LOGIN“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว” เดิมทีหลิวหนิงเจียวตั้งหน้าตั้งตาจะเป็นสนมในวังหลวงของฮ่องเต้ พอหัวหน้าแคว้นเหิงเป่าเลือกบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าเจี๋ยเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการ นางดีใจจนเนื้อเต้น ที่จะได้เข้าไปหาความเจริญรุ่งเรืองในซีเหลียง
คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ ใครจะทำใจยอมรับได้ เมื่อต้องแต่งงานให้กับแม่ทัพปีศาจอย่างหานตงหยาง แม้แต่หญิงอัปลักษณ์ทั่วแคว้นก็ไม่มีใครยอมแต่งให้กับคนอย่างเขา แล้วสตรีผู้งดงามอย่างนางเล่า จะยอมแต่งให้เขาโดยง่ายเชียวหรือ
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ หากมีคนได้ยินเข้า เราจะถูกประหารเก้าชั่วโคตรนะเจ้าคะ คุณหนูก็รู้ สมรสพระราชทานนั้นไม่มีใครสามารถไม่ทำตามได้”
“ทำตามหรือไม่ต่างกันอย่างไรเล่า เจ้าเป็นแค่บ่าวจะมารู้ซึ้งถึงจิตใจข้าได้ย่างไร” นางกล่าวเสียงเครียดใบหน้าเย็นชา น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีก
สาวใช้จึงเพียงก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาใด แต่ไหนแต่ไรหลิวหนิงเจียวเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เพราะคิดว่าตนเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่า เพราะถูกตามใจจนเคยตัว อีกทั้งนางยังเป็นคนดื้อรั้น อยากเรียนอะไรค่อยเรียน สิ่งไหนไม่อยากทำบิดาก็ไม่เคยขัดใจ พอเติบโตขึ้นมาศาสตร์และศิลป์แขนงต่าง ๆ ที่สตรีพึงมี นางจึงทำได้เพียงงู ๆ ปลา ๆ
เดินทางต่ออีกครึ่งชั่วยามล้อรถม้าจึงหยุดลง สารถีรายงานว่าถึงจวนสกุลหานแล้ว ซินอี๋จึงแจ้งแก่นายตนอีกครั้ง “ถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
หลิวหนิงเจียวทำหน้าคล้ายอยากจะตายให้ได้ เครื่องประทินผิวที่โบกมาหนาเตอะ ชาดที่แต้มริมฝีปากจนแดงแจ๋ เลอะไปทั่วใบหน้า
ในขณะที่หลิวหนิงเจียวได้รับพระราชโองการ ทางจวนสกุลหานก็ได้รับเช่นเดียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่าและลู่ซื่อผู้เป็นลูกสะใภ้ต่างมีความยินดีที่ในที่สุดหานตงหยางจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที ฮูหยินผู้เฒ่าจัดเตรียมให้คนมาต้อนรับหญิงต่างเมืองเข้าจวน ในขณะที่หลานชายตัวดี หลังคุกเข่ารับพระราชโองการแล้วก็หุนหันพลันแล่นควบม้าออกไปยังค่ายทหารหวงซานทันที ไม่ได้สนใจไยดีว่าที่ภรรยาเลยสักนิด
สาวใช้นำผ้าซับน้ำตาให้นายหญิงจากนั้นก็ผัดหน้าใหม่อีกครั้งแล้วทั้งสองจึงลงจากรถม้า และพบว่ามีคนมายืนรอต้อนรับอยู่แล้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาดูแลคุณหนูใหญ่สกุลหลิวเจ้าค่ะ” อันมามากล่าวออก ฮูหยินผู้เฒ่าให้นางและสาวใช้อีกสองคนมาดูแลหลิวหนิงเจียว
หลิวหนิงเจียวกดข่มความไม่พอใจเอาไว้ กล่าวออกเสียงห้วน “พาข้าไปยังที่พักเถอะ”
“ทางนี้เจ้าค่ะ” อันมามาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าคุณหนูสกุลหลิวผู้นี้คงไม่อยากมาที่นี่สักเท่าไรนัก ดูเหมือนว่าการแต่งงานของทั้งคู่จะไม่ราบรื่นเสียแล้ว
อันมามาพานางเดินมาทางเรือนตะวันออก ฝั่งซ้ายเป็นเรือนของหานตงหยางชื่อเรือนดอกท้อ ฝั่งขวาคือเรือนของนางชื่อเรือนดอกบัวขาวเดิมทีเรือนดอกบัวขาวใช้เป็นที่สำหรับรับรองแขกหรือญาติมิตรที่มาจากเมืองอื่น ดังนั้นหลิวหนิงเจียวจึงต้องพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว เรือนตะวันตกคือเรือนของลู่ซื่อชื่อเรือนหอมหมื่นลี้ ส่วนตรงกลางเรือนใหญ่สุดเป็นเรือนดอกเหมยซึ่งเป็นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
อันมามาอธิบายเรื่องเรือนในจวนเสร็จหลิวหนิงเจียวจึงกล่าวเสียงเรียบ “พวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ ข้าอยากนอนพักสักครู่” กล่าวจบหลิวหนิงเจียวก็เดินเข้าห้องพร้อมกับสาวใช้
หลิวหนิงเจียวเข้ามาในห้องส่วนตัว มือบางหยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนตั่งเล็กแล้วเขวี้ยงลงบนพื้นสุดแรงเพื่อระบายเพลิงโทสะที่เก็บกดมาเป็นเวลานาน ถ้วยชาใบนั้นแตกกระจาย
“ว้าย! คุณหนูใหญ่เจ้าคะ” ซินอี๋พูดออกมาด้วยความตกใจ “ที่นี่ไม่ใช่เรือนของเรา คุณหนูต้องระงับโทสะไว้บ้างนะเจ้าคะ อย่างน้อยเรือนหลังนี้ก็ใหญ่กว่าเรือนที่คุณหนูใหญ่เคย…ว้าย!”
ซินอี๋พูดยังไม่จบประโยคนางก็ต้องวิ่งหลบหมอนที่ผู้เป็นนายเขวี้ยงมาแทบไม่ทัน
“หุบปาก! เจ้าไม่เป็นข้า เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก” หลิวหนิงเจียวตวาดออกมาเสียงดัง ไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่
ซินอี๋ยืนตัวสั่นงันงกกลัวว่าเจ้านายจะขว้างอย่างอื่นมาใส่นางอีก หนักสุดบางครั้งถึงกับต้องลงมือทุบตีนาง
หลิวหนิงเจียวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า คาดไม่ถึงว่าความฝันที่จะได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วปานนี้
“แล้วคุณหนูใหญ่จะทำอย่างไรเจ้าคะ” ในเมื่อห้ามแล้วไม่ฟัง บ่าวรับใช้อย่างนางก็ได้แต่ตามใจ
“ข้าไม่มีทางเป็นภรรยาของแม่ทัพปีศาจนั่นเด็ดขาด”
ปีนั้นเขาอายุเพียงสิบแปดปี ออกรบกับท่านพ่อที่ชายแดนบูรพา ท่านพ่อของเขานำทัพทหารกว่าสิบหมื่นนายออกไปทำศึกกับแคว้นเป่ยเอี้ยน ตอนนั้นหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนคือหลูกัง ท่านพ่อของเขาสู้กับหลูกังจนตัวตายในสนามรบ พอเขาทราบว่าท่านพ่อพลาดท่าให้กับหลูกัง เขาจึงรวบรวมขวัญกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด นำกองทัพเข้าโจมตีแม่ทัพหลูอย่างห้าวหาญ แต่ในระหว่างที่เขากำลังควบม้าไล่ล่าแม่ทัพหลูอยู่นั้น หมวกบนศีรษะของเขาก็ตกลงบนพื้น นายกองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจังหวะนั้นใช้ดาบฟันเข้าที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาจนเป็นแผลลากยาวตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงคาง กระนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันสะพายแร่งจนร่างทหารนายกองคนนั้นขาดเป็นสองท่อนจากนั้นก็ควบม้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถตัดศีรษะของแม่ทัพหลูกลับมาได้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเลยสักนิด เขาได้รับชัยชนะจากการทำศึกครั้งนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนบูรพาแทนท่านพ่อในวัยเพียงสิบแปดปี เพราะแผลที่ใบหน้าของเขาเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งตอนที่ไล่ฟันศัตรูเขาจึงได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนบูรพาตั้งแต่วันนั้น แต่ความมั่นใจของเขากลับน้อยลงไปแทบไม่มีเหลือ จนต้องสวมหน้ากากเหล็กไว้ต
สุดท้ายหลิวหนิงเจียวจึงเลือกชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งขับผิวขาวของนางให้กระจ่างใสมากขึ้น นางมองทรวดทรงองค์เอวของตนในคันฉ่องอย่างพอใจ คนอะไรตัวเล็กตัวน้อย ทั้งสวยทั้งน่ารัก คนผิวขาวใส่อะไรก็ขึ้นไปหมด “ฮูหยินผัดหน้าแค่นั้นหรือเจ้าคะ” นางทาแป้งเพียงบางเบา แต้มชาดพอให้มีเลือดฝาด ส่วนริมฝีปากก็ทาเพียงขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากสีชมพูอ่อนเท่านั้น “เจ้าเห็นว่าข้าไม่สวยอย่างนั้นรึ” “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ฮูหยินไม่เคยผัดหน้า…” นางรีบโบกมือ “ก็บอกแล้วว่าเรื่องของอดีตลืมมันไปเสีย ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่” “เจ้าค่ะ” นายหญิงเปลี่ยนกะทันหันเกินไป นางตั้งรับไม่ค่อยทัน นี่ใช่ฮูหยินคนเดิมของนางจริง ๆ หรือ “ฮูหยินเจ้าคะ” “เจ้ามีสิ่งใดอีก” “กลิ่นกายฮูหยินหอมคล้ายขนมเลยเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวนิ่งงัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางเพิ่งกินขนมบ้าบิ่นก่อนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงพูดบ่ายเบี่ยงออกไปว่า “กลิ่นกายข้าก็เป็นเช่นนี้” พูดจบนางทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเก้าอี้ แม้ไม่คลายสงสัยแต่ซินอี๋ก็ไม่ได้กล่าวออกอีก น
“ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่งส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร “เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก” “เจ้าค่ะท่านย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่ และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่
ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่” “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ
ตอนนี้จิตใจของนลินธาราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่บอกว่ายายคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เธอยิ่งใจคอไม่ดี ถึงยายจะป่วยมานานแต่เธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้หากยายจะจากไปตอนนี้ เธอหวนคิดถึงคำพูดของยายเมื่อปีที่แล้วอีกครั้ง‘ยามได๋นลินสิพาผู้บ่าวมาแนะนำยายจักเทือ ยายอยากเห็นหน่าหลานเขย ชาตินี่ยายสิได้เห็นบ่อ” (ตอนไหนนลินจะพาแฟนมาแนะนำยายสักที ยายอยากเห็นหน้าหลานเขย ชาตินี้ยายจะได้เห็นไหม) ผู้เป็นยายพูดเสียงเนือย ๆ จะให้เป็นคนหรือเป็นพญานาคก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตตอนนั้นนลินธาราพูดอย่างหยอกเย้ายายว่า ‘เป็นหยังยายสิบ่อเห็น ยายแข็งแฮงกะด้อ หนูหัวกะอายุยี่สิบสี่ปีนึง ยังมีเวลาเลือกอีกโดน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ บ่อพ่อเลย’ (ทำไมยายจะไม่เห็น ยายแข็งแรงจะตาย หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีเอง ยังมีเวลาเลือกอีกนาน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ ไม่ได้เลย) ว่าพลางก้มลงกอดยายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ยายของเธอทำเพียงกอดตอบ เพราะขืนรบเร้าต่อไป หลานสาวก็ไม่ยอมมีแฟนสักที ถึงตอนนั้นตายตาไม่หลับก็คงต้องยอมแล้ว รถยนต์คันสีแดงเลือดนกขับออกมาจากโรงเรียนอย่างช้า ๆ เพราะฝนตกต
ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธ







