"นี่มัน..."
"ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..."
หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม
เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร
กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน
แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย
สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้
"บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า"
"คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
ในความคิดของเสี่ยวเมิ่ง บางทีเจ้าของภารกิจอาจจะต้องการมันมากก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครรับทำ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าของภารกิจต้องเดือดร้อนมากแน่
ดูได้จากการที่เสี่ยวเมิ่งทำภารกิจสำหรับแล้ว เจ้าของภารกิจนั้นขอบคุณยกใหญ่ ได้แต้มมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นไงเล่า
"แต่นี่มันมากเกินไป"
"ข้าเห็นว่าพวกภารกิจเก็บสมุนไพรไม่ค่อยมีคนทำ บางภารกิจอยู่มานานแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าเลย..."
ไม่เพียงแต่เสี่ยวเมิ่ง เสี่ยวเล่อเองก็ไม่ต่างกัน ไอ้ใบภารกิจตามหาสมุนไพรอะไรนั่น เจ้าตัวกวาดเรียบเกลี้ยงกระดาน โดยตอนนี้กำลังยืนก้มหน้าทำท่าสลด มีเสี่ยวซื่อยืนสี่ขากางปีกปกป้องลูกน้อยของตัวเองอยู่ด้านหน้า เสียงแง้วๆในร่างหมาป่าจิ๋วนั่นพยายามแก้ตัวให้เสี่ยวเล่อ
เซินฝูได้แต่ถอนหายใจ หันกลับไปมองกระดานภารกิจที่ตอนนี้เกือบว่างเปล่าด้วยสายตาปลงตก
และนั่นก็เป็นที่มาของสายตาไม่ชอบใจของศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆในตอนที่ลงมาจากยอดเขาพร้อมกับบ่าวทั้งสอง อีกทั้งในห้องเรียนยังมีเสียงซุบซิบนินทาด้วยความไม่ชอบใจอีกด้วย
"เจ้าทำแบบนี้พวกเราจะลำบากได้นะ ไม่เห็นหรือว่าไม่มีผู้ใดอยากคบค้าด้วยน่ะ"
"ก็เรื่องของเขาสิขอรับ ไม่ใช่ปัญหาของพวกเราเสียหน่อย"
น่าประหลาดใจที่ประโยคนั้นออกมาจากปากของเสี่ยวเล่อ คงเป็นเพราะเจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์นี่แน่นอนที่ทำให้เสี่ยวเล่อเปลี่ยนไปเป็นคนขวางโลกเช่นนี้
เซินฝูมองมันอย่างคาดโทษ แน่นอนว่ามันมองกลับมาด้วยสายตาไม่มีเกรงกลัว
"ข้า เห้อ.."
พอจะเข้าใจแล้ว ที่มาของสายตาพวกนั้น เรื่องคร่าวๆคงเป็นเพราะ...
"อ้าวๆๆ เหตุใดกระดานจึงว่างเปล่าเช่นนั้น นี่พวกเจ้าอีกแล้วหรือ"
เพราะเจ้าหมอนี่อย่างแน่นอน
"กระดานนี้มันไม่มีอะไรให้พวกเจ้าทำแล้วล่ะ กลับไปเถอะ"
เด็กหนุ่มท่าทางกร่างไม่เบาพร้อมกับลูกกระจ๊อกอีกสี่คนเดินตรงมาหากลุ่มของเซินฝูพร้อมทั้งพูดเหน็บแนม เบนสายตาไปมองกระดานภารกิจที่เหลือภารกิจเพียงแค่ไม่กี่อย่างที่เพิ่งถูกนำมาติดเท่านั้น
"ไปเถอะ อาเมิ่ง อาเล่อ"
เซินฝูไม่คิดต่อปากต่อคำกับผู้มาใหม่ แม้ว่าตอนนี้เซินฝูจะเป็นเด็กอายุสิบห้าหนาว ไม่ได้โตไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่ว่าไส้ในก็หลายสิบปีเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาต่อปากต่อคำกับเด็กตัวกระเปี๊ยกให้ได้อะไรขึ้นมา
"เป็นแค่ศิษย์นอก อาจหาญเหลือเกินนะที่มาแตะต้องกระดานภารกิจ"
แต่อีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะไม่ยอมจบ ยังพูดกระแนะกระแหนแม้ว่าเซินฝูจะเรียกเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อให้เดินออกมาพร้อมกันแล้ว
เซินฝูทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มคนนั้น นั่นทำให้เด็กหนุ่มที่มีลูกกระจ๊อกล้อมหน้าล้อมหลังถึงกับเลือดขึ้นหน้า
ที่ผ่านมา การอาศัยอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินของเด็กหนุ่มเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเป็นลูกหลานของผู้มีอำนาจในแคว้น และได้รับเป็นศิษย์ในของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ฝีมือก็เก่งกาจไม่อาจดูเบา ดังนั้นน้อยครั้งที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
"นี่พวกเจ้า!"
'หลี่ฟู่หลิน' ตวาดออกมาเสียงดังเมื่อได้รับการเมินเฉยจากอีกฝ่าย แน่นอนว่าเซินฝูและบ่าวทั้งสองก็ยังคงไม่สนใจเดินออกห่างจากกลุ่มของหลี่ฟู่หลินไปอยู่ดี หลี่ฟู่หลินเห็นดังนั้นจึงเพยิดหน้าสั่งให้ลูกสมุนของตัวเองไปล้อมกลุ่มของเซินฝูเอาไว้
ลูกกระจ๊อกร่างสูงใหญ่ยืนบังเป็นกำแพงมนุษย์ไม่ให้ทั้งสามคนได้เดินจากไป เซินฝูถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หันหน้ากลับมามองคนที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง
เมื่อได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายแล้ว หลี่ฟู่หลินจึงได้กระตุกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางกวนโอ๊ย เดินเข้ามาหาเซินฝู
"ในที่สุดก็สนใจแล้วสินะ"
เซินฝูคร้านจะพูด ปล่อยให้อีกคนบ้าน้ำลายอยู่คนเดียว
"ข้าพูดกับพวกเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง"
คุณชายน้อยตรงหน้าเซินฝูนั้นดูท่าแล้ว จะมีสมองที่ไม่ปกติเท่าไหร่นัก
"เมื่อครู่เจ้าบอกให้พวกข้าไป พวกข้าก็เดินออกมาถูกแล้ว ที่เหลือเจ้าเอาแต่พูดบ้าน้ำลายอยู่คนเดียว จะไปรู้หรือว่าพูดกับผู้ใด"
ไม่ใช่เซินฝูที่ตอบออกไปเช่นนั้น แต่เป็นเสี่ยวเมิ่งที่ยืนกอดอกทำหน้ายียวน
สถานะของเสี่ยวเมิ่งนั้น เป็นบ่าวของเซินฝูก็จริง แต่ก็เป็นบ่าวของเซินฝูคนเดียว ไม่จำเป็นต้องสงบปากสงบคำกับคนอื่น
โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาในสำนักเจี๋ยเอินที่วัดลำดับขั้นด้วยความแข็งแกร่งนั้นยิ่งแล้วใหญ่ หากตอนนี้ท้าประลองแล้วหลี่ฟู่หลินเกิดพ่ายแพ้นั้น หลี่ฟู่หลินต้องคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นเป็นการขออภัยจากเสี่ยวเมิ่งด้วยซ้ำ
"เป็นแค่บ่าว ปากกล้านักนะ"
หลี่ฟู่หลินตวัดสายตามองเสี่ยวเมิ่งด้วยท่าทางไม่ชอบใจ แน่นอนว่าเสี่ยวเมิ่งเองก็มองหลี่ฟู่หลินด้วยสายตาเหยียดหยามไม่แพ้กัน
"บ่าวแล้วอย่างไร คุณชายของข้ามีคนเดียว คนอื่นไม่ได้นับว่าเป็นนายของข้าเสียหน่อย"
"คิดว่าคุณชายของเจ้าจะมีปัญญาปกป้องเจ้าหรือไง"
"กล่าวผิดแล้ว คุณชายสมองน้อยท่านนี้ บ่าวย่อมมีหน้าที่ปกป้องเจ้านายต่างหาก"
คำกล่าวของเสี่ยวเมิ่งทำเอาหลี่ฟู่หลินหน้าเขียว
"หรือว่าที่ผ่านมา เป็นเจ้าคอยปกป้องบ่าวเล่า?"
แม้จะไม่ได้พูดออกมาว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ว่าสีหน้าของหลี่ฟู่หลินนั้นแทบจะบอกทุกอย่างแล้ว
ลูกสมุนของหลี่ฟู่หลินนั้นเรียกได้ว่าเป็นพวกอันธพาลในสำนัก ดังนั้นเมื่อเหล่าลูกสมุนสร้างเรื่อง ก็เป็นหลี่ฟู่หลินคอยแก้ปัญหาให้ตลอด
แต่ว่าก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมาเท่านั้นเอง แน่นอนว่าเป็นเพราะบารมีของผู้เป็นอาจารย์นั่นแหละ
"เจ้า!!"
"เรื่องจริงหรือ?"
แม้ว่าดูจากสีหน้าบูดเบี้ยวของหลี่ฟู่หลินก็รู้แล้วแท้ๆว่าเป็นอย่างที่ว่า แต่เสี่ยวเมิ่งก็ยังถามซ้ำด้วยเสียงยียวน
"เจ้าไม่สั่งสอนบ่าวเจ้าเลยหรือ?"
"บ่าวข้า ข้าย่อมสั่งสอนเป็นอย่างดี อาเมิ่งเป็นเด็กรู้ความ หากผู้ใดอยู่เหนือกว่า เขาย่อมเคารพ"
หรือเป็นการดูถูกหลี่ฟู่หลินกลายๆว่าอยู่ต่ำกว่าบ่าวของตนเอง
"ปากกล้านักนะ"
"ข้าเพียงบอกกล่าว ตรงไหนที่เรียกว่าปากกล้า เชิญคุณชายกล่าวเถอะ"
ลูกสมุนผู้หนึ่งเห็นว่าหลี่ฟู่หลินนั้นโกรธจนไม่สามารถเก็บงำสีหน้าของตัวเองเอาไว้ได้จึงได้สอดปากพูด
"เจ้ากล้านักนะ ไม่รู้จักคุณชายหลี่ หลี่ฟู่หลิน ศิษย์ของผู้อาวุโสฉีหรืออย่างไร"
"ชะตาเจ้าขาดแน่ ศิษย์นอกอย่างเจ้าเพิ่งเข้ามาก็ทำเบ่งแล้ว"
ลูกสมุนอีกคนเห็นเพื่อนเปิดปากพูด ก็กล่าวสำทับด้วย หลี่ฟู่หลินเห็นว่าลูกสมุนของตนเองได้เรื่องอยู่บ้าง
"เจ้าก็รู้นี่ว่าพวกข้าเพิ่งเข้าสำนัก จะไปรู้จักคุณชายเจ้าได้อย่างไร"
"พูดราวกับคุณชายตนใหญ่คับฟ้า ไม่ใช่ว่ายังอ้างบารมีอาจารย์อยู่หรือ"
แม้ว่าคนต่อปากต่อคำจะมีเพียงแค่เซินฝูและเสี่ยวเมิ่งสองคน แต่เสี่ยวเล่อเองก็มองคนกลุ่มนั้นด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเช่นกัน เสี่ยวซื่อเองก็ทำท่าไม่ต่างกัน พร้อมโจมตีทุกเมื่อหากอีกฝ่ายล้ำเส้น
คงลืมไปแล้วว่าในสำนักมีกฏห้ามทำร้ายกันเองหากไม่ได้ท้าประลอง
"เรื่องกระดานภารกิจ ไม่ได้มีกฏข้อไหนห้ามไม่ให้ศิษย์นอกรับภารกิจไม่ใช่หรือ อีกอย่างภารกิจบางอย่างก็ค้างอยู่บนกระดานมาหลายเดือนแล้ว"
เซินฝูเดินเข้าไปประจันหน้ากับหลี่ฟู่หลินอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าเซินฝูจะตัวเล็กกว่านิดหน่อยแต่ก็สามารถใช้สายตาเหยียดหยามอีกฝ่ายได้ สายตาของเซินฝูทำให้หลี่ฟู่หลินรู้สึกเหมือนโดนกดหัวอยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หลี่ฟู่เฉินต้องการปฏิเสธแต่ก็ไม่สามารถทำได้
หลี่ฟู่เฉินไม่อยากสบตา แต่ก็ไม่สามารถละสายตาไปได้ หากทำเช่นนั้นเกรงว่าจะเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้
"หากอยากได้แต้ม ก็ไปทำภารกิจเสียสิ ตอนนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย"
เซินฝูเบื่อที่จะต้องมาต่อปากต่อคำอยู่อย่างนี้ หลังจากพูดธุระที่เป็นปัญหาเรียบร้อยแล้วก็คิดจะเดินจากไป หลี่ฟู่หลินไม่ได้เอ่ยปากรั้งไว้อย่างคราก่อน แต่ว่าลูกสมุนของหลี่ฟู่หลินดูเหมือนว่าจะไม่ยอม ขยับตัวมาบังทั้งสามคนเอาไว้
"พี่ชายคนนี้ท่าทางอยากจะมีเรื่องอย่างนั้นสินะ"
เสี่ยวเมิ่งยังทำหน้ายียวนอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งเสียงที่กล่าวออกไปยังฟังดูท้าทายไม่น้อย ทำเอาคนฟังมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา
"หากวันนี้ไม่ได้จัดการเจ้าล่ะก็..."
"อยากสู้ก็ไปเขียนสาส์นท้าประลอง"
เซินฝูกางปีกปกป้องบ่าวของตนเมื่อเห็นว่าลูกสมุนคนหนึ่งเดินหน้าเข้ามาทำท่าจะทำร้ายเสี่ยวเมิ่ง
"สำนักเจี๋ยเอินมีกฏห้ามศิษย์ของสำนักต่อสู้กันเองหากไม่ใช่การประลอง"
เซินฝูมองหน้าลูกสมุนของหลี่ฟู่หลินด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนจะหันมาถามหลี่ฟูหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสายตาเหยียดหยาม คล้ายจะเอาเท้าเหยียบหัวคนให้จมดิน
"เจ้าไม่สั่งสอนบ่าวเจ้าเลยหรือ?"
คำพูดของเซินฝู คล้ายจะเป็นคำพูดเดียวกันกับที่หลี่ฟู่หลินกล่าวตำหนิเซินฝูไปเมื่อครู่ ทั้งคำพูดและท่าทางของเซินฝูนั้น ทำเอาหลี่ฟู่หลินที่ตอนนี้ไม่สามารถโต้เถียงได้ยืนกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
เซินฝูไม่สนใจกลุ่มของหลี่ฟู่หลินอีกต่อไป พาเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อเดินหลีกมาอีกทาง
กระทั่งพ้นทางเดินเข้าสู่ยอดเขาต่างๆแล้ว เสี่ยวเมิ่งจึงได้ปริปากพูด
"คุณชาย... ข้าขออภัยขอรับ..."
ก่อนหน้านี้เซินฝูกล่าวเตือนแล้วว่าอย่าโลภมากรับภารกิจ ให้ทำทีละอย่าง แต่เป็นเพราะทั้งคู่ได้รู้มาว่าจะมีวันพิเศษที่ให้ออกไปข้างนอก จึงตื่นเต้นทำภารกิจเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะเอาไปแลกเป็นเงินเพื่อเอาไปซื้อของที่อยากได้
และนั่นก็นำความเดือดร้อนมาให้คุณชายของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นึกเจ็บใจที่อีกฝ่ายกล่าวว่าคุณชายไม่สั่งสอนบ่าว แท้จริงแล้วเป็นพวกตนที่ดื้อรั้นต่างหาก
"ขออภัยเรื่องอะไรกัน"
"เพราะพวกข้า คุณชายถึงได้เดือดร้อน"
เซินฝูหยุดเดิน หันกลับมามองบ่าวตัวน้อยทั้งคู่ที่ก้มหน้าทำท่าสำนักผิด ก่อนจะถอนหายใจออกมา
"ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้าเสียหน่อย"
"แต่พวกข้า..."
"ก็พอเข้าใจได้ล่ะนะว่าพวกเจ้าค่อนข้างพลังเหลือล้น แต่คนผิดไม่ใช่พวกเจ้าหรอก"
เพราะที่นี่ไม่ได้มีกฎห้ามปฏิบัติภารกิจเกินกี่ภารกิจ ใครใคร่ทำเท่าไหร่ก็ทำ ย่อมไม่มีปัญหา แต่ปัญหาดูเหมือนว่าจะเกิดจากการที่คนเก่าๆไม่พอใจเรื่องที่เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อทำมากกว่า
ก็ทั้งๆที่เป็นเด็กใหม่ แต่ดันล้างกระดานภารกิจเสียอย่างนั้น
"อย่าคิดมากเลย ขึ้นไปที่ยอดเขาเถอะ"
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ