“นี่…เจินเอ๋อร์คิดวิธีได้แล้วหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ผุดยิ้มพลางถามกู้หรูเยียน กู้หรูเยียนพยักหน้ารัว ใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดีออกมา “ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องกังวลใจไป เจินเอ๋อร์คิดหาหนทางได้แล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พลันถอนหายใจออกมาทันที เหลือบสายตามองไปทางท่านราชครูกู้ที่อยู่ด้านข้างพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ดีจริง ๆ พวกเราค่อยโล่งใจได้หน่อย”ราชครูกู้เพิ่งได้รับรู้ระดับความอันตรายของเรื่องทั้งหมดนี้จากปากของซ่งหลินในตอนนี้เอง ยิ่งได้เห็นแม่ทัพผู้เฒ่าไป๋ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแล้ว ดูท่าสถานการณ์จะร้ายแรงถึงขีดสุดจริง ๆ “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะถูกคนชั่วจ้องเล่นงานอีกครั้งแล้ว ดูท่าเรื่องนี้ต้องสืบให้กระจ่าง มิเช่นนั้นจะมีภัยตามมาอีกไม่รู้จบแน่!” ซ่งหลินสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านพ่อตาโปรดวางใจ จากนี้ข้าจะระวังตัวมากขึ้น ครั้งนี้ท่านอาจารย์รับเคราะห์แทนข้าแล้ว ข้ารู้สึกผิดต่อเขายิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่าไป๋เห็นใบหน้ารู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งของซ่งหลิน ก็เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคาดคิดได้ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายมีเจตนาทำร้ายคน ท่านอาจารย์ของเจ้าไม่มีทางกล่าวโทษเจ้าแน่นอน” “เจ้ากั
โดยทั่วไปแล้ว โอสถพิษชนิดนี้พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก เขาทำงานแพทย์มานานหลายปียังไม่เคยเห็นมันมาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้เจอกับตาตนเอง? “แม่หนูเจิน หากเป็นเช่นนั้นแล้วพิษของหญ้าไส้ขาดเจ็ดดาวนี้สามารถรักษาได้หรือไม่?” แม่ทัพไป๋สีหน้าร้อนรน เขาเหลือบสายตามองไปทางหมอหลวงสวี ทว่าจากสีหน้าของอีกฝ่ายก็ตัดสินได้ไม่ยากว่าเจ้าหมอนี่ไม่รู้จักโอสถพิษชนิดนี้จริง ๆ หาใช่คิดร้ายจงใจเอาชีวิตของบิดาตนเองไม่ “รักษาได้!” ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าต้องมั่นใจก่อนว่าข้อสันนิษฐานของข้าผิดพลาดหรือไม่ หากแน่ใจแล้วว่าเป็นพิษนี้จริง ข้าพอจะรู้วิธีแก้พิษชนิดนี้” และในทันทีที่สิ้นเสียงของซ่งรั่วเจิน ความหวังพลันลุกโชนขึ้นในใจของทุกคนอีกครั้ง “หวังว่ามันต้องใช่!” ทุกคนในห้องต่างสวดภาวนาในใจ หากว่าชีวิตของแม่ทัพผู้เฒ่าไป๋ต้องสิ้นสุดลงเช่นนี้จริง นั่นน่าเสียดายเกินไปนัก ในใจของซ่งหลินยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้นไม่สิ้นสุด “สกุลหลิงถูกโค่นล้มไปแล้ว บัดนี้ยังจะมีใครอีกที่ต้องการเอาชีวิตข้า?” “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ท่านอาจารย์ต้องมารับเคราะห์แทนข้าเช่นนี้!” พิษนี้ชัดเจนว่า
ซ่งรั่วเจินขมวดคิ้วแน่น ไม่นานมานี้นางเพิ่งได้พบแม่ทัพไป๋ เมื่อตอนนั้นเพราะท่านพ่อเอาแต่เอ่ยวาจาชื่นชมวิชาแพทย์ของนางด้วยความภาคภูมิใจตลอด ดังนั้นนางจึงได้จับชีพจรให้แม่ทัพผู้เฒ่าไป๋หากพิจารณาจากชีพจรเมื่อตอนนั้น แม่ทัพผู้เฒ่าไป๋ร่างกายแข็งแรงดี แม้เมื่อก่อนจะฝากโรคเรื้อรังจากสนามรบไว้ใต้ร่มผ้ามาไม่น้อยก็ตาม และเป็นเพราะแม่ทัพไป๋เองก็มีความสามารถ ภายหลังต่อมาจึงเป็นแม่ทัพไป๋ซึ่งเป็นบุตรชายของเขาที่ไปออกรบทำศึกอยู่เนือง ๆส่วนแม่ทัพผู้เฒ่าไป๋ก็อยู่เล่นสนุกกับพวกหลาน ๆ ในจวน เพราะจิตใจเบิกบาน คนจึงดูปลอดโปร่งสดใส กอปรกับใช้โอสถจำนวนไม่น้อยบำรุงรักษาร่างกาย จนส่วนบกพร่องเหล่านั้นได้ฟื้นฟูกลับมาแล้วแต่ผ่านไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ไม่สมเหตุสมผลอย่างเห็นได้ชัดจะต้องมีปัญหาแน่!แม้ว่าตรวจสอบจากชีพจรจะมองไม่เห็นความผิดปกติใด ๆ ทว่าหลังจากซ่งรั่วเจินมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล นางจึงพินิจมองสภาพของแม่ทัพผู้เฒ่าไป๋อย่างละเอียดอีกครั้งสมองพลันผุดความเป็นไปได้ขึ้นมาทีละข้อ เพราะถึงอย่างไรก็มีพิษบางชนิดที่สามารถทำให้คนตายได้โดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ให้ต
ณ จวนแม่ทัพไป๋ ซ่งรั่วเจินกับคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงอย่างรีบร้อน ก็ค้นพบว่าทั้งจวนไป๋จุดไฟตะเกียงสว่างโร่ บรรดาสตรีในจวนต่างร่ำไห้ปาดน้ำตา โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าไป๋ยิ่งโศกเศร้าปานขาดใจ นางร่ำไห้พลางร้องตะโกนว่า “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? แม่ทัพร่างกายแข็งแรงมาตลอด ไม่นานมานี้หมอก็ยังมาตรวจ บอกว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีหายห่วง แล้วไยอยู่ดี ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” บุตรชายของแม่ทัพไป๋ดึงสีหน้านิ่งขรึม แค่นเสียงเอ่ยด้วยโทสะที่ยากจะปกปิด “ต้องมีคนใช้อุบายสกปรก วางยาพิษท่านพ่อข้าแน่ มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางล้มป่วยอย่างกะทันหันถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเช่นนี้แน่!” หมอหลวงสวีถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “จากชีพจร ก่อนหน้านี้ร่างกายของแม่ทัพผู้เฒ่าอยู่ในสภาพอ่อนแอมาโดยตลอด เพียงแต่ภายนอกดูแข็งแรงดีก็เท่านั้นขอรับ” “ประจวบเหมาะกับวันนี้มีซ้อมรบด้วยพอดี ปัญหาเหล่านี้จึงปรากฏออกมา” “อีกอย่างข้าน้อยได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่ปรากฏร่องรอยของการถูกวางยาพิษจริง ๆ!”“ข้าไม่เชื่อ เจ้าหมอกำมะลอ ท่านพ่อของข้าต้องถูกใครบางคนวางยาพิษแน่ หรือว่าเจ้ารับสินบนใครมา ถึงได้จงใจปกปิดอาการของท่านพ่อข้า!” แม่ทั
“ข้างกายเหลียงอ๋องมีไต้ซือเสวียนหยาง เขาเชี่ยวชาญวิชาอาคมด้านนี้อย่างถึงที่สุด หนำซ้ำหม่อมฉันยังรู้สึกว่าเขาน่าจะชำนาญเล่ห์กลอุบายชั่วร้ายอำมหิตประเภทนี้เสียด้วยสิเพคะ” “เรื่องที่สำนักเทียนฉือก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างชัดเจน ทว่าอวิ๋นอ๋องกับฮวนเอ๋อร์แต่งงานกันก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่สำนักเทียนฉือเสียอีก หมายความว่าเจ้าคนชั่วผู้นี้ลงมือไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว !” ซ่งรั่วเจินสีหน้าเครียดเคร่ง “แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของพวกเขา” “หรือว่า…จะจับตัวไต้ซือเสวียนหยางกลับมาไต่สวนตรง ๆ เสียเลยดี?” แทนที่จะมัวแต่คิดหาสารพัดวิธีการมาตอบโต้รับมือไปตามปัญหาที่เกิด ไม่สู้ลากตัวการมาสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาเลยดีกว่า หรือไม่ก็ลอบสังหารเหลียงอ๋องไปเลยให้พ้น ๆ เรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นมากแล้ว ฉู่จวินถิงได้ฟังคำพูดของฮูหยินตนเอง ก็นึกขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ที่เจ้าพูดมาเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็จริง แต่เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยทำหรือ?” ได้ยินเช่นนั้น ซ่งรั่วเจินถึงกับเบิกตากว้างทันที ดวงหน้างามเพริศพริ้งเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ท่านทำเช่นนี้จริงหรือ?”
สภาพจิตใจของทุกคนภายในห้องหนักอึ้งยิ่งนัก คิดถึงอุปนิสัยของฮวนเอ๋อร์ที่ร่าเริงสดใสถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังเฝ้ารอการเกิดมาของลูกน้อยอย่างเต็มไปด้วยความหวังแต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเล็งเป้าหมายมาที่ฮวนเอ๋อร์ หากนางทราบความจริงเข้า ต้องรับแรงโจมตีนี้ไม่ไหวแน่“ข้าต้องหาหนทางลากตัวนางสตรีผู้นั้นออกมาให้ได้!”ฉู่อวิ๋นกุยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาอุตส่าห์ได้สมรสกับแม่นางอันเป็นที่รักมาอย่างยากลำบาก จนบัดนี้มีบุตรด้วยกันแล้ว กลับมีคนชั่วช้าอำมหิตคิดทำร้ายภรรยาและบุตรของเขาคอยให้เขาจับตัวเจ้าคนชั่วช้านี้ให้ได้ก่อนเถิด เขาจะทำให้พวกมันต้องอยู่อยากไม่ต่างจากตายทั้งเป็น!“เรื่องนี้นอกจากพวกเราแล้วห้ามแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด เพื่อเลี่ยงไม่ให้เรื่องแพร่กระจายออกไปจนเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นภายหลัง”ฉู่จวินถิงกำชับฉู่อวิ๋นกุย เจ้าตัวดีคนนี้ปกติปากไม่มีหูรูดอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะเข้าใจความร้ายแรงของเรื่องนี้ดีแค่ไหน แต่ก็กลัวว่าเพราะความเคยชิน จะเผลอพลั้งพลาดไม่ระวังหลุดปากพูดออกไป“เสด็จพี่ เรื่องนี้ข้าไม่มีวันปริปากพูดแม้ครึ่งคำแน่นอน เพียงแต่การสืบหาร่องรอยของสองคนนี้ ยังต้องขอกำลังคนของเ