'หินเจ้าพังแน่นอน!'
โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน
และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น
'ฟังก่อนได้หรือไม่'
'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?'
โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว
'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง'
โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ
หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย
แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้ายุ่งยากราวกับจะตายวันตายพรุ่งอยู่นี่ ก็คงเป็นเพราะเห็นร่างของจ้าวเซินฝูค่อยๆสลายไปกับตา
'จำเงื่อนไขการใช้คัมภีร์ได้หรือไม่'
เมื่อพูดถึงเรื่องเงื่อนไขของคัมภีร์ขึ้นมา จึงได้นึกขึ้นได้ว่าในคัมภีร์นั้นระบุถึงเงื่อนไขของการสูญเสียระดับพลังและอายุขัยเอาไว้ด้วย
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าจ้าวเซินฝูกลับมาแล้วหรอกหรือ
'เช่นนั้น..!!'
'อย่าเพิ่งดีใจเก้อ ฟังข้าก่อน'
โจวหมิงตั้งท่าจะลุกออกไปเพื่อตามหาจ้าวเซินฝูอีกรอบเมื่อคิดว่าลูกศิษย์ของตนอาจจะกลับมาแล้วและเดินเตร็ดเตร่อยู่สักแห่งหนึ่งในสำนัก
หวังซิ่นเจียรีบทำมือปางห้ามญาติ
'แต่คัมภีร์นั่น ไม่ใช่คัมภีร์ชุบชีวิตคนตายอย่างที่เจ้าเข้าใจ'
และก็ไม่รู้ว่าทำไมในตอนนั้นโจวหมิงจึงได้คิดว่าคัมภีร์นั่นจะสามารถชุบชีวิตคนตายได้
'นี่เป็นการย้อนเวลา'
โจวหมิงเชื่อมาโดยตลอดว่าหากประกอบพิธีกรรมตามคัมภีร์เล่มนั้นแล้ว จะสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แต่เมื่อได้ยินเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายเช่นนั้นก็อดตะลึงไม่ได้
'เมื่อครู่ข้าพบอวิ๋นรั่ว'
'ห้ะ?'
'เจ้าฟังไม่ผิด อวิ๋นรั่วมาตามหาเจ้า'
อวิ๋นรั่วเป็นลูกศิษย์ของโจวหมิงอีกคนหนึ่งเช่นกัน และเป็นศิษย์หลักคนสุดท้ายของยอดเขาที่สอง ก่อนที่จ้าวเซินฝูจะเข้าร่วมกับสำนักเจี๋ยเอินนั้น อวิ๋นรั่วก็ออกไปเปิดกิจการหอคุ้มกันไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นหากเป็นช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นรั่วจะอยู่ที่นี่
'หากเป็นเช่นนั้น...'
'ใช่ ตอนนี้จ้าวเซินฝูอยู่ที่ตระกูลจ้าว'
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโจวหมิงรู้สึกราวกับโลกจะถล่ม
หนึ่งสิ่งที่โจวหมิงพยายามมาโดยตลอดคือกีดกันจ้าวเซินฝูให้ออกห่างจากจวนตระกูลจ้าวมากที่สุด แต่ครั้งนี้เป็นโจวหมิงที่ส่งจ้าวเซินฝูกลับไปอยู่ที่นรกนั่นด้วยตนเอง
'ข้าจะไปพาคนกลับ'
'สภาพนี้น่ะหรือ?'
ระดับพลังของโจวหมิงตอนนี้คงจะต่อกรกับผู้คุ้มกันของจ้าวจวิ้นซานไม่ได้ด้วยซ้ำ
'แล้วจะปล่อยให้จ้าวเซินฝูต้องทรมานเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สองหรือ!?'
'ครั้งก่อนเขาก็ผ่านมาได้'
'แต่ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ได้เพราะต้องการให้เป็นเช่นครั้งก่อน!'
การย้อนเวลาครั้งนี้ หากโจวหมิงต้องเสียงพลังไปและส่งจ้าวเซินฝูกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ เช่นนั้นก็นับว่าสร้างเรื่องเสียเปล่าแล้ว
'สิ่งแรกที่เจ้าต้องห่วงคือตนเอง'
'แล้วจ้าวเซินฝูจะเป็นอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ?'
หวังซิ่นเจียต้องการให้โจวหมิงฟื้นพลังของตนเองกลับมาได้เสียก่อน แต่หากรอให้พลังกลับมาเช่นเดิมคงไม่ทันการณ์
'ข้าจะส่งคนไปดูให้'
'ช่วยเขาออกมาเลยไม่ได้หรือ... เอามาหลบซ่อนที่ยอดเขาของเจ้าก็ได้'
หวังซิ่นเจียถึงกับคิ้วกระตุก ใจคอจะไม่หยุดสร้างปัญหาเลยหรืออย่างไร
'ไม่ได้ อันดับแรกเจ้าต้องฟื้นพลังให้ได้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง'
'แต่...'
'ไม่มีแต่ อีกสองวันปิดด่านฝึกตนเสีย'
หวังซิ่นเจียคิดจะมัดมือชกจับโจวหมิงยัดเข้าถ้ำเพื่อปิดด่านฝึกตน อย่างน้อยๆก่อนที่จ้าวเซินฝูจะกลับเข้าสำนักก็ควรอยู่ระดับจ้าวนภาตอนปลายให้ได้
แม้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ หากเป็นครั้งก่อนโจวหมิงจะมีพลังระดับราชันย์ขั้นต้นแล้วก็ตาม
หากการที่โจวหมิงเสียสละพลังของตนเองเพื่อย้อนเวลากลับมา แล้วจ้าวเซินฝูยังเป็นเช่นเดิมก็นับว่าเสียเปล่าแล้ว หวังซิ่นเจียเองก็ได้แต่ภาวนาให้ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
'แล้วเรื่องที่ยอดเขาเล่า...'
หากเจ้ายอดเขาทั้งสองติดภารกิจ(อู้งาน)อยู่ภายนอก ย่อมเป็นเรื่องของศิษย์สืบทอดที่ต้องคอยดูแลยอดเขาแทนอาจารย์
และแน่นอนว่าหวังซิ่นเจียย่อมโยนภาระก้อนใหญ่นี้ให้ศิษย์สืบทอดคนหนึ่งของตนอย่างไม่ใยดี
ต่างจากโจวหมิงที่ในตอนนี้ไม่มีศิษย์สืบทอด...
อย่าว่าแต่ศิษย์สืบทอดเลย กระทั่งศิษย์หลักยังมีเพียงแค่อวิ๋นรั่วคนเดียว นอกนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของโจวหมิง
หากโจวหมิงไปปิดด่านฝึกตนละก็ ยอดเขาที่สองก็คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นยอดเขาร้าง
แต่พลังแค่ระดับวายุที่โจวหมิงมีในตอนนี้ก็ไม่สามารถดูแลยอดเขาได้อยู่ดี เช่นนั้นจึงปรึกษากันว่าควรจะโยนภาระสองเท่านี้ให้กับศิษย์สืบทอดของหวังซิ่นเจียแทน
สองผู้ยิ่งใหญ่สุมหัวปรึกษากันเรื่องของสถานการณ์หลังจากนี้ โดยที่ศิษย์สืบทอดผู้โชคร้ายของหวังซิ่นเจียจามจนจมูกแทบหลุดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
หวังซิ่นเจียคิดจะออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกเช่นกัน เพราะตั้งแต่ได้เป็นเจ้ายอดเขามีภาระมากมาย ไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ดั่งตอนเป็นศิษย์สืบทอดมาเนิ่นนานแล้ว เสียเพียงแต่โจวหมิงไม่สามารถไปด้วยได้
'เจ้าแค่อยากจะหนีงานสินะ ไม่ได้ต้องการจะไปดูแลจ้าวเซินฝูสักนิด'
หวังซิ่นเจียยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ โจวหมิงกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ
หากไม่ใช่เพราะว่าต้องเสียพลังไป โจวหมิงคิดจะพาจ้าวเซินฝูขึ้นมาซ่อนไว้ที่ยอดเขาของตนเองด้วยซ้ำ
อยากที่หวังซิ่นเจียบอก ตอนนี้ทั้งคู่ย้อนเวลากลับมาตอนที่จ้าวเซินฝูยังไม่ทันเข้าสำนัก ข้อยืนยันคืออวิ๋นรั่วที่หน้าเหมือนกับหลายสิบปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งศิษย์ของยอดเขาที่สามก็เรียกโจวหมิงว่าเจ้ายอดเขาที่สอง
หลังจากเหตุการวินาศสันตะโรครั้งนั้นโจวหมิงถูกริบคืนตำแหน่งและยอดเขา เป็นเพียงอาจารย์โจวที่อยู่ลอยไปลอยมา สร้างปัญหาไปวันๆเท่านั้น
อีกทั้งหลิ่วป๋ายซื่อที่พบหลังเสร็จพิธีนั่นก็ดูเหมือนว่าไม่ได้โกรธเคืองอะไรโจวหมิง คล้ายมีเรื่องสำคัญจะกล่าวด้วยมากกว่า
'เช่นนั้นเอาตามนี้ เจ้ารีบปิดด่านเถอะ ไม่รู้ว่าตอนที่จ้าวเซินฝูกลับมาเจ้าจะมีพลังสักเท่าไหร่'
โจวหมิงแม้ว่าใจจะอยากไปรับจ้าวเซินฝูกลับมาด้วยตนเองก็ตาม แต่เป็นอย่างที่หวังซิ่นเจียกล่าวหากไปด้วยตนเองคงไม่สามารถปกป้องทั้งตนเองและจ้าวเซินฝูได้
อีกอย่างหากให้โจวหมิงออกไปจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะเดิมทีเจ้ายอดเขาที่สองไม่นิยมออกไปสร้างความวุ่นวายข้างนอกเท่าไหร่นัก แต่น้อยคนที่รู้ว่านั่นเป็นเพราะยามที่เป็นเพียงศิษย์ในสำนักก็เที่ยวสร้างปัญหาจนพอใจแล้ว
หวังซิ่นเจียเดิมทีก็ไม่ได้ต่างจากโจวหมิงมากนัก กะล่อนไม่ต่างกันต้องศีลเสมอกันจึงจะเป็นสหายกันได้ยาวนาน เพียงแต่หวังซิ่นเจียนั้นจัดการปัญหาได้ดีมากกว่า
คนอย่างโจวหมิงนั้น ชื่นชอบการสร้างปัญหาเอาไว้แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นเป็นคนสะสาง ก่อนหน้าที่จะได้เป็นเจ้ายอดเขานั้น เรียกได้ว่าทั้งอาจารย์ ทั้งศิษย์ร่วมอาจารย์พากันตามเช็ดตามล้างไม่หวาดไม่ไหว
หลังจากได้เป็นเจ้ายอดเขาแล้วก็ยังเป็นเช่นเดิม เพียงแต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เกินแก้จนกระทั่งไปทุบตีคนแซ่เจิ้งและคนแซ่จ้าวที่แคว้นจิน
และแน่นอนว่าทิ้งปัญหาไว้เช่นเดิมอย่างที่รู้กัน
เมื่อถึงวันที่ปิดด่านตามที่วางแผนไว้ หวังซิ่นเจียเดินมาส่งโจวหมิงยังถ้ำที่ใช้ปิดด่านฝึกตนในครั้งนี้ โจวหมิงทำหน้ายุ่งยากจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
หวังซิ่นเจียรำคาญสหายคนนี้เกินจะทน จัดการเฉดหัวเข้าถ้ำไปพร้อมกับกางม่านระดับราชันย์ขั้นต้นเอาไว้
'ไหนเจ้าว่าแค่นภาขั้นสูงก็พอ!'
'หากสำเร็จแล้วก็เรียกให้จางเชียนฉีมาเปิดแล้วกัน ข้าบอกเขาไว้แล้ว'
จางเชียนฉีนั้นเป็นศิษย์สืบทอดของหวังซิ่นเจียที่ถูกทอดทิ้งไว้พร้อมกับภาระกองโตถึงสามอย่างด้วยกัน ตอนที่หวังซิ่นเจียกล่าวเรื่องนี้กับจางเชียนฉี เขาทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้ดื่มพิษรักษาแผลของผู้อาวุโสหง
นอกจากจะต้องดูแลยอดเขาทั้งสองแทนเจ้ายอดเขาที่ทำตัวว่างออกไปเตร็ดเตร่คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ไม่รู้นึกคึกอะไรจึงได้ปิดด่านฝึกตนขึ้นมาเสียดื้อๆ
แล้วยังต้องคอยมาตรวจดูเจ้ายอดเขาโจวที่ถ้ำปิดด่านอีกต่างหาก
จางเชียนฉีไม่เข้าใจผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนแม้แต่น้อยย คนหนึ่งทำหน้าเหมือนจะตายในขณะที่ถูกขังอยู่ในม่านพลังระดับราชันย์ขั้นต่ำ ทั้งๆที่ต้นเองมีพลังระดับราชันย์ขั้นสูงด้วยซ้ำ เพียงแค่ดีดนิ้วก็ปลดม่านได้แล้วแท้ๆ
ส่วนอาจารย์ของตนนั้นทำหน้าราวกับได้แก้แค้น แววตาวาบวับยามที่จับจ้องไปยังสหายของตนทำหน้าเหมือนแมวป่วยในม่านพลังที่เพียงแค่หายใจออกก็อาจจะปลิวไปได้
แวบหนึ่งที่จางเชียนฉีครุ่นคิดอยู่ในหัวอย่างสิ้นหวัง เกรงว่าหากได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นทั้งคู่ในภายภาคหน้า ตนเองอาจจะมีอาการคล้ายๆกัน
จางเชียนฉีไม่นึกอยากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ครู่หนึ่งของชีวิต
หลังจากที่ฝากฝังสหายหน้ายากผู้นั้นเอาไว้กับลูกศิษย์ของตนเองเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังแคว้นจินทันที
ในใจนั้นหวังซิ่นเจียจะไปเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น หากเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่ผู้ใดจะคิดเล่า ว่าเมื่อเข้าแคว้นจินมาแล้ว คืนนั้นจะได้พบกับจ้าวเซินฝูที่ปีนกำแพงจวนออกมาด้วยท่าทางลับๆล่อๆ
หวังซิ่นเจียรีบตามไป จ้าวเซินฝูเดินนำไปยักตรอกซอกซอยต่างๆกระทั่งหยุดที่ทางตัน หวังซิ่นเจียประมาทที่เดินตามจ้าวเซินฝูมาต้อยๆเพราะความอยากรู้ ในตอนที่จะหันหลังกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว
จ้าวเซินฝูในยามนั้นยื่นข้อเสนอให้หวังซิ่นเจียช่วยเหลือ แลกกับเงินจำนวนหนึ่ง
หวังซิ่นเจียมองสภาพของจ้าวเซินฝูแล้วก็ไม่ได้คิดว่าจ้าวเซินฝูนั้นจะมีเงินให้ตนเองจริงๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจ้าวเซินฝูเองก็ดิ้นรนจะหนีจากตระกูลจ้าวจึงตกปากรับคำ
และแล้วละครปาหี่ที่มีโรงละครฉากใหญ่เป็นจวนตระกูลจ้าวก็เริ่มต้นขึ้น
หวังซิ่นเจียมองดูจ้าวเซินฝูแล้ว ไม่คล้ายกับจ้าวเซินฝูที่รู้จักเท่าไหร่นัก จ้าวเซินฝูที่เคยรู้จักเป็นคนค่อนข้างสุภาพ อีกทั้งยังยอมคนไม่น้อย ดูจากที่ทั้งเจิ้งซีเพ่ยและตระกูลจ้าวโขกสับใช้ประโยชน์อย่างไร จ้าวเซินฝูก็ไม่มีปฏิเสธ
ต่างจากจ้าวเซินฝูคนนี้ แววตาเปลี่ยนไป ไม่ได้มีความอ่อนน้อมเช่นเดิม อีกทั้งท่าทีไม่รู้สึกรู้สากับการที่ตนเองเป็นต้นเหตุแห่งความหายนะของตระกูลจ้าวนั้น หวังซิ่นเจียจึงพอเดาบางอย่างได้
จ้าวเซินฝูก็คงจะย้อนกลับมาเช่นกัน
และเรื่องที่ไม่เห็นหัวตระกูลจ้าวเช่นนี้ อาจจะเป็นเช่นเดียวกับตนและสหายที่ย้อนเวลากลับมาพร้อมกับความทรงจำในอนาคต
หวังซิ่นเจียคอยยื่นมือช่วยจ้าวเซินฝูอยู่หลายเรื่องต่อหลายเรื่องกระทั่งทวงคืนสมบัติและสถานะในจวนตระกูลจ้าวกลับมาได้
เท่านี้หวังซิ่นเจียคงคิดว่าเสร็จสิ้นเรื่องที่ต้องทำแล้ว ดังนั้นจึงได้ให้นกพิราบส่งสาส์นไปยังคนที่ชอบทำหน้ายุ่งยากที่ถูกขังลืมอยู่ในถ้ำว่าอีกไม่นานจะกลับไป
แต่เพราะว่าจ้าวเซินฝูดึงดันจะกลับสำนักในช่วงเวลาเดิม โจวหมิงที่รู้เช่นนั้นก็ส่งจดหมายขอร้อง(ข่มขู่) ให้หวังซิ่นเจียอยู่กับจ้าวเซินฝูจนกว่าจ้าวเซินฝูจะกลับสำนัก
หวังซิ่นเจียเห็นแก่ความกังวลของสหายจึงได้ยอมรับปาก และเมื่อเป็นเช่นนั้นหวังซิ่นเจียก็ได้รับรู้ว่าคนของยอดเขาที่สองนั้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาจารย์ต่างก็สร้างปัญหาเก่งไม่แพ้กัน
จ้าวเซินฝูจับลูกลิงสองตนพร้อมพ่อบ้านหยางยัดเยียดให้หวังซิ่นเจียช่วยดูแล ส่วนตนเองไปปิดด่านฝึกตนเช่นเดียวกันกับอาจารย์ ระหว่างที่หายไปกว่าสองปีหวังซิ่นเจียได้รับจดหมายจากโจวหมิงไม่หยุดหย่อน แต่มีข่าวดีคือพลังของโจวหมิงนั้นฟื้นกับมาง่ายกว่าที่คาดเอาไว้ ดังนั้นตอนนี้โจวหมิงจึงมีพลังระดับจ้าวนภาขั้นต้นแล้ว
เรื่องราวของทั้งสองฝั่งยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยที่มีโจวหมิงคอยส่งจดหมายถามไถ่อยู่เรื่อยๆ กระทั่งวันที่พากันขึ้นเขา โจวหมิงที่มีพลังระดับจ้าวนภาขั้นสูงแล้วก็ยังส่งคนมาสอดส่องว่าเซินฝูจะสามารถขึ้นมาถึงยอดเขาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่
.
.
.
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้"
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ