกียบไม้หยิบขึ้นมาทีละชิ้น ทิ้งให้เย็นเพียงครู่ ก่อนจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับเจียงเหิง อีกส่วนหนึ่งก็เป็นของนางกับเจียงเหยียนเอาไว้ไปกินบนเขา
เช้าวันนี้พวกเขาไม่ได้ตั้งโต๊ะอาหารเหมือนเคย ต่างฝ่ายต่างหยิบฉวยข้าวของส่วนตัวของตนกันไปอย่างรู้หน้าที่
แม้อยากจะขึ้นเขาไปพร้อมกับน้องสาวทั้งสองแทบตาย แต่เจียงเหิงเพิ่งเริ่มตั้งโต๊ะรับเขียนจดหมายไปได้วันเดียวเท่านั้น เขาจึงยังไม่อยากหยุด
อีกอย่าง..อาหารที่กู้ชิงเหอปรุงออกมาก็อร่อยมากจนเขาเผลอกินข้าวไปเต็มท้อง ต้องรีบหาเงินซื้อข้าวสารกลับมาเพิ่ม
“อย่าลืมนะเหยียนเอ๋อร์ เชื่อฟังพี่สาวอย่าซน ดูแลตัวเองดีๆ”
เจียงเหยียนเม้มปาก ทำหน้าบูด “ท่านพี่พูดกับข้าเหมือนข้าเป็นเด็กสามขวบ! แล้วเหตุใดไม่สั่งพี่ชิงเหอบ้างเล่า?”
เขาชะงักเล็กน้อย หันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่รู้จะวางตัวยังไง จังหวะนั้นสายลมยามเช้าพัดชายเสื้อของนางเบา ๆ เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ไม่ได้ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อวานสะบัดผ่านสายตาเขา
นางเลิกคิ้วน้อย ๆ ราวกับจะว่า "ข้าอยู่ตรงนี้ อยากสั่งอะไรก็ว่ามาเถิด"
ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ แววตาเก้อเขินชัดเจนใบหน้าแข็งเกร็ง “..ฝากด้วย” กล่าวจบเขาก็รีบหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังอีก
กู้ชิงเหอหลุดหัวเราะเสียงใส ไม่คิดมาก่อนว่าเจียงเหิงผู้มีใบหน้าเยียบเย็น จะเผยท่าทีประหนึ่งคนธรรมดาที่พกความเก้อเขินไว้เต็มกระบุงเข่นนี้ออกมาได้
“ไปกันเถิดเหยียนเอ๋อร์ ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบนเขาบ้าง”
เจียงเหยียนพยักหน้ารับคำ ก่อนจะคว้าตะกร้าใบหนึ่งขึ้นมาคล้องแขนเดินตามหลังกู้ชิงเหอไป
แม้พวกนางจะออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า แต่อากาศก็ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าและแผ่นหลัง
ทางขึ้นเขาแห้งกรัง ก้อนหินกลิ้งกรอบแกรบอยู่ใต้รองเท้าฟางของสตรีทั้งสอง วัชพืชที่ขึ้นตามข้างทางแผ่ใบแข็งกระด้าง ปลายแหลมเหมือนหนาม ทะลุชายเสื้อได้โดยง่าย
เมื่อเวลาล่วงเข้าช่วงสาย ทุกย่างก้าวของกู้ชิงเหอเริ่มเชื่องช้าลง นางไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เป็นใจที่เริ่มหวั่นไหว
“แห้งแล้งกว่าที่ข้าคิดไว้ไม่น้อยเลย” นางเหลือบไปมองตะกร้าบนหลังที่ยังว่างเปล่า
เจียงเหยียนเองก็เริ่มหงอย ดวงตากลมโตที่เคยสดใสยามเช้ายามนี้กลับล่องลอยไร้จุดหมาย
แต่แล้วสายตาของกู้ชิงเหอก็เหลือบเห็นบางสิ่ง ท่ามกลางกลุ่มหญ้ารกแห้งมีต้นสีเขียวอ่อนโผล่พ้นขึ้นมา
ใบเรียวหยักเป็นแฉกเล็ก ๆ ยอดม้วนเข้าหากันประหนึ่งห่วงกลม“เฟินป่า!” สวรรค์ไม่ทอดทิ้งนางจริงๆ!
ปกติแล้วพืชประเภทเฟินจะขึ้นอยู่บริเวณป่าฝนหรือริมห้วย แต่เฟินป่าสายพันธุ์ที่นางพบเป็นเฟินที่ขึ้นบนภูเขาหิน ป่าดิบแล้ง หรือแม้แต่กึ่งทะเลทราย
ใบแก่ของมันจะมีขนละเอียดคล้ายเกล็ดปลาช่วยรักษาความชื้น แม้ในยามแล้งเป็นเวลานานใบก็ยังไม่เหี่ยวเฉา
เจียงเหยียนตาลุก กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “กินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เด็ดเอาเฉพาะยอดอ่อนของมัน ลวกกินได้ หวานด้วย!”
เจียงเหยียนกะพริบตา “เหมือนหญ้าชัด ๆ…”
กู้ชิงเหอหันไปสบตา “ผักแว่นเมื่อวานเจ้าก็ว่าเหมือนหญ้า”
“จริงสินะ ผักแว่นเมื่อวานก็กินได้จริงๆ ข้าเชื่อฟังพี่สาวเจ้าค่ะ”
กู้ชิงเหอไม่พูดมาก นางรีบเด็ดยอดเฟินใส่ตะกร้า หันมองไปรอบๆ ก็ยังเห็นอีกว่าบริเวณนี้มีต้นเฟินป่าขึ้นอยู่ไม่น้อย และคาดว่าบริเวณอื่นก็น่าจะพบมันได้อีกจึงเด็ดยอดใส่ตะกร้าไม่ยั้งมือ!
“ดีจังเลยที่ไม่มีใครสนใจเจ้าต้นนี้”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเจียงเหยียนลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ แต่แล้วเสียงหัวเราะของสตรีผู้หนึ่งกลับดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“ซูหลานเจ้าดูนั่นสิ ภรรยากับน้องสาวของเจียงซิ่วไฉถึงกับต้องเก็บหญ้าไปต้มกินกันแล้ว"
กู้ชิงเหอชะงักมือ เงยหน้าขึ้นตามเสียง
นางเห็นหญิงสาวอายุราว 16-17 ปีสองคนยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้เตี้ย ๆ คนหนึ่งใบหน้าจืดชืดทว่านัยน์ตาคม ปลายตายิ้มเยาะอย่างเปิดเผย
ส่วนอีกคนดวงตาและจมูกเรียวเล็ก แม้จะไม่งดงามแต่ก็ยังน่ามองกว่าสตรีคนแรก กำลังจ้องมองนางตรงๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
แน่นอนว่ากู้ชิงเหอไม่รู้ว่าสตรีทั้งสองคนนี้คือใคร แต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจกลับเป็นเถาวัลย์สีเขียวอมเทาในตะกร้าของสตรีทั้งสองมากกว่า
เถาเงาเทาหรือฮุยเถิงเฉ่า เป็นเถาวัลย์ที่อมน้ำใสไว้ข้างใน มันมีรสขมเล็กน้อยแต่ชาวบ้านในยุคนี้ก็ยังรู้จักเก็บไปกินแก้กระหาย
หลินซูหลานเม้มริมฝีปากยิ้มในใจ
นางแอบชอบเจียงซิ่วไฉมานานแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุดพูดจากทักทายกับนางเลยสักประโยค วันที่รู้ว่าเจียงเหิงรับเอากู้ชิงเหอไปเป็นภรรยา นางปวดใจจนอกแทบจะระเบิด แต่เมื่อเห็นกู้ชิงเหอต้องมาเก็บหญ้าไปต้มกินกลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เจียงซิ่วไฉเป็นบัณฑิตตกอับอย่างผู้อื่นเขาว่ากันจริงๆ เป็นภรรยาของซิ่วไฉก็ใช่ว่าจะสุขสบายมีหน้ามีตาเมื่อใดกัน!
“เสี่ยวเหมยอย่าไปสนใจพวกนางเลย รีบไปหาของป่ากันก่อนเถอะ วันนี้คนขึ้นเขาเยอะมัวชักช้าจะไม่เหลืออะไรให้เก็บกิน”
เสี่ยวเหมยผู้เป็นสหาย มองสตรีทั้งสองอีกครั้งแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะตะโกนกลับมาเสียงดังลั่น
“อย่าลืมเก็บหญ้าไปให้น้องชายเจ้ากินด้วยเล่า! เห็นว่าตั้งแต่เช้ายังเก็บอะไรไม่ได้สักอย่าง!”
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ