"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?"
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย
"ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน"
"มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ"
"หยิบไปทีละใบเล่า"
แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย
แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม
"แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เช่นนั้นก็เลือกพวกเก็บสมุนไพรเถอะ"
หากหาได้ห้าแต้มสิบแต้ม มันก็จบทบขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เยอะเองนั่นแหละ
"ขอรับคุณชาย"
แต่ชีวิตนี้เซินฝูไม่ได้คิดอยากจะทำภารกิจอะไรเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วแต้มพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่บังคับให้ทำ เพียงแต่แต้มที่ได้มา สามารถนำไปแลกของต่างๆได้ เลยได้รับความนิยมในสำนักไม่น้อย
เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อ พากันดึงภารกิจไปกันคนละอย่างและแยกตัวออกไปเพื่อปฏิบัติภารกิจ และเด็กทั้งสองคนนั้นมีสัตว์อสูรอยู่ด้วยตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงนัก
จบจากพาบ่าวทั้งคู่ไปยังกระดาานภารกิจแล้ว วันนี้ก็จบเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เซินฝูตรงกลับยอดเขาที่สองทันที
เซินฝูนั้นเฝ้ารอวันที่จะได้ออกไปด้านนอก เพราะมีของบางอย่างที่หมายตาเอาไว้แล้ว
เมื่อชีวิตก่อนเซินฝูมีกระบี่เล่มงามคู่ใจ ที่ตีขึ้นจากแร่พิเศษที่มีพลังในตัว กว่าเซินฝูจะได้แร่ก้อนนั้นมาก็จำได้ว่าใช้กระบี่ไร้นามอยู่หลายปี
ไม่ใช่ว่ากระบี่ที่ใช้ในคราแรกนั้นไม่ดี คนมีฝีมือมีเพียงท่อนไม้ ก็เก่งกาจกว่าผู้ถือกระบี่เลื่องชื่อ เซินฝูใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้สนใจว่ากระบี่นั้นจะดีหรือไม่ดี อาศัยว่าตนเองเป็นผู้มีฝีมือ ดังนั้นสิบปีแรกของการอยู่ที่สำนักเจี๋ยเอินในฐานะผู้ฝึกตน เซินฝูใช้กระบี่เล่มที่ถูกตีขึ้นเมื่อเข้าสำนักใหม่ๆ
แต่กระบี่เล่มนั้นก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่ไม่ได้มีจิตวิญญาณ ไม่ได้มีชื่อเรียก เพราะแร่ที่ใช้ตี เป็นแร่ดาษดื่นที่หาได้ทั่วไป ยามถูกเสนอชื่อเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสนั่นแหละถึงได้เดือดร้อน
เซินฝูถูกอาจารย์บิดหูจนแทบขาดเรื่องที่ว่าละเลยกระบี่ ยังใช้กระบี่แบบเดียวกันกับพวกศิษย์ใหม่ของสำนักอยู่ได้
เมื่อถูกว่ามาแบบนั้นแล้ว จึงต้องเฟ้นหากระบี่เล่มงามมาไว้คู่กายเล่มหนึ่ง
แต่...
เรียกได้ว่าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหา ก็ยังไม่มีกระบี่ที่ถูกใจ ไม่ว่าจะถูกตีขึ้นจากปรมาจารย์ชื่อดังคนไหน เซินฝูก็ไม่ใคร่พึงพอใจนัก
กระทั่งถูกโจวหมิงลากไปงานประมูลของหอศาสตราวุธในสังกัดสำนักเจี๋ยเอิน ตอนนั้นจึงได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ
สิ่งนั้นไม่ใช่กระบี่เล่มงาม แต่เป็นแร่หน้าตาประหลาดก้อนหนึ่งที่ทางหอศาสตราวุธตรวจสอบดูแล้วว่ามีพลังแฝงอยู่
และเป็นพลังธาตุลมที่เซินฝูคิดว่าเหมาะกับตนเสียเหลือเกิน
แน่นอนว่าราคาประมูลนั่นพุ่งสูงจนคนในโรงประมูลตาตั้ง ขนาดโจวหมิงที่มาด้วยกันยังคิดว่าเซินฝูก็คงไม่ถูกใจกระบี่เล่มไหนเช่นเดิม เมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่เสียไปแล้วเซินฝูก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกขึ้นมาเล็กน้อย
แต่สุดท้ายก็ได้มาครอบครอง นับว่าไม่แย่
สุดท้ายก็ได้กระบี่เล่มงามมาครอง และเป็นกระบี่ที่อยู่กับเซินฝูจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
ในวันที่เซินฝูจากไป ทั้งคนและกระบี่แตกสลายไม่ต่างกัน
รำลึกความหลังได้เพียงครู่เดียวก็กลับมาถึงยอดเขาที่สอง โจวหมิงเดิมก็ไม่ได้มีหน้าที่ลงไปสอนอะไรมากมายอยู่แล้วก็นั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาเล็กๆที่ทำขึ้นมาใช้ชั่วคราวแทนศาลาเดิมที่ขาดครึ่งไปเมื่อหลายวันก่อน
"เหตุใดกลับมาเร็วนัก"
"อาเมิ่งกับอาเล่อ ไปทำภารกิจเก็บแต้มขอรับ"
"แล้วเจ้าไม่เก็บหรือ"
"ตอนนี้ยังไม่มีภารกิจที่น่าสนใจขอรับ"
โจวหมิงจิบชา ปรายตามองลูกศิษย์ของตนเอง
"เจ้าจะทำภารกิจอะไรก็ได้ ยกเว้นภารกิจของหลิ่วป๋ายซื่อ"
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนั้น ไม่ใช่แค่เซินฝูเท่านั้นที่จำได้ โจวหมิงเองก็จำได้เช่นกัน เซินฝูพยักหน้ารับเป็นสากตำครก เซินฝูเองก็ไม่คิดจะกินข้าวกับผักต้มเป็นเดือนๆอีกครั้งหรอก
"เข้าใจแล้วก็ดี อยากไปพักหรือไม่"
แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนานนม แต่เรื่องราวระหว่างที่เซินฝูตายไปไม่มีเรื่องใดน่าพูดถึง มีเพียงสภาพน่าสมเพชของโจวหมิงเท่านั้น ดังนั้นเรื่องที่จะคุยกันถึงมีน้อยนิด พอๆกับชาติที่แล้วนั่นแหละ
"ข้าอยากปรึกษาท่านเรื่องกระบี่"
โจวหมิงมีสีหน้าพึงพอใจเมื่อเซินฝูกล่าวเรื่องกระบี่ขึ้นมา แปลว่าชีวิตนี้ไม่คิดจะใช้กระบี่ศิษย์ใหม่ไปสิบปีใช่หรือไม่
"เจ้าพูดมา"
"ข้าต้องการแร่ก้อนนั้น ที่เคยใช้ตีกระบี่ของข้าเมื่อชาติก่อน"
"ข้าไปสืบมาแล้ว"
สมกับเป็นท่านอาจารย์...
แต่เซินฝูจะไม่พูดเรื่องนั้นออกไปหรอกนะ
"ของที่เจ้าต้องการอยู่ที่หอสุ่ยจิงนั่นแหละ"
"ขอรับ?"
"อยู่มาเกือบยี่สิบปีแล้ว"
หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าแร่ก้อนนั้นไม่มีผู้ใดพบพลังธาตุที่แฝงอยู่เลยเกือบครึ่งศตวรรษอย่างนั้นหรือ
"น่าเหลือเชื่อใช่หรือไม่?"
"ข้าต้องการไปหอสุ่ยจิง"
ได้ยินแบบนั้นแล้วเซินฝูก็ใจร้อนขึ้นมาทันที ในชาตินี้หลายอย่างไม่เหมือนกับชาติก่อน ไม่แน่ว่าแร่ก้อนนั้นอาจจะถูกขายออกไปก่อนที่เซินฝูจะเจอมันก็ได้
"อีกสองสัปดาห์จะมีวันที่ให้ศิษย์ออกไปข้างนอก"
"ช้าไปขอรับ"
"แต่เจ้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยไม่ได้"
"แต่ท่านไปได้นี่ขอรับ"
"แล้วเรื่องอะไรข้าต้องไปล่ะ"
หากไม่ติดว่าคนตรงหน้าเป็นอาจารย์ล่ะก็ เซินฝูอยากจะปะทะสักครั้งหนึ่ง...
"ช่วยหน่อยไม่ได้หรือขอรับ?"
"ไม่ล่ะ ข้าจะปิดด่านฝึกตน"
"ท่านอาจารย์"
"ไม่ต้องมาอ้อน อุจาดตานัก"
เรื่องซึ้งๆนั่น จบไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนนี้กลับเข้าสู่สภาวะปกติของสองอาจารย์ศิษย์เป็นที่เรียบร้อย
โจวหมิงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่มองหน้าลูกศิษย์ของตัวเอง จิบชาทำท่าชมนกชมไม้ไปเรื่อย
"มันไม่หายไปไหนหรอกน่า เห็นว่าอยู่ในกองแร่ที่ไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก"
"แล้วถ้ามีคนมือดีมาหยิบไปล่ะขอรับ"
"แปลว่าชาตินี้เจ้าไม่มีวาสนาแล้วอย่างไรเล่า ไปๆ"
โจวหมิงสะบัดมือไล่ เซินฝูทำหน้าปลาตายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินคอตกเข้าเรือนพักของตัวเองไป
หวังว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้น จะยังอยู่จนถึงวันที่ตนเองได้ออกไปข้างนอก
เพราะว่าสำนักเจี๋ยเอินนั้นมีกฎเพื่อรักษาความปลอดภัย บรรดาศิษย์นอกและศิษย์ในไม่สามารถเข้าออกสำนักได้ตามใจชอบ
โดยสถานะปัจจุบันของเซินฝูคือศิษย์นอก แม้ว่าจะขึ้นมาอยู่บนยอดเข้าเหมือนศิษย์ในหรือศิษย์หลักหลายๆคน
หากผ่านการประลองในสำนักไปแล้วคงจะยกระดับขึ้นมาเป็นศิษย์ในได้ไม่ยากนัก และจะได้เป็นศิษย์หลักอย่างรวดเร็วก็ต่อเมื่อสร้างชื่อเสียงให้สำนัก หรือรอทดสอบเลื่อนขั้นอย่างคนอื่นๆ
เรื่องที่ว่าให้โจวหมิงเลือกไปเป็นศิษย์หลักนั้นตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเพียงเท่านี้ก็ได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าผู้อื่นแล้ว หากยังเลื่อนขั้นได้เป็นศิษย์หลักง่ายๆเช่นนั้น ไม่พ้นเกิดการประท้วงขึ้นอย่างแน่นอน
โจวหมิงเองหลังจากที่ช่วยให้เซินฝูได้กลับมาอีกครั้งก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากาลก่อน หากต้องงัดข้อกับผู้อาวุโสคนอื่นเพื่อปกป้องเซินฝูคงทำได้ยาก ดังนั้นเร็วๆนี้จึงตัดสินใจจะปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง
ต่อให้ในภายภาคหน้าจะไม่มีเรื่องต้องออกหน้าปกป้องเซินฝู แต่อย่างน้อยๆก็ต้องฟื้นพลังกลับมาให้สมกับตำแหน่ง
และเซินฝูเองก็คิดเอาไว้เช่นเดียวกันว่าหากได้แร่ก้อนนั้นมาแล้วก็จะทำการปิดด่านเพื่อตีกระบี่เช่นกัน
อนิจจา ยอดเขาที่สองกำลังจะกลายเป็นยอดเขาร้างในเร็ววัน เหล่าข้ารับใช้คงพากันงงจนตาแตก แล้วหากเป็นเช่นนั้นจะให้อยู่รับใช้ผู้ใดเล่า
เรื่องนี้ยังไม่ได้บอกกล่าวกับโจวหมิง แต่ก็คิดเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องดูแลยอดเขาที่สองนั้นฝากผู้อาวุโสหวังแวะเวียนขึ้นมาดูบ้างก็ย่อมได้
ผู้อาวุโสหวังที่ว่ากำลังนั่งจิบน้ำชา ให้บ่าวคนหนึ่งนวดไหล่ให้จามออกมาจมูกแทบหลุด
"ไม่ใช่ว่าคนยอดเขาที่สองจะสร้างเรื่องอีกแล้วหรือ"
หวังซิ่นเจียใช้นิ้วถูจมูกเบาๆ บ่าวชายตัวน้อยที่นวดไหล่อยู่เอ่ยถามเสียงเบา
"หนาวหรือขอรับ ผู้อาวุโสหวัง"
"เปล่าหรอก.. ว่าแต่อาเมิ่ง อาเล่อเล่า"
"ยังไม่เห็นขึ้นมาเลยขอรับ"
"ศิษย์นอกเรียนแค่สองชั่วยามไม่ใช่หรือ"
"อาจจะพากันไปทำภารกิจเก็บแต้มกันก็ได้ขอรับ"
หวังซิ่นเจียส่ายหน้าเบาๆ เพิ่งจะเข้าสำนักได้ไม่นาน เหตุใดรีบร้อนเก็บแต้มนัก ไอ้แต้มพวกนั้นมีให้เก็บทั้งปีทั้งชาติ ไม่เห็นต้องรีบร้อน
ส่วนใหญ่แล้วศิษย์นอกจะไม่ค่อยสนใจภารกิจเพราะไม่มีใครคอยชี้แนะ คงจะต่างจากเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อที่มีเซินฝูคอยชี้แนะ ดังนั้นกว่าศิษย์ในสำนักจะมีแต้มเก็บก็วันที่ผ่านเข้าเป็นศิษย์ในนั่นแหละ
แม้จะไม่ใช่ความลับ แต่ว่าพวกศิษย์ในก็ไม่ค่อยบอกเรื่องนี้ให้ศิษย์นอกได้รับรู้เพราะไม่อยากให้ใครมาแย่งเก็บแต้ม
"คอยดูเอาไว้หน่อยเล่า โดยเฉพาะเสี่ยวเมิ่งน่ะ อย่าให้สร้างปัญหา"
"ผู้อาวุโสหวังกล่าวหนักไปแล้ว อาเมิ่งเพียงแค่ซุกซนตามวัย"
ซุกซนกับผีน่ะสิ หากพ่อบ้านหยางมาได้ยินเข้าต้องโกรธจนหนวดสั่นเป็นแน่
หวังซิ่นเจียยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้หยุดบีบนวด ก่อนจะลุกขึ้น
"ข้าจะไปยอดเขาที่สอง หากสองคนนั้นกลับมาแล้วก็แจ้งด้วยว่าให้รอพบข้า"
"ขอรับ"
หวังซิ่นเจียมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่สองดังที่กล่าวเอาไว้ เพราะมีความรู้สึกว่าลางสังหรณ์จะทำงานแปลกๆ
ไม่แน่ว่าคนยอดเขาที่สองเกิดอยากจะสร้างปัญหาขึ้นมาก็ได้
"หรือข้าจะออกไปขายน้ำเต้าหู้ดีนะ..."
ช่างหัวตำแหน่งผู้อาวุโสเถิด เจ้ายอดเขาอะไรนั่นก็ไม่เป็นแล้ว
เกิดเป็นหวังซิ่นเจียเหน็ดเหนื่อยนัก
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ