FAZER LOGIN“ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร
“เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่
และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่งกระจ่างตอนนี้เองว่าเหตุใดท่านย่ากับมารดาสามีถึงได้ตกใจตอนเห็นหน้านาง หลิวหนิงเจียวแต่งหน้าราวกับจะไปเล่นงิ้ว
ซินอี๋ที่ถืออ่างน้ำอุ่นเข้ามาได้ยินเจ้านายพูดไม่ค่อยถนัดจึงถามออกไป “คุณหนูใหญ่พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”
“พูดอะไรรึ” นางเอียงคอถาม มองสาวใช้ผ่านคันฉ่อง
“ก็คุณหนูใหญ่พูดว่าอะไรลากยาง ๆ นี่แหละเจ้าค่ะ”
หลิวหนิงเจียวกลั้วขำน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำที่ซินอี๋พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด นางจึงบอกสาวใช้อย่างอารมณ์ดี “เปล่า ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าคราวหน้าข้าจะแต่งหน้าเอง แต่ทรงผมเจ้าต้องช่วยข้าเช่นเดิม”
“เจ้าค่ะ” ชินอี๋แปลกใจอยู่บ้างที่ตั้งแต่นายหญิงฟื้นขึ้นมานางก็ไม่ได้อารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนเดิม แต่กลับดูเหมือนว่านางเริ่มรับชะตากรรมของตนได้แล้ว
“อีกอย่างเจ้าเรียกข้าว่าฮูหยินตามที่สวมควรเถิด หากใครได้ยินเข้า จะเอาไปนินทาได้” นางจะทำหน้าที่ภรรยาและลูกสะใภ้ให้ดี เพราะถึงอย่างไรนางคงไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จะมีสามีทั้งที ทำไมต้องให้นางดั้นด้นมาไกลแสนไกลถึงเพียงนี้ ซ้ำร้ายหน้าตาสามีนางก็ยังไม่เคยเห็น ยิ่งกว่านั้นนางต้องแต่งงานตอนอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น เฮ้อ! ชีวิตฮูหยินน้อยหอยสังข์ แม้ตอนที่จากโลกเดิมมาอายุยี่สิบห้าแล้วนางยังไม่อยากแต่งงานเลย นับประสาอะไรกับอายุเพียงสิบแปดปี
“แต่ว่าคุณหนู… เอ่อฮูหยินเคยบอกข้าว่า…” นางจะไม่ยอมให้ซินอี๋เรียกนางว่าฮูหยินเด็ดขาด แม้นางจะแต่งงานแล้วก็ตาม
“เรื่องในอดีตเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ทัพได้ยิน” นางจะแข็งข้อกับเขาไม่ได้ ลองใช้ไม้อ่อนเข้าหา เขาอาจจะเมตตานางบ้าง
“เจ้าค่ะ… ฮูหยินไม่ถอดแหวนก่อนชำระกายหรือเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าท่านมีแหวนหยกรูปมังกรมาก่อน”
หลิวหนิงเจียวครางฮือออกมาเบา ๆ ก่อนก้มลงมองแหวนที่นิ้วของตน นางมองดูด้วยความตกใจเมื่อเห็นแหวนวงนั้น เป็นแหวนที่พ่อของนางถอดให้ก่อนที่นางจะขับรถออกจากบ้านวันนั้น “มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ฮูหยินได้มาจากไหนหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ…” แปลกเหมือนกัน แหวนวงนี้ตามนางมาได้อย่างไร “เป็นแหวนที่ท่านแม่ให้ข้ามาน่ะ ข้าเพิ่งหยิบออกมาสวม”
“อ้อ แล้วฮูหยินจะถอดเก็บไว้ก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวหนิงเจียวรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ถอด”
“เจ้าค่ะ”
หลิวหนิงเจียวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำ บนร่างสวมเพียงเสื้อคลุมผืนบางสีขาว มีสาวใช้เดินตามมาจากด้านหลัง “พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามาข้าจะอาบเอง”
“แต่ฮูหยินชอบให้ข้าขัดตัวให้นะเจ้าคะ”
“ต่อไปนี้ข้าจะช่วยเหลือตัวเองให้มาก” บ้าหรือเปล่าอายุปูนนี้แล้วยังต้องให้ใครมาอาบน้ำให้อีกหรือ นางทำหน้าเหยเกเมื่อคิดถึงตอนที่พวกสาวใช้มองเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนาง
สาวใช้ได้ยินฮูหยินบอกเช่นนั้นก็พากันล่าถอยออกไปด้านนอก ซินอี๋ยืนงงอยู่สักพักก่อนจะเดินตามจื่อรั่วกับไฉ่หงออกไป ในหัวยังคิดไม่ตกว่าสตรีผู้เอาแต่ใจอย่างฮูหยินนี่หรือจะยอมช่วยเหลือตัวเอง ขนาดยุงกัดยังให้คนอื่นตบให้ นับประสาอะไรกับอาบน้ำแต่งหน้าเอง ฟื้นขึ้นมาคราวนี้นางแปลกไปจริง ๆ
หลิวหนิงเจียวนอนแช่ตัวในอ่างไม้ที่มีกลีบกุหลาบสีแดงลอยอยู่เต็มอ่าง มันช่างเป็นเวลาที่ผ่อนคลายมากเหลือเกิน นางรู้สึกแสบแผลที่ข้อมือจึงยกขึ้นมาดู ทันใดนั้นนางก็เกิดความรู้สึกอยากใช้ลิ้นเลียแผลตัวเองขึ้นมาเหมือนกับตอนที่อยู่โลกเดิม
“หรือว่า…” นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงใช้ลิ้นเลียแผลที่แขนของตัวเอง เดิมทีน้ำลายของนางมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลสด เมื่อนางใช้ลิ้นเลียที่แผลจะทำให้แผลหายในเร็ววันซ้ำยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ นี่คือข้อดีที่นางเป็นครึ่งคนครึ่งนาค แต่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่นางจะใช้ประโยชน์จากน้ำลายได้หรือไม่ แต่ลองดูกับแหวนที่อยู่ตรงนิ้วมือก็น่าจะให้คำตอบได้ คิดถึงตรงนี้หลิวหนิงเจียวก็นึกอยากกินขนมบ้าบิ่นขึ้นมา นางจึงพูดออกเสียงเบา “ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน” แหวนหยกสีเขียวมีแสงวาบขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏขนมตามที่นางร้องขอตรงหน้า นางยิ้มอย่างพอใจ แหวนหยกใช้งานได้เช่นนี้นางก็ไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว
ครู่หนึ่งเมื่อยกข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง แผลที่นางใช้ลิ้นเลียเมื่อครู่ก็เริ่มตกสะเก็ดแล้ว
หลิวหนิงเจียวนั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชานางก็แต่งหน้าเสร็จ แม่นางชนเผ่าผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามจริง ๆ ก็สมควรแล้วที่นางไม่อยากแต่งงานกับชายอัปลักษณ์
“ชุดของข้าเล่า” นางหันไปถามสาวใช้
ซินอี๋จึงหยิบมาให้ “นี่เจ้าค่ะ”
หลิวหนิงเจียวมองชุดสีส้มอมแสดของตนด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ชุดอื่นล่ะ”
สาวใช้ทั้งสามหยิบชุดมาให้นายหญิงชุดแล้วชุดเล่า นางได้แต่ส่ายหน้าตอบ พลางถอนหายใจยาว ๆ
“ขอชุดสีอ่อนที่สุด”
“เดิมที ฮูหยินชอบแต่สีฉูดฉาดเจ้าค่ะ ชุดสีอ่อนที่เตรียมมาด้วยจึงมีอยู่แค่ไม่กี่ชุด” ซินอี๋ชี้แจงกับนายหญิง
“ลองเอามาให้ข้าดู”
“เจ้าค่ะ” ซินอี๋มองหน้านายหญิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบชุดใหม่มาให้
ปีนั้นเขาอายุเพียงสิบแปดปี ออกรบกับท่านพ่อที่ชายแดนบูรพา ท่านพ่อของเขานำทัพทหารกว่าสิบหมื่นนายออกไปทำศึกกับแคว้นเป่ยเอี้ยน ตอนนั้นหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนคือหลูกัง ท่านพ่อของเขาสู้กับหลูกังจนตัวตายในสนามรบ พอเขาทราบว่าท่านพ่อพลาดท่าให้กับหลูกัง เขาจึงรวบรวมขวัญกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด นำกองทัพเข้าโจมตีแม่ทัพหลูอย่างห้าวหาญ แต่ในระหว่างที่เขากำลังควบม้าไล่ล่าแม่ทัพหลูอยู่นั้น หมวกบนศีรษะของเขาก็ตกลงบนพื้น นายกองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจังหวะนั้นใช้ดาบฟันเข้าที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาจนเป็นแผลลากยาวตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงคาง กระนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันสะพายแร่งจนร่างทหารนายกองคนนั้นขาดเป็นสองท่อนจากนั้นก็ควบม้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถตัดศีรษะของแม่ทัพหลูกลับมาได้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเลยสักนิด เขาได้รับชัยชนะจากการทำศึกครั้งนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนบูรพาแทนท่านพ่อในวัยเพียงสิบแปดปี เพราะแผลที่ใบหน้าของเขาเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งตอนที่ไล่ฟันศัตรูเขาจึงได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนบูรพาตั้งแต่วันนั้น แต่ความมั่นใจของเขากลับน้อยลงไปแทบไม่มีเหลือ จนต้องสวมหน้ากากเหล็กไว้ต
สุดท้ายหลิวหนิงเจียวจึงเลือกชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งขับผิวขาวของนางให้กระจ่างใสมากขึ้น นางมองทรวดทรงองค์เอวของตนในคันฉ่องอย่างพอใจ คนอะไรตัวเล็กตัวน้อย ทั้งสวยทั้งน่ารัก คนผิวขาวใส่อะไรก็ขึ้นไปหมด “ฮูหยินผัดหน้าแค่นั้นหรือเจ้าคะ” นางทาแป้งเพียงบางเบา แต้มชาดพอให้มีเลือดฝาด ส่วนริมฝีปากก็ทาเพียงขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากสีชมพูอ่อนเท่านั้น “เจ้าเห็นว่าข้าไม่สวยอย่างนั้นรึ” “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ฮูหยินไม่เคยผัดหน้า…” นางรีบโบกมือ “ก็บอกแล้วว่าเรื่องของอดีตลืมมันไปเสีย ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่” “เจ้าค่ะ” นายหญิงเปลี่ยนกะทันหันเกินไป นางตั้งรับไม่ค่อยทัน นี่ใช่ฮูหยินคนเดิมของนางจริง ๆ หรือ “ฮูหยินเจ้าคะ” “เจ้ามีสิ่งใดอีก” “กลิ่นกายฮูหยินหอมคล้ายขนมเลยเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวนิ่งงัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางเพิ่งกินขนมบ้าบิ่นก่อนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงพูดบ่ายเบี่ยงออกไปว่า “กลิ่นกายข้าก็เป็นเช่นนี้” พูดจบนางทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเก้าอี้ แม้ไม่คลายสงสัยแต่ซินอี๋ก็ไม่ได้กล่าวออกอีก น
“ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่งส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร “เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก” “เจ้าค่ะท่านย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่ และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่
ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่” “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ
ตอนนี้จิตใจของนลินธาราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่บอกว่ายายคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เธอยิ่งใจคอไม่ดี ถึงยายจะป่วยมานานแต่เธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้หากยายจะจากไปตอนนี้ เธอหวนคิดถึงคำพูดของยายเมื่อปีที่แล้วอีกครั้ง‘ยามได๋นลินสิพาผู้บ่าวมาแนะนำยายจักเทือ ยายอยากเห็นหน่าหลานเขย ชาตินี่ยายสิได้เห็นบ่อ” (ตอนไหนนลินจะพาแฟนมาแนะนำยายสักที ยายอยากเห็นหน้าหลานเขย ชาตินี้ยายจะได้เห็นไหม) ผู้เป็นยายพูดเสียงเนือย ๆ จะให้เป็นคนหรือเป็นพญานาคก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตตอนนั้นนลินธาราพูดอย่างหยอกเย้ายายว่า ‘เป็นหยังยายสิบ่อเห็น ยายแข็งแฮงกะด้อ หนูหัวกะอายุยี่สิบสี่ปีนึง ยังมีเวลาเลือกอีกโดน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ บ่อพ่อเลย’ (ทำไมยายจะไม่เห็น ยายแข็งแรงจะตาย หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีเอง ยังมีเวลาเลือกอีกนาน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ ไม่ได้เลย) ว่าพลางก้มลงกอดยายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ยายของเธอทำเพียงกอดตอบ เพราะขืนรบเร้าต่อไป หลานสาวก็ไม่ยอมมีแฟนสักที ถึงตอนนั้นตายตาไม่หลับก็คงต้องยอมแล้ว รถยนต์คันสีแดงเลือดนกขับออกมาจากโรงเรียนอย่างช้า ๆ เพราะฝนตกต
ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธ







