มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง
"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจ
เฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม
"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"
เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"
“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่
น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!
เพียะ!
ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...
ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!
"อ๊าย!" นางร้องเสียงหลงก่อนจะล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า
ทุกคนชะงัก รวมทั้งกู้ชิงเหอด้วย ดวงตานางเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
นางแค่ยื่นมือออกไปกันโดยแทบไม่ใช้แรงเลยด้วยซ้ำ เหตุใดนางถึงได้ล้มแรงปานนั้น?
จะว่าไปแล้ว วันแรกที่นางเดินจากเรือนสกุลกู้มาถึงชายป่ายังเหนื่อยแทบขาดใจ แต่วันนี้นางเดินขึ้นเขามาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเจียนตายเหมือนที่คาดไว้
อาจเป็นเพราะนางได้กินปลากินข้าวเต็มอิ่มแล้วกระมัง ถึงได้มีเรี่ยวแรงกลับมาบ้าง
หลินซูหลานรีบเข้าไปพยุงสหายขึ้น พลางถลึงตาใส่
"เจ้ากล้าผลักเสี่ยวเหมยร่วงลงไปหรือ?!" นางตะคอกลั่น ๆ แต่เสียงกลับแฝงความลังเล
เฉินเหมยลี่เองก็มองกู้ชิงเหออย่างหวาดระแวงอยู่บ้าง มือยังสั่นน้อย ๆ
"ข้าไม่ได้ผลัก" กู้ชิงเหอกล่าวเสียงเรียบ "ข้าเพียงแต่ห้ามไม่ให้เจ้าทำร้ายเด็ก"
"เด็กหรือ? เด็กอย่างนางปากกล้าขนาดนั้น โดนตีเสียบ้างก็สมควรแล้ว!"
"สมควรงั้นรึ!? เช่นนั้นพอเจียงซิ่วไฉกลับมาข้าจะเชิญเขาให้มาฟังเจ้าพูดอีกครั้ง ดูสิจะยังกล้าพูดอีกหรือไม่?" กู้ชิงเหอเอ่ยอย่างเยือกเย็น "หรือเจ้าคิดว่าบัณฑิตเจียงไม่มีหูไม่มีตา?"
สีหน้าของหลินซูหลานพลันซีดเผือด ถึงเจียงซิ่วไฉจะไม่ได้ชอบนาง แต่หญิงสาวก็ไม่อยากให้เขาเกลียด หากรู้ว่าตนกับเสี่ยวเหมยคิดรังแกเจียงเหยียนมั่นใจได้เลยว่าเจียงเหิงต้องเอาเรื่องนางสองคนแน่ๆ
เจียงซิ่วไฉเป็นห่วงน้องสาวมากใครๆ ก็รู้!
นางเหลือบมองเสี่ยวเหมย แล้วรีบคว้าข้อมือสหายลากออกไปจากบริเวณนี้ทันที
กู้ชิงเหอมองตามแผ่นหลังของสตรีทั้งสองไปเงียบๆ แต่ใจกลับคิดถึงอีกคนหนึ่ง
กู้ชิงฉี!
วันนี้เขาจะไม่ได้อาหารอะไรติดมือกลับไปที่เรือนสกุลกู้แม้แต่ชิ้นเดียว ป้าสะใภ้ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะดูแลเรื่องอาหารการกินของสองพี่น้องอยู่แล้วจึงทำโทษน้องชายของนางโดยการไม่ให้อาหารเขาอีกหนึ่งวัน!
พรุ่งนี้คือวันตายของกู้ชิงฉี! นางต้องรีบแล้ว!
เสียงสตรีสองคนเมื่อครู่ยังวนเวียนในโสตประสาท “วันนี้มีคนขึ้นเขามาเยอะ..” เสียงนั้นกระตุกความคิดนางขึ้นมาทันที
“เหยียนเอ๋อร์” กู้ชิงเหอหันมาพูดเสียงนุ่ม “เราได้เฟินป่ามามากพอแล้ว ไม่ต้องเก็บเพิ่มแล้วล่ะ เจ้าช่วยข้าดูทีว่ามีผู้ใดขึ้นมาบนเขาบ้าง”
เจียงเหยียนตาโต “พี่ชิงเหอคิดจะขอแบ่งอาหารจากคนอื่นหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่แบ่ง…” กู้ชิงเหอยิ้ม “แต่คนที่ขึ้นมาเก็บก่อนหน้า ย่อมรู้แหล่งของกินบนเขาดีกว่า ข้าแค่อยากพูดคุยดู”
ทั้งสองเดินเลาะเนินเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบเงาร่างชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ริมทาง
เมื่อเห็นกู้ชิงเหอและเจียงเหยียนเดินเข้ามา พวกเขาก็หันมามอง ก่อนชายวัยกลางคนผู้หนึ่งจะส่งเสียงทักทาย
“อ้าว..หลานสาวบ้านกู้ที่ถูกขายไปเมื่อวานนั่นเอง”
เสียงของเขาเจือความขบขัน แต่สายตากลับอบอุ่นกว่าที่คิด
สตรีข้างเขาเบะปาก “พวกตระกูลกู้นี่มันหน้าด้านจริง ๆ ลูกหลานก็ยังไม่เว้น!”
กู้ชิงเหอรีบกระซิบถามเจียงเหยียน ว่าคนกลุ่มนั้นคือใคร ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่าบุรุษและสตรีที่ส่งเสียงทักทายออกมาเมื่อครู่เป็นสองสามีสกุลไห่ แต่อีกสองคนเจียงเหยียนไม่รู้จัก
กู้ชิงเหอขยับรอยยิ้มเจือจาง โอกาสดีของนางมาถึงแล้ว!
สองสามีภรรยาสกุลไห่นี่นางรู้จัก!! คนคู่นี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตของหวางชุ่นฮวาป้าสะใภ้ของนางเอง!
ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเริ่มต้นทะเลาะกันด้วยเรื่องป้าสะใภ้ของนางรุกล้ำเขตที่ดินเพาะปลูกของสกุลไห่เมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นก็มีปัญหาไม่ลงรอยกันมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ชนิดที่ว่าหากเดินผ่านกันก็ต้องมีเสียงตะโกนด่าทอกันตลอดทุกครั้ง!
นางค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม “ท่านลุง ท่านป้า”
ชายคนนั้นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ สตรีข้างกายที่ใบหน้าหงิกงอเมื่อครู่ หรี่ตามองนาง
กับกู้ชิงเหอสองสามีได้ไม่เกลียดชังเหมือนอย่างที่คิดกับกู้ต้าซุนกับภรรยาของเขา อีกทั้งยังสงสารสองพี่น้องอยู่ไม่น้อย
“แล้วเจ้าอยู่เรือนสกุลเจียง เป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
กู้ชิงเหอก้มศีรษะต่ำ คล้ายไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้า น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบ แต่หยอดด้วยความเศร้าบางเบา
“ข้า..สบายดีเจ้าค่ะ ห่วงก็แต่ชิงฉีที่ต้องอยู่คนเดียว”
“เด็กคนนั้นก็น่าสงสารจริงๆ นั่นล่ะ ไม่มีเจ้าอีกคนคงลำบากไม่น้อย ผิดก็ป้าสะใภ้กับลุงสารเลวของเจ้ามันไม่ใช่คน!” อู๋ซื่อหน้าหงิกขึ้นมาทันทีเมื่อต้องเอ่ยถึงสองสามีภรรยาคู่นั้น
กู้ชิงเหอก้มหน้าเช็ดน้ำตาเงียบๆ คล้ายพยายามข่มกลั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนจากเรือน ข้าไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นติดตัว ท่านลุงบอกจะเอาไปส่งให้ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา" นางถอนใจเบา ๆ
“พรุ่งนี้ ข้าจำต้องกลับไปเรือนสกุลกู้สักวันหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมให้ข้าเหยียบเข้าไปในเรือนหรือไม่”
อู๋ซื่อฮึดฮัดอยากจะด่าคนขึ้นมา แต่ถูกท่านลุงไห่ปรามไว้เพราะความเกลียดชังที่มีต่อกู้ต้าซุนและหวางชุ่นฮวาไม่สมควรมาลงที่กู้ชิงเหอ
กู้ชิงเหอยกมือลูบผมเจียงเหยียนที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง “ไปเถิดเจียงเหยียน กลับเรือนกัน พวกเรายังต้องหาน้ำหุงข้าวอีก”
หญิงสาวทั้งสองโค้งตัวให้ชาวบ้านกลุ่มนั้นอย่างนอบน้อมแล้วจึงหมุนตัวเดินแยกไปทางอื่น
สองสาวก้าวเท้าจากไปเพียงสองก้าว ไห่เทาก็เริ่มบ่น
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ เจ้ากู้ต้าซุนมันเลวไม่เปลี่ยน…”
“ได้ยิน! ได้ยินเต็มหู!” นางอู๋ซื่อขบฟันแน่น “อยากรู้เหลือเกิน พรุ่งนี้สองคนนั้นจะทำหน้าอย่างไร ถ้าข้าผ่านไปทางเรือนสกุลกู้สักรอบ!”
กู้ชิงเหอแอบยิ้มน้อยๆ ดวงตาดูสงบ แต่ลึกลงไปกลับฉายแววเจิดจ้าด้วยประกายของแผนการ
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ