로그인
สามเดือนก่อนทางด้านทิศตะวันออกของแคว้นซีเหลียงได้เกิดศึกสงครามขึ้นกับแคว้นเป่ยเอี้ยน แคว้นนี้ประกอบด้วยคนต่างเผ่ากว่ายี่สิบชนเผ่า ซึ่งเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดหัวหน้าเผ่าจะได้ขึ้นปกครองแคว้น เดิมทีแคว้นเป่ยเอี้ยนมีกองทัพเพียงไม่กี่หมื่นนาย แต่เพราะหัวหน้าแคว้นมีความเก่งกล้าสามารถจึงเข้ายึดครองเมืองของแคว้นซีเหลียงทางชายแดนเหนือได้อีกห้าเมือง แต่เพราะความไม่รู้จักพอของหัวหน้าแคว้นและกองกำลังที่มีมากขึ้น หัวหน้าเผ่าจึงปลุกระดมสร้างขวัญกล้าให้กับทหารในแคว้นบุกเข้าโจมตีทางทิศบูรพาของซีเหลียงอีก แต่เหิงเป่าหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนหารู้ไม่ว่าแม่ทัพแดนบูรพานั้นเก่งกาจเพียงใด เขาได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนตะวันออก
แม่ทัพปีศาจผู้ที่คอยปกป้องรักษาแดนบูรพาได้เป็นอย่างดี ย่อมไม่ยอมให้ใครมาตีเมืองไปอย่างง่ายดาย เขานำกองทัพทหารกว่าสิบหมื่นนาย สู้รบกับกองทัพทหารของแคว้นเป่ยเอี้ยนที่มีกำลังทหารกว่าเจ็ดหมื่นนาย และได้รับชัยชนะกลับมาอย่างสวยงาม ซ้ำยังเข้ายึดเมืองของแคว้นเป่ยเอี้ยนไปได้มากกว่าครึ่ง เมื่อเข้าสู่สภาวะจนตรอกเหิงเป่าไม่อาจนิ่งดูดายเพราะกลัวจะสูญเสียดินแดนทั้งหมดไป เขาจึงขอเจรจากับฮ่องเต้หงเฟยอวี่แห่งแคว้นซีเหลียงเพื่อสงบศึก และยอมส่งเครื่องบรรณาการมาที่เมืองหลวงของแคว้นซีเหลียงทุกปี ปีนี้เป็นปีแรก และอีกไม่ถึงครึ่งเดือนเครื่องบรรณาการทั้งหมดจะถูกส่งมาที่เมืองหลวง รวมถึงหญิงงามจากเผ่าเจี๋ยแห่งเมืองฮวยเป่ยด้วย
ขณะเดียวกันที่เมืองหลวงแคว้นซีเหลียงหลูกงกงกำลังปรนนิบัติฮ่องเต้ในห้องหนังสือ เขารวบรวมขวัญกล้ากล่าวออกแก่ฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่า แม่ทัพหานแห่งแดนบูรพามีความดีความชอบ ทำคุณแก่แผ่นดินอันใหญ่หลวง ฝ่าบาทควรมอบรางวัลใหญ่ให้แก่เขาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หงเฟยอวี่ละสายตาจากหนังสือ มือข้างหนึ่งเคาะลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด เดิมทีขันทีชราก็เปรียบเสมือนที่ปรึกษาของฮ่องเต้อยู่แล้ว พระองค์จึงทำคล้ายกับว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำกล่าวของขันทีคนสนิท ซ้ำยังรู้สึกคล้อยตามกับคำกล่าวนั้น แต่ไหนแต่ไรมาหานตงหยางทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองมากมายจริง ๆ เช่นนั้นนอกจากเพชรนิลจินดาและไร่นาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แล้ว เขาควรพิจารณาเพิ่มรางวัลให้กับแม่ทัพแดนบูรพาอีกสักหน่อย “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
พอสบโอกาสขันทีชราจึงกล่าวออกอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “แม่ทัพหานก็เข้าสู่วัยที่ต้องมีครอบครัวแล้วแต่ยังไร้วี่แววว่าจะแต่งงาน เช่นนี้หากฝ่าบาทพระราชทานหญิงงามที่เหมาะสมให้แก่ท่านแม่ทัพสักคน จะเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางในเมืองหลวงและในเมืองเฉิงตูต่างทราบดีว่า แม่ทัพแห่งแดนบูรพาที่ทำความดีความชอบให้กับบ้านเมืองกลับมีข่าวที่ไม่ดีทางด้านสตรี จนไม่มีขุนนางคนไหนยอมทาบทามยกบุตรสาวให้ แม้แต่จวนสกุลเซี่ยที่มีข่าวคราวว่าเคยหมายมาดกันไว้ กลับยืดเยื้อออกไปถึงห้าปี กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าสกุลหานกับสกุลเซี่ยจะเกี่ยวดองกัน กระนั้นก็ใช่ว่าฮ่องเต้จะปล่อยผ่านได้ อย่างไรแม่ทัพหานซึ่งเป็นเพียงบุตรชายคนเดียวก็ต้องแต่งภรรยาและมีทายาทสืบสกุล ไม่เช่นนั้นแล้วความเก่งกาจของเขาก็คงสิ้นสุดลงที่เขาเท่านั้น ช่างน่าเสียดายคนเก่งเช่นนี้นัก
“เจ้าคิดว่าผู้ใดคู่ควรกับเขามากที่สุด”
“กระหม่อมเห็นว่าสตรีในแคว้นซีเหลียงคงหวาดกลัวแม่ทัพหานกันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทจะทรงเมตตา เรื่องนี้คงลำบากหญิงงามจากเผ่าเจี๋ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อย่างไรเสียบรรดาสนมที่ถูกส่งเข้าวังหลวงก็ไม่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้อยู่แล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้จะมีอายุเพียงสี่สิบปีเศษเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ให้สนมถวายงานพร่ำเพรื่อ ส่วนมากที่มีขุนนางมากมายส่งบุตรหลานของตนเข้าวังหลวง ฮ่องเต้ก็เพียงเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุกเท่านั้น เช่นนั้นถ้าเสียหญิงงามจากเผ่าเจี๋ยที่ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการไปหนึ่งคนก็คงไม่นับเป็นอะไร
ดวงตาของฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย ก่อนใบหน้าจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมา “เราเข้าใจแล้ว” หากปล่อยให้คนดีมีความสามารถอย่างหานตงหยางไม่มีทายาทสืบสกุลต่อไปคงไม่เป็นการดีแล้ว
หลูกงกงทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้วจึงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
สองวันต่อมารถม้าของหญิงงามจากแคว้นเป่ยเอี้ยนที่มีนามว่าหลิวหนิงเจียวที่เดินทางมากับสาวใช้เพิ่งเข้าเขตเมืองเฉิงตู ก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้หงเฟยอวี่ให้เดินทางไปที่จวนสกุลหาน อีกทั้งฮ่องเต้ยังพระราชทานสมรสให้นางกับหานตงหยางแม่ทัพแดนบูรพาด้วย
หลังจากรับพระราชโองการหลิวหนิงเจียวก็หมดสติไปกว่าครึ่งชั่วยามพอตื่นขึ้นมาก็เอาแต่นั่งร้องไห้ในรถม้าอย่างเงียบ ๆ ตลอดทาง
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เราใกล้จะถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายพูดเตือนสติหญิงสาวที่เอาแต่นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจปานจะขาดใจตายตรงนั้น
ปีนั้นเขาอายุเพียงสิบแปดปี ออกรบกับท่านพ่อที่ชายแดนบูรพา ท่านพ่อของเขานำทัพทหารกว่าสิบหมื่นนายออกไปทำศึกกับแคว้นเป่ยเอี้ยน ตอนนั้นหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนคือหลูกัง ท่านพ่อของเขาสู้กับหลูกังจนตัวตายในสนามรบ พอเขาทราบว่าท่านพ่อพลาดท่าให้กับหลูกัง เขาจึงรวบรวมขวัญกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด นำกองทัพเข้าโจมตีแม่ทัพหลูอย่างห้าวหาญ แต่ในระหว่างที่เขากำลังควบม้าไล่ล่าแม่ทัพหลูอยู่นั้น หมวกบนศีรษะของเขาก็ตกลงบนพื้น นายกองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจังหวะนั้นใช้ดาบฟันเข้าที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาจนเป็นแผลลากยาวตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงคาง กระนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันสะพายแร่งจนร่างทหารนายกองคนนั้นขาดเป็นสองท่อนจากนั้นก็ควบม้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถตัดศีรษะของแม่ทัพหลูกลับมาได้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเลยสักนิด เขาได้รับชัยชนะจากการทำศึกครั้งนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนบูรพาแทนท่านพ่อในวัยเพียงสิบแปดปี เพราะแผลที่ใบหน้าของเขาเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งตอนที่ไล่ฟันศัตรูเขาจึงได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนบูรพาตั้งแต่วันนั้น แต่ความมั่นใจของเขากลับน้อยลงไปแทบไม่มีเหลือ จนต้องสวมหน้ากากเหล็กไว้ต
สุดท้ายหลิวหนิงเจียวจึงเลือกชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งขับผิวขาวของนางให้กระจ่างใสมากขึ้น นางมองทรวดทรงองค์เอวของตนในคันฉ่องอย่างพอใจ คนอะไรตัวเล็กตัวน้อย ทั้งสวยทั้งน่ารัก คนผิวขาวใส่อะไรก็ขึ้นไปหมด “ฮูหยินผัดหน้าแค่นั้นหรือเจ้าคะ” นางทาแป้งเพียงบางเบา แต้มชาดพอให้มีเลือดฝาด ส่วนริมฝีปากก็ทาเพียงขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากสีชมพูอ่อนเท่านั้น “เจ้าเห็นว่าข้าไม่สวยอย่างนั้นรึ” “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ฮูหยินไม่เคยผัดหน้า…” นางรีบโบกมือ “ก็บอกแล้วว่าเรื่องของอดีตลืมมันไปเสีย ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่” “เจ้าค่ะ” นายหญิงเปลี่ยนกะทันหันเกินไป นางตั้งรับไม่ค่อยทัน นี่ใช่ฮูหยินคนเดิมของนางจริง ๆ หรือ “ฮูหยินเจ้าคะ” “เจ้ามีสิ่งใดอีก” “กลิ่นกายฮูหยินหอมคล้ายขนมเลยเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวนิ่งงัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางเพิ่งกินขนมบ้าบิ่นก่อนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงพูดบ่ายเบี่ยงออกไปว่า “กลิ่นกายข้าก็เป็นเช่นนี้” พูดจบนางทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเก้าอี้ แม้ไม่คลายสงสัยแต่ซินอี๋ก็ไม่ได้กล่าวออกอีก น
“ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่งส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร “เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก” “เจ้าค่ะท่านย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่ และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่
ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่” “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ
ตอนนี้จิตใจของนลินธาราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่บอกว่ายายคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เธอยิ่งใจคอไม่ดี ถึงยายจะป่วยมานานแต่เธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้หากยายจะจากไปตอนนี้ เธอหวนคิดถึงคำพูดของยายเมื่อปีที่แล้วอีกครั้ง‘ยามได๋นลินสิพาผู้บ่าวมาแนะนำยายจักเทือ ยายอยากเห็นหน่าหลานเขย ชาตินี่ยายสิได้เห็นบ่อ” (ตอนไหนนลินจะพาแฟนมาแนะนำยายสักที ยายอยากเห็นหน้าหลานเขย ชาตินี้ยายจะได้เห็นไหม) ผู้เป็นยายพูดเสียงเนือย ๆ จะให้เป็นคนหรือเป็นพญานาคก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตตอนนั้นนลินธาราพูดอย่างหยอกเย้ายายว่า ‘เป็นหยังยายสิบ่อเห็น ยายแข็งแฮงกะด้อ หนูหัวกะอายุยี่สิบสี่ปีนึง ยังมีเวลาเลือกอีกโดน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ บ่อพ่อเลย’ (ทำไมยายจะไม่เห็น ยายแข็งแรงจะตาย หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีเอง ยังมีเวลาเลือกอีกนาน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ ไม่ได้เลย) ว่าพลางก้มลงกอดยายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ยายของเธอทำเพียงกอดตอบ เพราะขืนรบเร้าต่อไป หลานสาวก็ไม่ยอมมีแฟนสักที ถึงตอนนั้นตายตาไม่หลับก็คงต้องยอมแล้ว รถยนต์คันสีแดงเลือดนกขับออกมาจากโรงเรียนอย่างช้า ๆ เพราะฝนตกต
ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธ







