โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก
ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน
ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก
หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย
แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว
เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ
ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง...
'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเองนะ'
อย่างที่กล่าวไป โจวหมิงไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้โดยง่าย เจ้ายอดเขาทั้งสิบเอ็ดต่างไม่กล้าแหยม ดังนั้นผู้ใดต้องการตัว ก็ไปลากคนลงจากยอดเขาเองเถอะ หลิ่วป๋ายซื่อจะไม่เอ่ยห้าม อีกทั้งจะพาไปส่งยังยอดเขาที่สองอีกด้วย
แม้ว่าการที่กล่าวเช่นนั้นจะดูเหมือนเป็นการปัดปัญหาให้ห่างตน...
ถูกต้องแล้ว นี่เป็นการปัดปัญหาให้คนอื่นจัดการเสีย หากมีคนที่แข็งแกร่งกว่าคอยห้ามปรามก็คงจะดีไม่น้อย
ในคราวนี้ ราชวงศ์เจิ้งได้ถึงคราวล่มสลาย หลังจากที่เจ้ายอดเขาที่เหลือพากันยกทัพกลับสำนักแล้วก็ได้ข่าวแว่วมาว่า แคว้นจินนั้นเกิดสงครามภายในราชวงศ์ สุดท้ายแล้ว สายเลือดตระกูลเจิ้งถูกฆ่าล้างจนเหี้ยน ไม่เว้นกระทั่งลูกเล็กเด็กแดงจากสนมต่ำศักดิ์
บรรดาสนม องค์ชาย องค์หญิง หรือข้าราชบริพารที่ภักดีต่อราชวงศ์เจิ้งถูกกำจัดสิ้น ดังนั้นแคว้นจินจึงถึงคราวเถลิงรัชศกใหม่ ปกครองโดยราชวงศ์ใหม่ ปิดฉากสุนัขแซ่เจิ้งที่โจวหมิงเกลียดชั้งนักหนา
ตระกูลจ้าวเองก็อ่อนแอลง เพราะไม่ม่ราชวงศ์เจิ้งคอยหนุนหลังอย่างเก่าก่อน และเมื่อราชวงศ์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ ตระกูลจ้าวก็ไม่มีสิ่งใดมีค่ามากพอจะไปต่อรอง
เรื่องสมาคมการค้าที่ได้ทำเอาไว้ก็ไม่มีผลต่อพ่อค้ารายเล็ก รายใหญ่คนอื่นๆอีกต่อไป
สิ่งที่จ้าวจวิ้นซานเคยไปข่มเหงผู้อื่นเอาไว้นั้น บัดนี้โดนเอาคืนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
จ้าวจวิ้นซานที่วิตกเรื่องที่เสียแขนไปข้างหนึ่งยังไม่ทันได้พักให้จิตใจเป็นปกติก็มีเรื่องให้เครียดไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อถึงที่สุดแล้ว ตระกูลจ้าวจึงได้ถูกเปลี่ยนมือ
จ้าวเซินฉี ได้ถูกเหล่าผู้อาวุโสเลือกให้ขึ้นเป็นประมุขตระกูลจ้าวทันทีเมื่อเห็นว่าจ้าวจวิ้นซานไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำตระกูลที่ดีอีกต่อไป
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับการยินยอมจากจ้าวจวิ้นซานก็ตาม แต่ในตอนนี้จ้าวจวิ้นซานเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่พิการ อีกทั้งที่ผ่านมายังเกือบจะทำตระกูลล่มจม ผู้อาวุโสต่างก็ไม่ไว้วางใจที่จะวางชะตากรรมของตระกูลจ้าวเอาไว้ในมือของจ้าววิ้นซานอีก
จ้าวจวิ้นซานเครียดเรื่องที่ตนเองถูกปลดจากตำแหน่งไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่ต่างกันกับติงมี่เซียนที่พยายามยื้อทุกวิถีทางเพื่อรักษาตำแหน่งของสามีเอาไว้
แต่ผู้คนต่างก็รู้ดีว่าที่ติงมี่เซียนพยายามถึงขนาดนั้นไม่ใช่เพราะฐานะของจ้าวจวิ้นซาน แต่เป็นตำแหน่งว่าที่ประมุขของจ้าวซินเหอบุตรชายของนางต่างหาก แน่นอนว่าความพยายามของนางไม่เป็นผล
ติงมี่เซียนยังคงเป็นสะใภ้ที่ผู้อาวุโสตระกูลจ้าวชังน้ำหน้าอยู่เช่นเดิม
หลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลง สองปีให้หลังจ้าวจวิ้นซานก็ตรอมใจและได้จากโลกนี้ไปเช่นกัน เมื่อไร้ซึ่งผู้คุ้มกะลาหัวแล้ว เหล่าฮูหยินของจ้าวจวิ้นซานต้องพากันย้ายออกไปอยู่จวนแยกที่ไม่ใหญ่โตนักที่จ้าวเซินฉีจัดเตรียมเอาไว้ให้
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่อย่างยากลำบาก แต่การที่คนตระกูลหลักพลิกผันมาเป็นคนตระกูลรอง อีกทั้งยังถูกขับไล่ออกจากจวนตระกูลหลักนั้น สร้างความอับอายให้ติงมี่เซียนไม่น้อย
ยังดีที่จ้าวซินเหอนั้นเติบโตมาได้ดีกว่าที่คาดมากนัก ดังนั้นเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัวจึงทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องอะไร หนำซ้ำยังกินดีอยู่ดีไม่ต่างจากตอนที่จ้าวจวิ้นซานเป็นประมุขตระกูล
หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องตระกูลจ้าวอีก นอกจากจะเป็นนิทานโศกนาฏกรรมที่เอาไว้เล่าขานกันในโรงน้ำชา โรงเล่านิทาน และโรงงิ้วเท่านั้น
คนตระกูลจ้าวช่างเป็นความบันเทิงของผู้คนไม่เสื่อมคลายจริงๆ
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่โจวหมิงอาละวาดจนเกือบจะลบเมืองหลวงแคว้นจินออกจากแผนที่ เหล่าผู้อาวุโสทั้งเก่าใหม่ต่างมีมติเดียวกันคือริบคืนตำแหน่งผู้อาวุโส และตำแหน่งเจ้ายอดเขา
โจวหมิงไม่ได้ตอบโต้อะไร ยอมรับบทลงโทษนั้นแต่โดยดี
หลังจากที่ถูกริบคืนตำแหน่งแล้วจึงได้ย้ายลงมาอยู่ยอดเขาที่สามกับหวังซิ่นเจีย โจวหมิงนั้นหลังจากเหลือแต่ตัวก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรนอกจากสร้างเรื่องปวดหัวให้หวังซิ่นเจียไปวันๆ
แม้ว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้วโจวหมิงจะทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ลึกๆแล้วผู้ใดจะรู้ดีเท่าเจ้าตัว ทุกๆวันโจวหมิงเอาแต่หมกมุ่นหาวิธีที่จะพาจ้าวเซินฝูกลับมา
หวังซิ่นเจียนั้นหวาดกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งโจวหมิงจะหันเข้าหาศาสตร์มาร
แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น หวังซิ่นเจียแทบจะสักการะเจ้าสวรรค์วันละสามรอบ
ร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีที่ยอดเขาที่สาม โดยมีโจวหมิงคอยเข้าไปดูแลสลับกันกับพ่อบ้านหยาง
หลังจากจบเรื่องแล้ว พ่อบ้านหยางก็ขอติดตามหวังซิ่นเจียมายังสำนักเจี๋ยเอินด้วย หวังซิ่นเจียเองก็ไม่ได้ขัดอะไร คิดว่าดีเสียอีกจะได้มีคนแบ่งเบาภาระ หากต้องเผชิญหน้ากับเรื่องน่าปวดหัวที่โจวหมิงสร้างไม่เว้นวันอยู่เพียงผู้เดียวคงได้อายุสั้น
พ่อบ้านหยางเองก็ชื่นชอบการเข้าไปพร่ำเพ้อพรรณาอยู่กับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูเช่นเดียวกันกับโจวหมิง
เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่คนในยอดเขาที่สามคุ้นชินไปแล้ว สิ่งนี้ราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันของอดีตผู้อาวุโสโจวและพ่อบ้านตาบอดคนนั้น
กระทั่งคราวนี้โจวหมิงได้สร้างเรื่องน่าปวดหัวอย่างถึงที่สุดขึ้นมา...
ไม่รู้ว่าโจวหมิงใช่เล่ห์กลอะไรจึงไปได้หนึ่งในคัมภีร์ต้องห้ามของสำนักมาไว้ในมือ วันที่หวังซิ่นเจียเห็นโจวหมิงเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่สว่างสไวกว่าทุกครั้ง ในคราวแรกนึกโล่งใจไม่น้อย คิดว่าสหายของตนคงจะทำใจได้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่โจวหมิงพูดต่อจากนั้น ก็ราวกับว่ารอยยิ้มเมื่อครู่เป็นรอยยิ้มของมัจจุราชอย่างไรอย่างนั้น
โจวหมิงกล่าวว่ามีวิธีที่จะพาจ้าวเซินฝูกลับมาได้แล้ว ด้วยสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ต้องห้ามเล่มนี้
เงื่อนไขของการประกอบพิธีคืออายุขัยและระดับพลัง
'ไม่ได้เด็ดขาด!!'
หวังซิ่นเจียตอบแบบไม่ต้องคิดเมื่อเห็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่โจวหมิงต้องเสียไป
ในตอนนี้โจวหมิงมีระดับพลังที่สูงส่งไม่น้อยก็จริง แต่เงื่อนไขที่ว่าต้องแลกเปลี่ยนครึ่งหนึ่งของระดับพลังที่สั่งสมมาเป็นสิบๆปี เรื่องนั้นหวังซิ่นเจียไม่อาจยอมได้ ไหนจะเรื่องอายุขัยอีก
'ข้าฝึกฝนใหม่ได้...'
'เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยวางเสียที คนตายไปแล้วจะพากลับมาให้ได้อะไร!!'
กว่าจะได้ระดับพลังกลับมาเท่าเดิมต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี แล้วอายุขัยที่ต้องแลกมันเท่าไหร่กัน เกรงว่าโจวหมิงจะไม่สามารถฝึกฝนจนระดับพลังกลับมาเท่าเดิมได้ก่อนจะตายด้วยซ้ำ
หวังซิ่นเจียจำได้เป็นอย่างดีว่าตนเองค้านสุดใจในตอนที่โจวหมิงกล่าวว่าจะพาจ้าวเซินฝูกลับมา และในวันนั้นโจวหมิงจึงได้ยอมล่าถอยเรื่องนี้ไป
เสียเมื่อไหร่ล่ะ...
หวังซิ่นเจียมารับรู้อีกทีก็ตอนที่รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ บรรยากาศรอบด้านแปลกไป ภาพที่มองเห็นราวกับเป็นการบิดเบี้ยวของม่านมิติจากค่ายกล
ทันใดนั้นหวังซิ่นเจียก็นึกสังหรณ์ใจเกี่ยวกับเรื่องที่โจวหมิงกล่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน หวังซิ่นเจียรีบไปที่ห้องเก็บรักษาร่างของจ้าวเซินฝูทันที
ไม่ผิดไปจากที่คิดนัก ในห้องนั้นมีโจวหมิงและพ่อบ้านหยางอยู่ด้วยกัน โดยที่พ่อบ้านหยางยืนห่างออกมาหน่อย หวังซิ่นเจียเข้ามาเห็นในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังจะเสร็จสิ้น
โจวหมิงเมื่อเห็นสหายพุ่งพรวดเข้ามาก็เร่งให้พิธีนี้จบลงโดยเร็ว
'เจ้าลูกเต่าโจว!!!'
ว่าแต่ผู้อื่นเป็นสุนัข ที่แท้ลูกเต่าแซ่โจวก็สร้างปัญหาเก่งไม่แพ้ใคร
หวังซิ่นเจียจับแขนโจวหมิงเอาไว้แน่นในวินาทีสุดท้าย แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว...
พิธีกรรมนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทันใดภาพรอบด้านก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งพ่อบ้านหยางหายไป ร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหายไป โจวหมิงตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นคิดว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
กระทั่งภาพที่น่าเวียนหัวนั่นจบลง โจวหมิงทรุดลงอย่างหมดแรง หวังซิ่นเจียหงุดหงิดเสียจนอยากจะลงไม้ลงมือกับสหายตรงหน้าเสียหน่อย
'ซะ..เซินฝู เซินฝูเล่า?'
โจวหมิงแม้จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงแต่ก็ถามหาลูกศิษย์ของตนเป็นอย่างแรก
ทั้งโจวหมิงและหวังซิ่นเจียเห็นภาพร่างไร้วิญญาณของจ้าวเวินฝูค่อยๆสลายไปกับตา โจวหมิงหันซ้ายหันขวาคล้ายจะเสียสติ
เมื่อลุกขึ้นยืนได้ก็รีบวิ่งออกไปด้านนอก หวังจะออกตามหาร่างของจ้าวเซินฝู แต่ก่อนจะได้ไปไหนไกลก็ปะทะเข้ากับคนคนหนึ่งเสียก่อน
'มาอยู่นี่เองโจวหมิง'
'หลีกไป...'
เมื่อเห็นหลิ่วป๋ายซื่ออยู่ตรงหน้า โจวหมิงก็สั่งให้คนหลบไปทันที หลังจากวันที่โจวหมิงก่อเรื่องที่แคว้นจิน โจวหมิงก็ไม่ได้เจอศิษย์พี่คนนี้อีกเลย ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอะไรต้องคุยกัน ที่สำคัญตอนนี้โจวหมิงเองยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า
'รีบไปไหนของเจ้า'
หลิ่วป๋ายซื่อไม่หลบหลีกตามที่โจวหมิงบอก อีกทั้งยังจับคนเอาไว้แน่น
โจวหมิงไม่มีเวลาจะสนทนากับหลิ่วป๋ายซื่อเบี่ยงตัวออกเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่เพียงแค่เบี่ยงตัวเล็กน้อยก็ต้องร้องโอดโอยออกมา เพราะรู้สึกถึงแรงจับของหลิ่วป๋ายซื่อที่มากผิดปกติ
'โอ๊ย!'
'เจ็บหรือ ข้าขอโทษ'
'จะฆ่าข้าหรือย่างไร!'
หลิ่วป๋ายซื่อทำหน้างุงนงง ไม่นานหวังซิ่นเจียก็ตามออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนกเมื่อเห็นตัวต้นเรื่องก็หมายจะเข้ามาต่อว่าสักเล็กน้อย
ภาพเมื่อครู่ทำเอาหวังซิ่นเจียถึงกับขนหัวลุก ไม่เพียงแต่ร่างของจ้าวเซินฝูที่สลายไปต่อหน้าต่อตา แม้กระทั่งพ่อบ้านหยางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันยังค่อยๆสลายไปด้วย
สิ่งที่โจวหมิงทำลงไปคืออะไรกันแน่
'ตะ แต่ข้าไม่ได้จับเจ้าแรงเลยนะ...'
โจวหมิงขืนตัวออก คราวนี้เป็นเพราะเมื่อครู่โจวหมิงแสดงออกว่าเจ็บปวด ดังนั้นหลิ่วป๋ายซื่อจึงปล่อยตัวคนไปง่ายๆ
'ข้าจะไปตามหาจ้าวเซินฝู'
พูดจบก็ไม่รอฟังอะไรรีบวิ่งออกไปไม่เหลียวหลัง อีกทั้งไม่รักษาท่าทีอย่างที่ควรจะเป็น หวังซิ่นเจียเห็นว่าตัวปัญหานั้นวิ่งเตลิดออกไปคนเดียวก็คิดจะไปลากคนกลับมาคุยให้รู้เรื่อง
'ขออภัยท่านเจ้าสำนัก แต่ตอนนี้พวกข้าคงไม่สะดวกสนทนาด้วย'
หวังซิ่นเจียคิดจะวิ่งตามโจวหมิงไป แต่หลิ่วป๋ายซื่อคว้าคนเอาไว้ได้ก่อน
'เดี๋ยวก่อน...'
หวังซิ่นเจียมุ่นคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ เดิมทีก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับเจ้าสำนักอย่างหลิ่วป๋ายซื่อเท่าไหร่นัก การที่แตะเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้นับว่าเสียมารยาทอยู่บ้าง เมื่อหลิ่วป๋ายซื่อเห็นท่าทีไม่พอใจเช่นนั้นจึงได้ปล่อยมือ
'ข้าเพียงต้องการถามแค่คำถามเดียวเท่านั้น'
หวังซิ่นเจียไม่ตอบอะไร รอฟังคำถามที่หลิ่วป๋ายซื่อต้องการคำตอบ หลิ่วป๋ายซื่อหันไปมองทิศทางที่โจวหมิงจากไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาถามหวังซิ่นเจียด้วยท่าทางสงสัย
'ผู้ใดคือจ้าวเซินฝู?'
.
.
.
โจวหมิงตามหาจ้าวเซินฝูไปทั่วทั้งยอดเขาที่สามของหวังซิ่นเจีย คิดว่าร่างของจ้าวเซินฝูนั้นต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในยอดเขาที่สามนี้อย่างแน่นอน
เป็นเพราะโจวหมิงใจร้อนมากเกินไปจนเกิดเรื่องผิดพลาดเป็นแน่ ในตอนที่ค้นพบว่ามีวิธีพาจ้าวเซินฝูกลับมาจึงไม่ได้ศึกษาให้ดีเสียก่อน กลัวแต่ว่าจะไม่ได้จ้าวเซินฝูกลับมา
แต่เมื่อวิ่งวนอย่างตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยปกติแล้วโจวหมิงนั้นเก่งกาจถึงขั้นที่ทำศึกข้ามวันโดยไม่ต้องพักได้ด้วยซ้ำ น่าประหลาดใจไม่น้อยที่ออกตามหาคนไม่เท่าไหร่ก็เหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว
โจวหมิงยืนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในใจหวาดหวั่นถึงขีดสุด เดิมทีจ้าวเซินฝูจากไปแล้วก็สร้างบาดแผลในใจไม่น้อยแก่เจ้าตัว คราวนี้แม้แต่ร่างของศิษย์รักก็ไม่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า
พลาดไปแล้วโจวหมิง...
ในขณะที่ยืนคิดอย่างหวั่นวิตก หวังซิ่นเจียก็มาพบเข้าพอดี เมื่อเห็นว่าโจวหมิงยืนนิ่งอยู่จึงได้รีบเข้ามาหา
'อาหมิง'
'ซิ่นเจีย.. เซินฝู อึก.. ข้าหาเซินฝูไม่พบ... ข้า...'
โจวหมิงตรงหน้ามือไม้สั่นทำท่าจะปล่อยโฮอยู่รอมร่อ หวังซิ่นเจียมีท่าทีลังเลไม่รู้ว่าจะกล่าวเรื่องที่ได้ยินจากหลิ่วป๋ายซานเมื่อครู่ให้โจวหมิงฟังดีหรือไม่
'ขะ เขาหายไป อยู่ไหนก็ไม่รู้ ข้าจะทำเช่นไรดี... '
โจวหมิงคล้ายว่าใกล้จะสติแตกเต็มที่ หวังซิ่นเจียจัดการรวบตัวคนเอาไว้ แล้วหิ้วกลับเรือนหลักของยอดเขาที่สามทันที โจวหมิงที่ทำตัวไม่ถูกจึงปล่อยให้สหายหิ้วตนเองไปตามใจชอบ
ในหัวของหวังซิ่นเจียขบคิดเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อครู่จนหัวแทบแตก สิ่งที่หลิ่วป๋ายซื่อเอ่ยถามเมื่อครู่คือสิ่งใดกัน
แล้วเหตุใดทุกคนจึงมีท่าทีว่าไม่รู้จักจ้าวเซินฝูกัน...
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...
หวังซิ่นเจียปรายตามองสหายที่สติแตกในอ้อมแขน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจนใจ อย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ดังนั้นคิดหาวิธีต่อจากนี้ดีกว่ามานั่งกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว
หากไม่ใช่ว่าโจวหมิงดูไม่ปกติเสียเท่าไหร่ หวังซิ่นเจียก็อยากจะทุบตีคนเสียหลายที ให้สาสมกับที่สร้างปัญหา
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ