Compartilhar

ตอนที่ 7 ข้าคิดน้อยเกินไป

last update Última atualização: 2025-12-16 10:31:34

ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

            “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก

            ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่”

            “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ ก่อนหน้าลู่ซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าดีใจหนักหนาที่หานตงหยางจะได้แต่งภรรยา แต่ตอนนี้ทั้งสองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้ผลดีจะมีมากกว่าผลเสีย

            แม่สามีกับลูกสะใภ้เงียบไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าให้คนส่งข่าวไปที่ค่ายหวงซานแล้ว อีกไม่เกินสี่วันหยางเอ๋อร์ก็คงมาถึง” หลานชายคนนี้ทำอะไรผลีผลามไม่เกรงกลัวผู้ใดเลยสักนิด เรื่องอื่นหานตงหยางเชื่อฟังท่านย่าเสมอ แต่เรื่องออกเรือนเขาเปรียบเสมือนม้าพยศก็ไม่ปาน แม้แต่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เขายังหาทางหลีกเลี่ยงที่จะเข้าหอ

            “เจ้าค่ะ” ลู่จินเยว่รับคำแม่สามีเสียงเบา และเดินตามอย่างเงียบ ๆ เรื่องทุกอย่างในจวนฮูหยินผู้เฒ่าย่อมจัดการได้ดีกว่านาง

           

            หลิวหนิงเจียวเพิ่งนอนพักไปได้หนึ่งชั่วยามนางก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้ารู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะล้างหน้าหรือผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ แต่พอได้งีบหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียเท่าไรนัก

            บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับลู่ซื่อมาเยี่ยม นางจึงลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง

            “ช่วยพยุงข้าออกไปที” ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเตียงนอน ถ้าให้มารดาสามีกับฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามาในห้องนอนคงไม่สมควรเท่าไรนัก

            “คุณหนูเจ้าคะ…” ซินอี๋เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง

            “ข้ายังไหว”

            ซินอี๋กับไฉ่หงหญิงรับใช้อีกคนจึงพยุงนางลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอกที่มีม่านแพรกั้นไว้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับลู่ซื่อเดินเข้ามาหลิวหนิงเจียวจึงกล่าวออกเสียงนุ่มนวลพร้อมกับพนมมือไหว้

            “ท่านย่า ท่านแม่สวัสดีค่ะ” หลิวหนิงเจียวพูดออกมาเป็นภาษาไทย

            “หือ?” ฮูหยินผู้เฒ่า

            “…” ลู่ซื่อ

            ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและลู่ซื่อต่างทำหน้างุนงง ทำท่าอะไรของนาง! ซ้ำยังพูดภาษาประหลาด หรือเป็นเพราะนางเพิ่งฟื้นจึงทำให้ไม่ได้สติสมประดี

            ซินอี๋เห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยเตือนสตินายหญิง “คุณหนูใหญ่กล่าวสิ่งใดออกมาเจ้าคะ อีกทั้งท่านยังทำท่า…” พูดพลางบุ้ยปากให้นางดูมือตัวเองที่ยกค้างไว้

            หลิวหนิงเจียวเพิ่งรู้ตัวว่าผิดท่าแล้ว นางทำท่าปั้นยิ้มแก้เก้อคราหนึ่ง ค่อย ๆ ลดมือลงข้างตัวแล้วยอบกายอย่างอ่อนช้อยเอ่ยออกอีกครั้ง “ท่านย่า ท่านแม่” นางตื่นเต้นจนลืมตัวทักทายแบบคนไทยแท้ออกไป

            ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจกับท่าทางแปลก ๆ ของนาง “นั่งเถอะ ๆ เจ้าไม่สบายอยู่ ไม่ต้องมากพิธี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ไม่ได้ติดใจการกระทำที่ไม่เหมาะสมของนางเมื่อคืน และท่าทีพิลึกพิลั่นของนางตอนนี้ ยิ่งทำให้หลิวหนิงเจียวรู้สึกผิดมากขึ้น ดูไปแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีก็ไม่มีท่าทีรังเกียจนางเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ท่านทั้งสองเบิกตาโตด้วยความตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นหน้านาง

ทำไมต้องตกใจ?

            สาวใช้พยุงให้หลิวหนิงเจียวนั่งลงบนเก้าอี้

            “เจ้าไม่เต็มใจแต่งงานกับหยางเอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ คนเราไม่รักชีวิตตัวเองแล้วจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร” คนอื่นที่ลู่ซื่อหมายถึงก็คือบุตรชายของนางเอง

            “ข้าคิดน้อยเกินไป ท่านแม่โปรดลงโทษข้าด้วยเจ้าค่ะ” พูดพลางก้มหน้าอย่างสำนึกผิด หลิวหนิงเจียวใจเด็ดจริง ๆ ถึงจิตสุดท้ายนางยังอยากจะมีชีวิตต่อ แต่นั่นก็คงไม่มีโอกาสแล้ว

            “เอาละ ๆ ถ้าเจ้าคิดได้แล้วก็ช่างเถิด ข้าย่อมเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี แต่เจ้าก็ควรเห็นใจหยางเอ๋อร์บ้าง เขาเองก็คงไม่อยากเป็นเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้ลู่ซื่อตำหนิหลิวหนิงเจียวมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้นางคิดสั้นขึ้นมาอีก แล้วหลานชายของนางจะมีความผิด

            “ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก” เรื่องหน้าตาของเขามันเป็นอุบัติเหตุจากศึกสงคราม นางย่อมไม่โทษเขาอยู่แล้ว

            “ถ้าเจ้าไม่อยากร่วมห้องกับหยางเอ๋อร์ เจ้าก็แค่แยกห้องนอนกับเขา ข้าจะคุยกับเขาให้เจ้าเอง” ลู่ซื่อออกความเห็น นางคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอมีทางออกโดยที่ไม่ต้องมีใครต้องแลกด้วยชีวิต

            “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลอีก แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วไม่ร่วมห้องได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปตำหนิลูกสะใภ้ตาเขียว อย่างไรนางก็ยังหวังให้หลานชายเพียงคนเดียวมีทายาท ถึงแม้สตรีตรงหน้าจะทาแป้งหนา ทาชาดสีเข้มจัดแม้ยามหลับนอนก็ตาม ดูแล้วน่าจะเป็นไปตามคำเล่าลือกระมัง ว่าหญิงงามชนเผ่านางนี้ชอบแต่งตัวให้สวยผุดผาดอยู่ตลอดเวลา

            ลู่ซื่อก้มหน้าหลบสายตามารดาสามีเมื่อโดนตำหนิ นางแค่หาทางออกให้กับทั้งสองเท่านั้น

Continue a ler este livro gratuitamente
Escaneie o código para baixar o App

Último capítulo

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 10 แค่ห่มผ้าให้

    ปีนั้นเขาอายุเพียงสิบแปดปี ออกรบกับท่านพ่อที่ชายแดนบูรพา ท่านพ่อของเขานำทัพทหารกว่าสิบหมื่นนายออกไปทำศึกกับแคว้นเป่ยเอี้ยน ตอนนั้นหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนคือหลูกัง ท่านพ่อของเขาสู้กับหลูกังจนตัวตายในสนามรบ พอเขาทราบว่าท่านพ่อพลาดท่าให้กับหลูกัง เขาจึงรวบรวมขวัญกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด นำกองทัพเข้าโจมตีแม่ทัพหลูอย่างห้าวหาญ แต่ในระหว่างที่เขากำลังควบม้าไล่ล่าแม่ทัพหลูอยู่นั้น หมวกบนศีรษะของเขาก็ตกลงบนพื้น นายกองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจังหวะนั้นใช้ดาบฟันเข้าที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาจนเป็นแผลลากยาวตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงคาง กระนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันสะพายแร่งจนร่างทหารนายกองคนนั้นขาดเป็นสองท่อนจากนั้นก็ควบม้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถตัดศีรษะของแม่ทัพหลูกลับมาได้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเลยสักนิด เขาได้รับชัยชนะจากการทำศึกครั้งนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนบูรพาแทนท่านพ่อในวัยเพียงสิบแปดปี เพราะแผลที่ใบหน้าของเขาเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งตอนที่ไล่ฟันศัตรูเขาจึงได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนบูรพาตั้งแต่วันนั้น แต่ความมั่นใจของเขากลับน้อยลงไปแทบไม่มีเหลือ จนต้องสวมหน้ากากเหล็กไว้ต

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 9 พบหน้า

    สุดท้ายหลิวหนิงเจียวจึงเลือกชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งขับผิวขาวของนางให้กระจ่างใสมากขึ้น นางมองทรวดทรงองค์เอวของตนในคันฉ่องอย่างพอใจ คนอะไรตัวเล็กตัวน้อย ทั้งสวยทั้งน่ารัก คนผิวขาวใส่อะไรก็ขึ้นไปหมด “ฮูหยินผัดหน้าแค่นั้นหรือเจ้าคะ” นางทาแป้งเพียงบางเบา แต้มชาดพอให้มีเลือดฝาด ส่วนริมฝีปากก็ทาเพียงขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากสีชมพูอ่อนเท่านั้น “เจ้าเห็นว่าข้าไม่สวยอย่างนั้นรึ” “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ฮูหยินไม่เคยผัดหน้า…” นางรีบโบกมือ “ก็บอกแล้วว่าเรื่องของอดีตลืมมันไปเสีย ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่” “เจ้าค่ะ” นายหญิงเปลี่ยนกะทันหันเกินไป นางตั้งรับไม่ค่อยทัน นี่ใช่ฮูหยินคนเดิมของนางจริง ๆ หรือ “ฮูหยินเจ้าคะ” “เจ้ามีสิ่งใดอีก” “กลิ่นกายฮูหยินหอมคล้ายขนมเลยเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวนิ่งงัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางเพิ่งกินขนมบ้าบิ่นก่อนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงพูดบ่ายเบี่ยงออกไปว่า “กลิ่นกายข้าก็เป็นเช่นนี้” พูดจบนางทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเก้าอี้ แม้ไม่คลายสงสัยแต่ซินอี๋ก็ไม่ได้กล่าวออกอีก น

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 8 เต็มใจ

    “ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่งส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร “เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก” “เจ้าค่ะท่านย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่ และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 7 ข้าคิดน้อยเกินไป

    ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่” “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 6 ไม่ได้ฝันไป

    ตอนนี้จิตใจของนลินธาราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่บอกว่ายายคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เธอยิ่งใจคอไม่ดี ถึงยายจะป่วยมานานแต่เธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้หากยายจะจากไปตอนนี้ เธอหวนคิดถึงคำพูดของยายเมื่อปีที่แล้วอีกครั้ง‘ยามได๋นลินสิพาผู้บ่าวมาแนะนำยายจักเทือ ยายอยากเห็นหน่าหลานเขย ชาตินี่ยายสิได้เห็นบ่อ” (ตอนไหนนลินจะพาแฟนมาแนะนำยายสักที ยายอยากเห็นหน้าหลานเขย ชาตินี้ยายจะได้เห็นไหม) ผู้เป็นยายพูดเสียงเนือย ๆ จะให้เป็นคนหรือเป็นพญานาคก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตตอนนั้นนลินธาราพูดอย่างหยอกเย้ายายว่า ‘เป็นหยังยายสิบ่อเห็น ยายแข็งแฮงกะด้อ หนูหัวกะอายุยี่สิบสี่ปีนึง ยังมีเวลาเลือกอีกโดน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ บ่อพ่อเลย’ (ทำไมยายจะไม่เห็น ยายแข็งแรงจะตาย หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีเอง ยังมีเวลาเลือกอีกนาน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ ไม่ได้เลย) ว่าพลางก้มลงกอดยายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ยายของเธอทำเพียงกอดตอบ เพราะขืนรบเร้าต่อไป หลานสาวก็ไม่ยอมมีแฟนสักที ถึงตอนนั้นตายตาไม่หลับก็คงต้องยอมแล้ว รถยนต์คันสีแดงเลือดนกขับออกมาจากโรงเรียนอย่างช้า ๆ เพราะฝนตกต

  • ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์    ตอนที่ 5 สายเลือดพญานาค

    ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธ

Mais capítulos
Explore e leia bons romances gratuitamente
Acesso gratuito a um vasto número de bons romances no app GoodNovel. Baixe os livros que você gosta e leia em qualquer lugar e a qualquer hora.
Leia livros gratuitamente no app
ESCANEIE O CÓDIGO PARA LER NO APP
DMCA.com Protection Status