“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง”
นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู
“จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน”
ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว
“ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป
‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’
‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’
‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’
‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’
‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’
‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว’
‘ทรงบรรทมไม่ค่อยหลับ หรือหลับก็ไม่สนิท’
‘ฮองไทเฮาให้ท่านอ๋องเลือกหญิงงามมาเป็นพระชายา’
หญิงสาวฟังเหล่าพฤกษาแย่งกันพูดเรื่องขององค์ชายเฟยเทียน คงเพราะเรื่องการคัดเลือกหญิงงามมาเป็นพระชายา องค์ชายเฟยเทียนจึงพำนักในตำหนักของฮองไทเฮา คงเกรงว่า หากปล่อยให้องค์ชายเสด็จ
กลับไปตำหนักชินอ๋อง อาจหนีกลับตุนหวงเหมือนครั้งที่ผ่านมา
“ไม่รู้ป่านนี้ขนต้นไม้ลงมาหมดหรือยัง” นางบ่นพึมพำ อีกฝั่งหนึ่งของสวนสี่ฤดูตระเตรียมพื้นที่สำหรับพืชทะเลทรายไว้แล้ว ทว่านางไม่คิดว่าองค์ชายเฟยเทียนจะนำต้นไม้ใหญ่อย่างอินทผลัมมาเช่นนี้ หากต้นเล็กก็มีกุหลาบทะเลทรายและเหล่ากระบองเพชรหน้าตาแปลกประหลาดที่ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายนัก
“ข้าไปดูต้นไม้ก่อนนะ เสร็จแล้วจะมาคุยด้วย”
‘รีบไปหาองค์ชายเฟยเทียนละสิ’
‘เรียกท่านอ๋องได้แล้ว ท่านอ๋องเจ้าขา’
ว่านหนิงเหมยหน้าแดงกับคำกระเซ้าของเหล่าต้นไม้ปากดี พอสนิทสนมเข้าหน่อย มารุมเล่นงานนางเสียนี่ นางตั้งใจเดินไปดูต้นไม้ที่ขนมาจากดินแดนทะเลทรายจริงๆ แต่เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านจึงเรียกตัวไว้สอบถาม ได้ความเช่นที่บรรดาต้นไม้ปากดีนั้นบอกนาง
“รบกวนพวกเจ้าจัดสุรารสเลิศสำหรับองค์ชาย เอ่อ...ท่านอ๋อง และขนมของหวานกับน้ำชาให้ท่านกุนซือและองครักษ์ด้วยเถิด”
“อะไรนะเจ้าคะ” ขนม? ใครจะกล้ายกไปล่ะ
“รบกวนด้วย ประเดี๋ยวข้ายกไปให้เอง”
นางเข้าใจดีว่าแต่ละคนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ นึกถึงเรื่องที่เหล่าพฤกษากระซิบบอก นางถึงกับกลั้นหัวเราะ ใครเลยจะคาดคิดว่าองครักษ์ผู้น่าเกรงขามชื่นชอบขนมหวาน
ตามธรรมเนียมแล้ว ตำหนักในไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาพำนัก
หากนี่เป็นความประสงค์ของฮองไทเฮาจึงเป็นข้อยกเว้น แม้องค์ชายเฟยเทียนมีตำหนักของพระองค์เอง แต่ทุกครั้งที่กลับมาวังหลวงจะถูกรั้งตัวให้พักที่ตำหนักของฮองไทเฮาเสมอ
“ต่อไปนี้พวกเราต้องเรียกองค์ชายว่าชินอ๋องแล้วใช่ไหม ท่านกุนซือ”
เจิ้งหู่องครักษ์ขวาเอ่ยถามซิ่นเจี่ยง กุนซือและเป็นคนสนิทขององค์ชายเฟยเทียน ที่ยามนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกบนตั่งนุ่มกลางห้องรับรองที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้คนทั้งสี่ ด้วยคำเชิญแกมบังคับให้องค์ชายเฟยเทียนพักอยู่ในตำหนักของฮองไทเฮา
“เฮอะ!” องค์ชายเฟยเทียนแค่นเสียงในลำคอ ยื่นมือไปรับจอกสุราจากเจิ้งไฉ บรรดานางกำนัลต่างหวาดกลัวจนมือไม้สั่น ด้วยความรำคาญจึงไล่ไปให้หมด เหลือเพียงคนสนิททั้งสามคน แม้ฐานะต้อยต่ำ แต่สำหรับเขาแล้ว ทั้งสามล้วนเป็นสหายรักที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา
“จะตำแหน่งอะไรคิดว่าข้าสนใจงั้นเรอะ” กรอกสุราลงคอแล้วยื่นจอกส่งให้องครักษ์ซ้ายรินให้เช่นเคย เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนี้องครักษ์ซ้ายขวาก็ปลดหน้ากากเหล็กของตนเองออก
“เอาเป็นว่าเรียกชินอ๋องให้คุ้นปากไว้เป็นดี” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยขึ้น แต่สายตายังจ้องมองที่กระดานหมากล้อม “มีตำแหน่งก็ย่อมเป็นเรื่องดี ทำสิ่งใดย่อมมีผู้เกรงอกเกรงใจ”
“ข้าว่าทุกวันนี้ก็มีคนเกรงกลัวมากพออยู่แล้ว” เจิ้งไฉโคลงศีรษะไปมา นางกำนัลหรือขันทียังไม่กล้าเข้ามารับใช้เลย
เจิ้งไฉและเจิ้งหู่ มั่นใจในเรื่องการต่อสู้และฝีมือของตนเองก็จริง แต่เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ ต้องให้ซิ่นเจี่ยงคอยเตือนพวกเขา จะว่าไปก็รวมถึงองค์ชายพระทัยร้อนผู้นั้นด้วยเหมือนกัน
“ข้าไม่ชอบวังหลวงเอาเสียเลย ไฉนฮองไทเฮาต้องให้องค์ชาย เอ่อ ชินอ๋องพำนักในตำหนักในด้วย” เจิ้งหู่พูดน้ำเสียงเหมือนเด็กเล็กที่ถูกขัดใจ ไม่ได้เข้ากับใบหน้าและท่าทางของตนเองเลยสักนิด
ซิ่นเจี่ยงยื่นมือไปใช้พัดเคาะศีรษะของเจิ้งหู่แรงๆ ไปหนึ่งที ทำเอาเจิ้งหู่ยกมือกุมศีรษะลูบรอยที่โดนตีเมื่อครู่
“เจ้านี่ก็คิดถึงแต่เรื่องของกิน!”
“ก็มันจริงนี่ขอรับท่านซิ่นเจี่ยง” เจิ้งไฉรีบพูดแทนพี่ชาย “ไม่มีผู้ใดจัดขนมของว่างและน้ำชาให้พวกเราเลย ใครๆ ก็ว่าขนมในวังหลวงเลิศรสเป็นที่สุด”
“กับแกล้มเต็มโต๊ะ เจ้ายังจะถามหาของว่าง!” ซิ่นเจี่ยงทำท่าจะตีเจิ้งไฉแต่อีกฝ่ายรีบกระโดดหลบเสียก่อน
องค์ชายเฟยเทียนหรือตอนนี้คือชินอ๋องและเป็นผู้ปกครองตุนหวงเพียงแค่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม หากในวังหลวงนี้สิ้นฮองไทเฮาแล้ว เขาไม่เหลือผู้ใดให้อยากมาพบ มีเพียงฮองไทเฮาที่ทรงเลี้ยงดูเขาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ทุกวันนี้ก็ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ยังห่วงใยเขาอยู่ เขารู้ดีว่ามีสายคอยส่งข่าวเรื่องของเขาให้ทางฮองไทเฮาทราบ
ตุนหวงอยู่ในการปกครองของแคว้นกันซู่ สิบปีมานี้ที่เขากรำศึกทั้งปราบขบถและชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่อง แต่เขากลับเลือกปักหลักยึดตุนหวงไว้เป็นฐานที่ตั้งมั่นของทหาร ในฐานะที่ตุนหวงเป็นดินแดนเชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างจองหยวน (เมืองหลวง) กับดินแดนอื่น เส้นทางการค้าสำคัญที่ถูกเรียกว่าเส้นทางสายไหม รายได้จากการจัดเก็บภาษีค่าผ่านทางมากมายจนประเมินค่ามิได้
เส้นทางสายไหมกลายเป็นแหล่งรวมพ่อค้าจากทุกสารทิศ ราชสำนักและราชวงศ์สามารถควบคุมพื้นที่และตั้งหน่วยงานปกครองที่มั่นคง ทั้งยังสามารถปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่เคยเรืองอำนาจในดินแดนแถบนี้ เอื้อประโยชน์ให้การคมนาคมมีความสะดวกสบาย มีกลุ่มพ่อค้าทั่วสารทิศใช้เส้นทางมากขึ้น นอกเหนือจากผู้แสวงบุญและผู้ที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจำนวนมาก ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกอยู่ที่ตุนหวง ละทิ้งจองหยวน แม้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าลึกๆ แล้ว ฮ่องเต้ทรงไม่ไว้ใจเขา เกรงว่าให้อำนาจการปกครองทางการทหารมากเกินไป ทำให้เขาใช้เหล่าทหารเข้ายึดอำนาจและสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้
อำนาจรึ? เขารู้จักมันแล้ว
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช