"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้"
เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ
"แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว"
โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ
เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้
ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
หยาดน้ำตาที่คลออยู่หลั่งลงมาเป็นสายเมื่อได้ยินเรื่องจากผู้ที่ยังใช้ชีวิตอยู่หลังจากที่ตนเองหลับอย่างสุขสบายเป็นสิบปี โจวหมิงเห็นเซินฝูร้องไห้ก็คิดจะเข้ามาเช็ดน้ำตาให้ศิษย์รัก
แต่การกระทำหลังจากนั้นของเซินฝูทำเอาโจวหมิงต้องรีบเข้ามาห้ามโดยไม่รักษากริยาใดๆทั้งนั้น
ตึง!
"ศิษย์โง่เขลา สมควรตายอีกเป็นพันครั้ง"
ตึง!
"ศิษย์สมควรตาย"
ตึง!
เซินฝูโขกศีรษะลงกับพื้นดังลั่นเรือนรับรอง เพียงแค่ครั้งแรก เลือดก็ไหลอาบใบหน้าของตนเอง โจวหมิงรีบลุกมาประคองศีรษะของลูกศิษย์เอาไว้ แต่ก็ไม่ทันครั้งที่สอง และครั้งที่สามอยู่ดี ตอนนี้เลือดของจ้าวเซินฝูไหลอาบเต็มใบหน้า อีกทั้งยังหยดลงบนพื้นเรือนรับรองอีกต่างหาก
"เจ้าเด็กโง่! ทำบ้าอะไรของเจ้า!"
"ฮึก..ศะ ศิษย์โง่เขลา สมควรตาย อึก..."
"เจ้าจะตายให้ครบพันครั้งเลยหรืออย่างไร หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าอายุไขข้าคนเดียวคงไม่เพียงพอแล้ว"
โจวหมิงประคองศีรษะของเซินฝูเอาไว้เพื่อไม่ให้เด็กโง่ตรงหน้าทำร้ายตนเองได้อีก ปล่อยให้เซินฝูนั่งสะอึกสะอื้นพร่ำโทษตนเองอยู่เช่นนั้นเกือบเค่อ
เซินฝูที่หูตาแดงไปหมดตอนนี้ ดูคล้ายกับชีวิตก่อนที่ซมซานกลับมาที่ยอดเขาเพราะเจิ้งซีเพ่ยพูดจาทำร้ายน้ำใจไม่มีผิด โจวหมิงเห็นแล้วก็เกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมา
"เลิกร้องเสียที ยิ่งร้องยิ่งน่าเกลียด"
โจวหมิงเอาผ้าสะอาดเช็ดบาดแผลและเลือดบนใบหน้าของเซินฝูอย่างทะนุถนอม ก่อนจะใช้พลังรักษาบาดแผลให้อย่างเบามือ
หวังซิ่นเจียเคยกล่าวกับเซินฝูไปแล้วว่าครั้งนี้ให้ใช้ชีวิตให้ดี สมกับที่มีคนเสียสละเพื่อตนเอง ในตอนนั้นเซินฝูอาจจะไม่รู้ว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้คงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
แต่ในสายตาของหวังซิ่นเจียนั้น เรื่องที่เซินฝูย้อนกลับมาได้คงเป็นเพราะโชคช่วย ส่วนโจวหมิงก็เป็นเพียงตัวปัญหาที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเท่านั้น
แต่ภาพที่โจวหมิงคอยดูแล วุ่นวายอยู่กับศิษย์ของตนเอง ย่อมดีกว่าที่เห็นสภาพของสหายเช่นช่วงสิบปีนั้นเป็นไหนๆ
โจวหมิงที่ได้สิ่งสำคัญกลับมาแล้ว หวังซิ่นเจียหวังเป็นอย่างยิ่งว่าให้ภายภาคหน้าเซินฝูจะไม่กลับไปทำเช่นเดิมอีก ไม่เช่นนั้นสิ่งที่โจวหมิงทำลงไปก็เรียกว่าเสียเปล่าแล้ว
"เจ้ากลับมาก็พอแล้ว ไม่ต้องรื้อฟื้นความหลังให้วุ่นวายหรอก"
โจวหมิงจับใบหน้าของศิษย์รักอย่างอ่อนโยน สายตาที่ใช้มองเซินฝูราวกับจ้องมองบุตรในไส้ หวังซิ่นเจียมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ ในที่สุดเรื่องราวน่าปวดหัวนี่ก็จบลงเสียที
เซินฝูได้กลับมาอยู่ที่สำนักและได้เริ่มต้นใหม่อย่างไร้มลทิน เจ้าตัวยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าในอนาคตจะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบครั้งก่อนอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะได้ไร้สาระกันไปมากกว่านี้ หวังซิ่นเจียก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องต่อไปทันที
"เรื่องที่พวกเจ้าได้ขึ้นมาอยู่ที่ยอดเขา มีคนไม่ชอบใจเยอะพอสมควร รู้หรือไม่"
"ขอรับ"
"เรื่องนั้นเป็นเพราะอาจารย์ของเจ้าไม่ยอมให้เจ้าอยู่ที่หอรวม ในอนาคตจะต้องมีคนมากมายคอยเขม่นอย่างแน่นอน รวมถึงบ่าวทั้งสองคนของเจ้าด้วย"
เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว พวกศิษย์นอก ศิษย์ใน และศิษย์หลักหลายคนที่เข้าสำนักก่อนจะไม่พอใจที่กลุ่มของเซินฝูเมื่อเข้าสำนัก็ได้ขึ้นมาอยู่ที่ยอดเขา คล้ายกับเป็นศิษย์หลักไปกลายๆ
หากอยู่แค่เฉพาะที่ยอดเขาคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก ยอดเขาที่สองราวกับยอดเขาร้าง มีเพียงศิษย์กับอาจารย์สองคน หากรวมบ่าวรับใช้ก็มีเพียงหกคนไม่เกินนี้
ยอดเขาที่สามเอง เหล่าศิษย์หลักก็รู้จักเจ้าเด็กสองคนนั้นเป็นอย่างดีเพราะช่วงที่ต้องไปอยู่แคว้นจินเหล่าลูกศิษย์จะต้องคอยไปรายงานสถานการณ์อยู่เรื่อยๆ ทำให้รู้จักกับเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อเป็นอย่างดี อีกทั้งไม่ได้ตะขิดตะขวงใจที่หวังซิ่นเจียรับเด็กทั้งคู่เป็นศิษย์ด้วย
แต่หากออกไปเผชิญหน้ากับคนอื่นๆในสำนักย่อมต่างกัน หลายคนไม่รู้ว่ากลุ่มของเซินฝูนั้นเป็นอย่างไร เรื่องราวในอดีตตอนนี้ก็รู้กันอยู่แค่สามคนในสำนัก อีกไม่นานจะต้องมีการร้องเรียนอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมีการร้องเรียนจากผู้อาวุโสฉีคนหนึ่ง
"ทำตัวให้ดีเล่า"
"ขอรับคุณชายหวัง"
"ผู้อาวุโสหวัง"
หวังซิ่นเจียช่วยแก้คำ เซินฝูนั่งนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะพูดตามนั้น
"ขอรับผู้อาวุโสหวัง"
ก่อนหน้านี้อยู่ที่แคว้นจินไม่ได้ต้องการเปิดเผยฐานะ หากเรียกคุณชายหวังก็ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสำนักแล้ว การเรียกว่าคุณชายหวังอาจเป็นการแสดงความสนิทสนมในสายตาของคนอื่น ดังนั้นจึงต้องเรียกให้เหมาะสม
"เคร่งเป็นคนแก่ไปได้"
โจวหมิงแอบบ่นอุบอิบ หวังซิ่นเจียมองค้อนใส่
"เดี๋ยวจะพาเด็กสองคนนั่นขึ้นมาหา เห็นบ่นถึงเจ้าตั้งแต่เมื่อวาน"
เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อเมื่อแยกจากคุณชายแล้วแม้จะไม่ได้เศร้าสร้อยอะไร แต่ก็ถามหาไม่หยุด หากขึ้นมาเมื่อวานคงได้มีสงครามขนาดย่อมเมื่อเห็นว่าคุณชายของตนเองถูกมัดเอาไว้กับเสา
หากเป็นเช่นนั้นแล้วยอดเขาที่สองคงวุ่นวายกันน่าดู
"เด็กสองคนที่เจ้ารับเป็นศิษย์น่ะหรือ"
หวังซิ่นเจียพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร โจวหมิงแม้จะปิดด่านฝึกตัวอยู่นาน แต่ก็ได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้หวังซิ่นเจียรับศิษย์นอกสำนักอยู่เหมือนกัน
"เจ้าไม่เคยรับศิษย์นอกสำนักนี่"
แน่นอนว่าสำนักเจี๋ยเอินที่ไม่ได้อยู่ในรูปในรอย หรือปฏิบัติตามครรลองเท่าไหร่นัก แต่ว่าหวังซิ่นเจียนั้น เรียกว่าทิฐิสูงเสียดเมฆ ไอ้การจะรับศิษย์นอกสำนักแทบจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะเด็กเหล่านั้นเป็นทาส ไม่มีหัวนอนปลายเท้ายิ่งแล้วใหญ่
"ถามศิษย์รักเจ้าดูเสียสิ จะมามองหน้าข้าทำไม"
เรียกได้ว่าความแค้นที่ถูกเซินฝูหลอกลวงในครั้งก่อนยังติดตรึงเป็นแผลที่ไม่สามารถลบเลือนได้ในใจของหวังซิ่นเจีย
เซินฝูเพียงยิ้มๆ ก้มหน้าเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร
"เป็นเพราะเจ้าประมาทเลินเล่อแน่นอน เซินฝูของข้า เป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่ทันคน..."
"มีอาจารย์เช่นเจ้า เซินฝูจะเป็นคนไร้เดียงสาไม่ทันคนไปได้อย่างไร เช่นนั้นพรุ่งน้ำน้ำคงท่วมเจี๋ยเอินแล้ว"
หวังซิ่นเจียกัดฟันพูดด้วยความคับแค้นใจ เดิมทีคิดว่าหลังจากช่วยเหลือเซินฝูออกจากจวนตระกูลจ้าวได้สำเร็จแล้ว เซินฝูก็คงจะกลับสำนักทันที เรื่องเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อนั้น หวังซิ่นเจียสามารถพาเข้าสำนักได้ในฐานะคนรับใช้ของตัวเองได้
แต่ไม่นึกว่าเซินฝูจะรั้งรออยู่ภายนอกถึงสองปี หวังซิ่นเจียคิดจะหนีปัญหาโดยการกลับสำนัก กลับโดนลูกไม้ตื้นๆของเซินฝูเล่นงานเอาเสียอย่างนั้น
ถึงจะรู้จักกับเซินฝูมาก่อนแล้ว แต่ในชาติก่อนนั้นรู้จักกันในฐานะของลูกศิษย์คนโปรดของสหาย ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกัน อีกทั้งระยะเวลาที่เซินฝูได้จากไปยังยาวนานนับสิบปี ไม่แปลกที่เรื่องราวของคนตายจะถูกลืมไปบ้าง
แน่นอนว่าอย่างแรกที่หวังซิ่นเจียหลงลืมไปก็คือความสามารถของเซินฝู...
ลืมไปแล้วว่าเจ้าตัวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักได้ตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร เพราะแบบนั้นจึงได้หลงกล
ทุกวันนี้ยามมองหน้าเซินฝู ยังรู้สึกคับแค้นอยู่เล็กน้อย...
"นั่นเป็นเพราะเจ้าชอบรับคำส่งๆต่างหากเล่า กี่คราแล้วที่เสียทีเพราะเรื่องแบบนั้น"
แน่นอนว่าโจวหมิงกางปีกปกป้องลูกศิษย์คนโปรดเต็มที่
"เหอะ น่ารำคาญ.."
ท่าทางที่แสดงออกว่าปกป้องลูกศิษย์ของตัวเอง รวมถึงไอ้การแสดงออกราวกับพ่อแก้ตัวแทนให้ลูกของโจวหมิงนั้น ทำเอาอยากจะเอาน้ำแกงยายเมิ่งมาล้างลูกตา
หวังซิ่นเจียหมดอารมณ์สุนทรีดื่มชาอยู่ที่ยอดเขาที่สองแล้ว หลังจากนี้เซินฝูก็คงจะโดนโจวหมิงฝึกหนักเพื่อรื้อฟื้นวิชา อยู่ไปก็รังจะเดือดร้อนชี้แนะลูกศิษย์ของสหายไปด้วย
"อีกเดี๋ยวอาเมิ่งกับอาเล่อจะขึ้นมา อย่างไรก็ปลดเขตแดนให้พวกเขาหน่อย"
โจวหมิงสะบัดมือรับส่งๆ หันกลับไปดูลูกศิษย์คนโปรดที่นั่งลูบหัวป้อยๆ ไม่สนใจหวังซิ่นเจียที่กำลังเอ่ยลาทำหน้ามุ่ย
หวังซิ่นเจียทำหน้าเบื่อหน่ายรีบออกจากเรือนรับรองไม่สนใจทั้งคู่อีกต่อไป
เมื่อหวังซิ่นเจียจากไปแล้ว สองอาจารย์ศิษย์จึงได้นั่งคุยกันอย่างจริงจังเสียที แน่นอนว่าเรื่องคววามผิดของเซินฝูนั้น คุยกันจบไปแล้ว หลังจากนี้เป็นเรื่องที่เซินฝูจะต้องใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่สำนักเจี๋ยเอินต่างหาก
"สำหรับข้าแล้ว มีเรื่องที่น่าห่วงอยู่สองสามเรื่อง"
เซินฝูตั้งใจฟังโจวหมิงพูดถึงปัญหาที่ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกกังวล หากเป็นเรื่องที่โจวหมิงกังวล ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ
"เรื่องแรกที่พวกเจ้าได้เข้ามาเป็นศิษย์ในก่อนใครเพื่อน เรื่องนั้นเจ้าต้องทำตนให้เหมาะสมกับตำแหน่ง มีหลายคนที่คอยจับตามองอยู่"
"ขอรับ"
"โดยเฉพาะเจ้ายอดเขาที่แปดอย่างฉีหวง"
โจวหมิงทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดชื่อที่เป็นดังชื่อต้องห้ามอีกชื่อออกมา
"แล้วก็เจ้ายอดเขาที่แปด รับศิษย์คนหนึ่งเข้ามาก่อนเจ้า มาจากแคว้นจินเช่นเดียวกัน เจ้าน่าจะรู้จักดี 'หูอี้หนิง' น่ะ"
เซินฝูชะงักไปครู่หนึ่ง ที่ไม่เจอกับคนๆนั้นเป็นเพราะว่าเขาเข้าสำนักเจี๋ยเอินก่อนที่เซินฝูจะออกจากด่านฝึกตน เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้เห็น
"อย่างไรก็เลี่ยงยอดเขาที่แปดหน่อยก็แล้วกัน"
โจวหมิงยกชาขึ้นจิบ เหลือบมองเซินฝูว่ากำลังทำหน้าแบบใดอยู่
'หูอี้หนิง' เป็นอีกคนที่มีหนี้แค้นกับเซินฝู ในยามนั้นแตกสลายเกินกว่าจะจับกระบี่ฟาดฟันเพื่อแก้แค้น แต่หากยามนี้ยังเป็นเช่นเดิม เกรงว่าจะลำบากไม่น้อย
ถือว่าโชคเข้าข้างที่ตอนนี้ เซินฝูไม่ได้ทำหน้าเศร้าสลดด้วยความเสียใจ แต่เป็นใบหน้านิ่งเรียบ แววตาฉายชัดถึงความรังเกียจและเคียดแค้น
โจวหมิงรู้ซึ้งถึงนิสัยของศิษย์ตนเองดี หากมีท่าทีเช่นนี้คงไม่น่าเป็นห่วง
"เรื่องสุดท้าย อีกสามเดือนจะมีการประลองในสำนัก"
เช่นเดียวกับชีวิตก่อน หลังจากที่เซินฝูได้รับเลือกโดยโจวหมิงจากสนามทดสอบที่แคว้นจินแล้ว การประลองภายใน เป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ เพราะการประลองนั้น ทำให้เซินฝูได้เข้ารับการอบรมกับโจวหมิงในฐานะศิษย์ใน
"แค่วางตัวให้ดีมันยังไม่พอ เจ้าต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ามีความสามารถมากพอกับตำแหน่งศิษย์ใน"
ระยะเวลาสามเดือนไม่ได้ยาวนานเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าสั้นเกิดไปด้วยซ้ำหากจะเป็นฝึกฝนจากหนึงไปถึงร้อย
แต่เรื่องง่ายคือทั้งเซินฝู หรือเสี่ยวเมิ่ง และเสี่ยวเล่อนั้น ข้ามไปถึงร้อยตั้งนานแล้ว
"หากผ่านไปได้ด้วยดี ข้าและหวังซิ่นเจียจะรับพวกเจ้าเข้าเป็นศิษย์ใน"
"ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง"
โจวหมิงเองก็รู้ดีว่าหากวันกันแล้ว ในบรรดาศิษย์นอก และศิษย์ในที่สำนักเจี๋ยเอินนั้น คงจะมีน้อยคนที่สามารถต่อกรกับเด็กทั้งสามคนนี้ได้อย่างสูสี
"เรื่องกระบี่ เจ้าจะทำอย่างไร ให้ข้าช่วยหาหรือไม่?"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ แต่ว่าข้ามีสิ่งที่หมายตาเอาไว้แล้ว"
โจวหมิงพยักหน้าอย่างขอไปที จบเรื่องก็ไล่ให้เซินฝูไปที่อื่นเพราะอยากจะเอนหลังชมนกชมไม้ เซินฝูรับคำอย่างนอบน้อม จากไปอย่างเงียบๆโดยมีโจวหมิงทอดสายตามองตาศิษย์รักของตนจนลับสายตา
"เป็นเช่นนี้ดีแล้ว อย่าเปลี่ยนไปเล่า"
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ