'หมายความว่าอย่างไร...'
หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย
เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้
โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ
'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?'
หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากความทรงจำของทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินเสียด้วยซ้ำ
'ข้า..'
หวังซิ่นเจียจ้องโจวหมิงตาไม่กระพริบคาดคั้นเอาคำตอบ โจวหมิงที่ได้รับแรงกดดันจากสหายตรงหน้าก็หลบสายตา
'ข้าไม่แน่ใจ...'
'ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้ามันตัวปัญหา!!'
ตั้งแต่จับพลัดจับพลูคบหากันเป็นสหายสมัยที่ยังเป็นเพียงศิษย์นอกของสำนักเจี๋ยเอินนั้น หวังซิ่นเจียก็คิดเอาไว้แล้วว่า สักวันนิสัยที่หยั่งรากลึกของโจวหมิงจะต้องสร้างปัญหาอย่างแน่นอน
ไม่น่าชะล่าใจคิดว่าหลังจากที่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้ายอดเขาที่สองแล้วโจวหมิงคงจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซิ่นเจียคิดแล้วก็ร้อนรุ่มในอก รู้สึกราวกับธาตุไฟจะเข้าแทรก หากย้อนเวลากลับไปได้ หวังซิ่นเจียจะรีบหนีจากตัวปัญหาเช่นนี้ไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ไม่ต้องเจอกันเลยยิ่งดี หรือไม่เช่นนั้นก็ขอกลับไปเขกหัวตนเองในอดีตเสียหน่อยเถอะที่มาคบหาสหายตัวปัญหาเช่นนี้
แต่เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย จะไปย้อนเวลาได้อย่างไรเล่า...
อ่า...
ถ้าหากทำได้ล่ะ...
'โจวหมิง'
หวังซิ่นเจียเรียกคนเสียงเข้ม โจวหมิงรู้สึกเหมือนตัวหดเล็กลงเพราะแรงกดดันจากสหาย
เดิมทีหากวัดกันด้วยระดับพลังนั้น โจวหมิงย่อมชนะขาดลอย แต่ในตอนนี้รู้สึกราวกับว่าตนเองนั้นไร้ทางสู้อย่างไรอย่างนั้น
'คัมภีร์เล่มนั้นอยู่ที่ไหน'
หวังซิ่นเจียข้องใจกับคัมภีร์ที่ว่านั่นไม่น้อย นึกโทษตนเองที่ไม่เอามาดูในละเอียดในตอนที่โจวหมิงเอามันมาให้ดูด้วยท่าทีตื่นเต้น
โจวหมิงทำท่านึกเล็กน้อยก่อนจะตอบสหายตนเองเสียงแผ่ว
'ตอนที่ออกมาจากห้องของจ้าวเซินฝู ข้าก็ไม่เห็นมันแล้ว...'
โจวหมิงไม่ได้โกหก หวังซิ่นเจียเองก็เข้าไปดูมาก่อนแล้ว ในห้องนั้นกลายเป็นห้องว่างเปล่า ไม่มีคัมภีร์เจ้าปัญหาที่โจวหมิงไปคุ้ยมาจากหอคัมภีร์ของสำนัก ดังนั้นหวังซิ่นเจียคิดว่าโจวหมิงอาจจะหยิบไปด้วย แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธ
'เช่นนั้นแล้วจะหายไปไหนได้'
'ข้าไม่รู้...'
หวังซิ่นเจียขัดใจไม่น้อยกับท่าทางของโจวหมิงในตอนนี้ ดูเหมือนสาวน้อยผู้บอบบางอะไรเช่นนั้น
'เลิกทำตัวสำออยเสียทีได้หรือไม่ เห็นแล้วอุจาดตา'
คนที่ถล่มภูเขาได้ด้วยมือเปล่าอย่างโจวหมิง มาทำตัวราวกับเป็นสตรีตัวเล็กตัวน้อยเช่นนี้ น่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย
'เจ้าก็เลิกกดดันแบบนั้นสักที ข้าหวั่นๆอย่างไรก็ไม่รู้'
โดยปกติแล้วไม่มีทางที่โจวหมิงจะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มากกว่ามาจากหวังซิ่นเจียได้ เพราะโจวหมิงมีระดับพลังที่สูงกว่า แต่หลังจากพิธีกรรมประหลาดนั่น ทำให้โจวหมิงรู้สึกเหมือนกับตนเองอ่อนแรงลงอย่างไรก็ไม่รู้
'ระดับพลัง...'
หรือว่า...
'ไปที่หอคัมภีร์'
โจวหมิงไม่เข้าใจเรื่องที่หวังซิ่นเจียต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก จึงทำหน้างุนงง แต่หวังซิ่นเจียนั้นไม่ได้ตอบอะไร หิ้วคอสหายเจ้าปัญหาขึ้นมาแล้วตรงไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอย่างเร่งด่วน
เนื่องด้วยสถานะของหวังซิ่นเจียนั้น การผ่านเข้าหอคัมภีร์เป็นเรื่องง่ายๆ ดังนั้นจึงผ่านบรรณารักษ์มาได้โดยไม่ติดขัด
เมื่อพาคนมาถึงชั้นของคัมภีร์ต้องห้ามของสำนักแล้วก็ให้โจวหมิงนำทางไปยังสถานที่ที่พบกับคัมภีร์เล่มนั้น
'นำไป'
'พูดดีๆก็ได้นี่'
'ข้าไม่ฆ่าเจ้าตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่ามาทำหัวหมอต่อรอง เดินไป'
หวังซิ่นเจียทำหน้ายักษ์ราวกับจะชักกระบี่ออกมาปาดคอกันจริงๆ โจวหมิงจึงได้เดินนำไปยังที่ที่พบกับคัมภีร์เล่มนั้นแต่โดยดี
หอคัมภีร์ของสำนักเจี๋ยเอินนั้นแบ่งลำดับขั้นคล้ายกับสำนักทั่วๆไป เพียงแต่ว่าไม่ว่าศาสตร์ชั้นสูง ชั้นกลาง หรือชั้นต่ำนั้น จะแยกเป็นหมวดหมู่ตามวิธีการใช้ เช่นคัมภีร์เคล็ดวิชาฝ่ามือทั้งสามระดับจะอยู่รวมกัน
แต่หากระดับยังไม่ถึงจะไม่สามารถศึกษาคัมภีร์เล่มนั้นๆได้
คัมภีร์ที่เป็นคัมภีร์สำหรับเคล็ดวิชาระดับล่าง จะมีปกสีเขียวแก่ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถหยิบออกมาฝึกฝนได้
หากเป็นคัมภีร์เคล็ดวิชาระดับกลาง จะเป็นเล่มสีน้ำเงิน เงื่อนไขของการศึกษาคัมภีร์นี้ จะต้องเป็นศิษย์ในเสียก่อนจึงจะสามารถศึกษาได้ และคัมภีร์เคล็ดวิชาระดับสูงมีสองเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา เงื่อนไขแรกจะต้องเป็นศิษย์หลักของเจ้ายอดเขาคนใดคนหนึ่ง และอีกหนึ่งเงื่อนไขคือเป็นศิษย์ในที่มีระดับตามที่คัมภีร์กำหนด
และหากมีการลักลอบศึกษาคัมภีร์ข้ามขั้นจะต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นทุกคนในสำนักจึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
และระดับคัมภีร์ที่สูงกว่านั้น จะถูกเก็บไว้ในชั้นที่มีบรรณารักษ์คอยดูแล จะมีเพียงศิษย์ผู้สืบทอด และระดับเจ้ายอดเขาเท่านั้นที่จะเข้าออกชั้นนี้ได้
โดยมีคัมภีร์ระดับดารา และคัมภีร์ระดับเซียนอยู่รวมกันแล้วถึงสามชั้น
ไม่ได้หมายความว่าสำนักเจี๋ยเอินนั้นได้ครอบครองคัมภีร์ระดับสูงเป็นจำนวนมาก นับๆแล้วทั้งสามชั้นนี้มีคัมภีร์ไม่ถึงห้าสิบเล่มด้วยซ้ำ
แต่เป็นเพราะคัมภีร์แต่ละเล่มนั้นมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงต้องจัดที่ให้อยู่อย่างโอ่อ่าเสียหน่อยเพื่อไม่ให้คัมภีร์เหล่านั้นหายสาปสูญไป...
ใช่ คัมภีร์ที่มีจิตวิญญาณนั้นสามารถหายสาปสูญไปได้ หากไม่พอใจที่จะอยู่ ดังนั้นสำนักเจี๋ยเอินจึงต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี
โดยส่วนใหญ่จะเป็นคัมภีร์ปกสีเลือดหมูที่อยู่ในระดับดารา และสำนักเจี๋ยเอินนั้นมีคัมภีร์ระดับเซียนอยู่เพียงแค่ห้าเล่มเท่านั้น
และคัมภีร์เจ้าปัญหาก็ล้วนเป็นคัมภีร์ระดับเซียนด้วยกันทั้งคู่...
อีกทั้งคนก่อเรื่องยังมาจากยอดเขาที่สองทั้งคู่อีกต่างหาก
'ข้าได้มาจากที่นี่'
โจวหมิงหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้นั้นเก่ากึกแถมยังมีกลิ่นไม้ชื้นๆดูแล้วไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก ที่บานประตูลงสลักอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังมีตรวนเส้นใหญ่ขึงเอาไว้กับพื้นสองเส้น
หวังซิ่นเจียหันมองสหายของตนอย่างปลงตก อะไรที่ดลใจให้โจวหมิงเปิดประตูห้องนี้กัน...
'เปิดสิ'
โจวหมิงพยักหน้า ประตูห้องสำหรับคัมภีร์ระดับดาราและระดับเซียน จะจดจำรูปแบบพลังของเจ้ายอดเขาทั้งหมด และจะปลดล็อกก็ต่อเมื่อพลังนั้นตรงกับที่บันทึกเอาไว้
และครั้งนี้...
'เปิดไม่ได้...'
โจวหมิงงุนงงเล็กน้อย หันไปมองหวังซิ่นเจียที่ยื่นอยู่ข้างกัน
'ตอนมาลักลอบเอาไปก็เปิดได้ เหตุใดตอนนี้จึงเปิดไม่ได้'
หวังซิ่นเจียคิดว่าโจวหมิงเล่นแง่ไม่ยอมเปิดประตูโดยง่าย แต่หลังจากนั้นไม่ว่าโจวหมิงจะพยายามเปิดประตูมากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล
ประตูไม้ด้านหน้าไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย...
ในใจของหวังซิ่นเจียนึกถึงข้อสันนิษฐานที่ติดค้างอยู่ในความคิด ตามที่คัมภีร์เล่มนั้นกล่าวเอาไว้ว่าการที่จะประกอบพิธีกรรมตามในคัมภีร์ จะต้องแลกกับระดับพลังของผู้ประกอบพิธี
หรือว่าที่จริงพิธีนั่นจะสำเร็จไปแล้ว...
ดังนั้นพลังของโจวหมิง...
'ข้าจะเปิดเอง'
หวังซิ่นเจียเพียงแค่ถ่ายทอดพลังออกไปเพียงเล็กน้อย ประตูบานนั้นก็ปลดสลักและเปิดออกอย่างง่ายดาย โจวหมิงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างงงๆ
'ข้าพอจะรู้บางอย่างแล้ว'
หวังซิ่นเจียเริ่มปะติดปะต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ในขณะที่ตัวต้นเหตุอย่างโจวหมิงยังดูมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
เมื่อเดินเข้ามาในห้องกลิ่นไม้ชื้นๆก็ตีจมูกฉุนกึก หวังซิ่นเจียยกมือขึ้นมาปิดจมูก ส่วนโจวหมิงเดินดิ่งเข้าไปหาคัมภีร์ที่ถูกขึงเอาไว้กลางห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาบอกสหายอย่างตื่นตระหนก
'เหตุใดมันจึงมาอยู่ที่นี่'
'เจ้าเดาไม่ออกเลยหรือ'
หวังซิ่นเจียเองก็บังเอิญเข้าใจได้จากที่คิดว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปจะเลิกคบเจ้าตัวปัญหานี่เป็นสหายเสียเพื่อความสงบสุขของชีวิตตนเอง
แม้ว่าจะไม่ได้กลับไปไกลถึงขนาดนั้น แต่นี้ต้องเป็นการย้อนเวลาอย่างแน่นอน
ไม่ใช่การชุบชีวิต ไม่ใช่การเรียกคืนวิญญาณของคนตาย
แต่เป็นการย้อนเวลา
ความปราถนาในการย้อนเวลาของโจวหมิงคือจ้าวเซินฝู โดยแลกกันกับระดับพลังของโจวหมิง ในตอนนี้โจวหมิงอาจจะมีระดับพลังที่ต่ำกว่าศิษย์หลักบางคนเสียอีก
คัมภีร์เจ้าปัญหาถูกล่ามตรวนเอาไว้เช่นเดียวกันกับประตูด้านหน้า ดูเหมือนว่าคัมภีร์นี้จะถูกรักษาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่รู้ว่าเจ้าตัวปัญหาด้านข้างนี่ใช้วิธีไหนเอาออกไป
หากตรวนหนาแน่นเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องให้เจ้าสำนักมาปลดผนึกให้
'วันที่ข้ามาเอา ไม่ได้เป็นเช่นนี้'
โจวหมิงมองคัมภีร์ในสภาพที่ประหลาดอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา
'วันนั้นมันแค่วางอยู่บนพื้นเฉยๆ...'
ดูแล้วคนคงไม่ได้โกหก แต่ปัญหาในตอนนี้คือผนึกที่แน่นหนา หากไม่ใช่พลังที่ถูกบันทึกเอาไว้เกรงว่าจะไม่สามารถนำออกมาจากผนึกได้โดยง่าย
เมื่อเป็นเช่นนั้นไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ หวังซิ่นเจียจึงได้หันมาสนใจโจวหมิงที่อยู่ข้างกันแทน
'เจ้าต้องไปกับข้า'
หวังซิ่นเจียไม่รอฟังคำตอบ หิ้วคนออกมาจากห้องเก็บคัมภีร์แล้วตรงดิ่งกลับไปยังยอดเขาที่สาม
สภาพของคนทั้งคู่ทำเอาลูกศิษย์ที่อยู่แถวนั้นตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะดูจากสภาพของเจ้ายอดเขาที่สองถูกหิ้วกลับมาเหมือนแมวหลงตัวหนึ่ง และมีเจ้ายอดเขาที่สามทำหน้าถมึงทึงเหมือนไปตามจับลูกแมวตัวแสบที่แอบไปก่อปัญหานอกจวนมา
หวังซิ่นเจียไม่ได้สนใจคนอื่นที่ทำท่าประหลาดใจ เช่นเดียวกันกับโจวหมิงที่ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในใจคิดเพียงแต่อยากให้หวังซิ่นเจียหมดธุระกับตนเองโดยเร็วเพราะต้องการไปตามหาจ้าวเซินฝูที่หายไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้
ในห้องทำงานของเจ้ายอดเขาที่สามมีหินวัดระดับพลังอยู่ เมื่อมาถึงที่หมายหวังซิ่นเจียก็รีบหยิบมันออกมาให้โจวหมิง
'วัดระดับพลัง'
'ห้ะ?'
โจวหมิงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพราะตอนนี้หวังซิ่นเจียไม่ได้มีท่าทีว่าจะล้อเล่น
โจวหมิงวางมือลงบนหินปราณสำหรับวัดระดับพลังก่อนที่จะถ่ายทอดพลังสายหนึ่งเข้าไปในหินก้อนนั้น และสิ่งที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น...
'หินเจ้าวัดระดับผิดพลาดหรือ...'
โจวหมิงนั้นอีกไม่นานก็จะบรรลุระดับราชันย์ขั้นสูงแล้ว ดังนั้นสีที่หินวัดระดับจะต้องแสดงต้องเป็นสีแดงเข้ม
'ไม่ผิดหรอก'
แต่หินในมือของโจวหมิงกลับแสดงสีเขียวเข้มออกมา...
'ยินดีด้วยโจวหมิง ตอนนี้เจ้ามีพลังระดับวายุขั้นสูง'
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ