หลังจากจักการทุกอย่างแล้ว ทุกคนก็กลับมาที่จวนตระกูลเฟยเพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน นั้นก็คือการปรุงยารักษาอาการบาดเจ็บ(เกิดขึ้นจากการต่อสู้เมื่อครั้งอยู่ในยุทภพ)ให้กับจางหยวนเพ่ยที่ท่านหมอเฟยอี้เคยรับปากไว้แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ หน้าที่นี่จึงตกเป็นของหลี่อิงและเฟยเทียน
“ผู้อาวุโสพอจะทราบสูตรยาที่ท่านหมอเฟยอี้ใช้รักษาไหมเจ้าคะ”
หลี่อิงเอ่ยถามขึ้น ตอนนี้ปัญหาของพวกเขาคือไม่ทราบสูตรยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ
“ข้าก็ไม่ทราบ ปกติแล้วเขาจะใช้ยาอีกตัวหนึ่งประคองอาการของข้าเอาไว้เพื่อรอสมุนไพรสำคัญที่จะใช้ปรุงยารักษา”
จางหยวนเพ่ยเอ่ยบอก สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกัน อยู่ที่ห้องปรุงยาเพื่อช่วยกันหาสูตรยา จากตำราการรักษามากมายที่อยู่ในห้องนี้ ที่จะรักษาอาการบาดเจ็บ เนื่องจากไม่มีใครทราบสูตรยานั้นเลย
“บันทึกการรักษาในห้องของท่านปู่น่าจะมีขอรับ ท่านจะเขียนเอาไว้ทุก ตอนที่มีการรักษาคนป่วย ข้าจะไปเอามาให้”
เฟยเทียนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยบอกกับทุกคน แล้วรีบออกไปทันที และไม่นานก็กลับมาพร้อมกับบันทึกเล่มหนึ่ง
“นี้เป็นบันทึกการรักษาของท่านอาจางขอรับ ในนี้มีระบุอาการและตัวยาที่ใช้รักษาอยู่”
เฟยเทียนยื่นบันทึกเล่มนั้นให้กับจางหยวนเพ่ยไป
“เอาละเรามาเริ่มกันเถอะ”
หลี่อิงเอ่ยบอกก่อนจะเปิดบันทึกการรักษาพร้อมกับอ่านรายละเอียดทุกบรรทัดอย่างครบถ้วนแล้วลงมือรักษาโดยมีลี่มี่(สาวใช้) และเฟยเทียนเป็นผู้ช่วย
ด้านหนึ่งของจวน หวังชิงเฟิงกำลังฟังรายงานจากหมิงอี้(ผู้ติดตาม) ที่ให้ไปสืบเรื่องของจวนตระกูลเฟย
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อนมีข่าวออกมาว่าประมุขพรรคมังกรคราม หลงฝูหยาง ถูกลอบสังหารแล้วหายตัวไปขอรับทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว จึงมีคนสนับสนุนน้องชายของเขา หลงจ้าวอิน ขึ้นรับตำแหน่งประมุขพรรคแทน แต่เมื่อสามวันก่อนเขากลับไปที่พรรคมังกรครามอีกครั้ง ทำให้น้องชายและคนที่สนับสนุนเขาเริ่มอยู่ไม่สุข สุดท้ายโทสะของคุณชายรอง ก็มาตกที่ตระกูลเฟย หลังสืบทราบว่าคนที่ช่วยหลงฝูหยาง คือนายท่านตระกูลเฟยขอรับ”
หมิงอี้รายงานพร้อมกับยื่นหลักฐานที่หามาได้ให้กับผู้เป็นนาย มือหนาเพียงรับมาเท่านั้นไม่ได้เปิดอ่านข้อมูลแต่อย่างไร
“แล้วกลุ่มนักฆ่าเล่า” อันที่จริงชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าเป็นคนของกลุ่มไหน จากรอยสักที่มีอยู่ที่ตัวนักฆ่าเหล่านั้นแต่ก็ต้องการการยืนยันที่แน่นอน
“เป็นนักฆ่าของกลุ่มเงาจันทร์ขอรับ” เป็นตามที่ชายหนุ่มคาด
“อืม ขอบใจมากหมิงอี้ ไปพักเถอะ” ร่างสูงเอ่ยขึ้น หมิงอี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เพล้ง! เพล้ง! ผลัวะ!
“เฟยอี้! ไอ้เจ้าแก่บ้า ข้าจะไปขุดเจ้าขึ้นถามให้มันรู้เรื่อง ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะอาเทียน ข้าจะไปขุดปู่เจ้าขึ้นมาจากหลุม”
เสียงตะโกนด่าทอดังมาให้ได้ยินไม่หยุด พวกของหวังชิงเฟยเดินตามเสียงมาจนเจอกับ หลี่อิงที่ยืนอยู่กับลี่มี่ ข้างกันนั้นมีร่างเล็กของเฟยหรงอยู่ด้วย ไม่นานก็มีถ้วยน้ำชาลอยออกมาจากประตู จนพวกเขาต้องรีบหลบกันแทบไม่ทัน
“พี่สาวเซียวเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า”
หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถามขึ้น ทั้งยังชะโงกหน้ามองผ่านประตูเพื่อให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในห้อง หลี่อิงหันมามองคนที่พึ่งมาถึง ก่อนจะตอบคำถามของหวังเลี่ยงรุ่ย
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่ผู้อาวุโสจางอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยนะ” หลี่อิงบอกยิ้ม ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า
“อารมณ์ไม่ดีหรือขอรับ” หวังเลี่ยงรุ่ยทวนคำตอบอย่างไม่เชื่อหูตนเอง เพราะอาจารย์ของเขาเป็นคนที่ใจเย็นและมีเหตุผลมาก
เพล้ง !
“อุ๊ย!” หวังเลี่ยงรุ่ยถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ ๆ ก็มีกระจกลอยมาตกข้าง ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว
“เอาออกไป เอากระจกพวกนี้ออกไปให้หมด ข้าไม่อยากเห็น”
เสียงจางหยวนเพ่ยลอยออกมาตามหลังกระจกที่พึ่งถูกโยนออกมาด้วยมือของเขาเอง
“เอ่อ ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าเลี่ยงรุ่ยเองนะขอรับ ใครทำให้ท่านโมโหบอกข้ามาเลยขอรับ ข้าจะไปจัดการมันให้” หวังเลี่ยงรุ่ยตะโกนเข้าไปในห้องปรุงยา
“ดี ดีมากศิษย์ข้า ถ้าอย่างนั้นก็ไปขุดเอาร่างตาเฒ่าเฟยอี้ขึ้นมา ข้าจะถามให้รู้เรื่อง”
“เอ่อ ท่านอาจารย์ขอรับ คือ…” หวังเลี่ยงรุ่ยไม่รู้จะตอบอาจารย์ตนเองอย่างไรได้แต่หันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากทุกคน
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ ตอนนี้ทุกคนถูกท่านเรียกมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้านี้แล้ว จะให้เข้าไปข้างในหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่อิงเอ่ยถามพร้อมกับกลั้นยิ้มไปด้วย เพราะแรงโมโหที่เสียงดังไปหน่อย ทำให้ทุกคนต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จนตอนนี้มารวมกันอยู่หน้าห้องปรุงยาไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว
“คุณหนูเก็บอาการหน่อยเจ้าค่ะ”
ลี่มี่เอ่ยเตือนนายตนทั้งที่ตัวเองก็ยังต้องกลั้นยิ้มขำเอาไว้
“ข้าไม่ได้เรียก ไม่ต้องเข้ามา” เสียงจากคนข้างในตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น” หวังชิงเฟิงเอ่ยถามขึ้น
“เข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยบอกพร้อมกับเดินเข้ามาช่วยพยุงชายหนุ่มให้เข้าไปข้างใน โดยไม่ได้สนใจคำพูดของจางหยวนเพ่ยสักนิด
เมื่อทุกคนเข้ามาด้านในห้องแล้วต่างก็ต้องแปลกใจ เสียงข้าวของแตกกระจายเสียงดังจนได้ยินไปทั่วจวน แต่ภายในห้องกับยังเรียบร้อยดีไม่มีอะไรเสียหาย
“ไม่ต้องมอง ข้าไม่ใช่เด็กที่จะพังข้าวของไปทั่ว” จางหยวนเพ่ยเอ่ยขึ้น
ทุกคนหันมองผู้พูดอย่างพร้อมเพรียงราวกับจะถามว่า แล้วที่อยู่ด้านนอกนั้นคืออะไรเล่า แต่ก็ต้องตะลึงงันโดยเฉพาะหวังเลี่ยงรุ่ยที่มองหน้าจางหยวนเพ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาจนต้องยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วเพ่งมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“นี้ เจ้าเป็นใครกัน!” หวังเลี่ยงรุ่ยตะโกนถามเสียงดังด้วยความสงสัย จนจางหยวนเพ่ยขึงตาใส่ลูกศิษย์ของตนเอง
“ท่านอาจางงดงามยิ่งเจ้าค่ะ” เป็นเฟยหรงนั้นเองที่เอ่ยขึ้นเสียงใส ก่อนจะเดินเข้าไปหาจางหยวนเพ่ยด้วยรอยยิ้มชอบใจยิ่ง
“ห๊ะ/ห๊ะ” หวังเลี่ยงรุ่ยกับชางเปา (บ่าวรับใช้) ร้องออกมาพร้อมกัน จนหลี่อิงกับลี่มี่หัวเราะออกมาเบา ๆ อาการของสองคนนี้ ไม่ต่างจากพวกนางเมื่อเช้า ตอนที่เห็นจางหยวนเพ่ยเดินออกมาจากฉากกั้นเลยสักนิด อาจจะดีกว่ากันหน่อย ตรงที่พวกนาง ไม่ได้ตะโกนถามโวยว้าย เช่นหวังเลี่ยงรุ่ย
รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของจางหยวนเพ่ยเป็นอะไรที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากผมที่เป็นสีขาวดังเดิมแล้วนั้น รูปลักษณ์ภายนอกเรียกได้ว่า เป็นคนละคนเลยก็ว่าได้
ใบหน้าที่ดูราวกับชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี ทั้งยังงดงามจนสตรียังต้องอาย รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบางจนแยกไม่ออก ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี หากบอกว่าเป็นสตรีก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน หวังชิงเฟิงไม่แปลกใจเลยที่จางหยวนเพ่ยจะโมโหเช่นนั้น
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่าขอรับ” หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถามขึ้นพร้อมทั้งมองผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ตาค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“หวังเลี่ยงรุ่ย เลิกมองข้าได้แล้ว” จางหยวนเพ่ยเอ่ยบอกอย่างไม่พอใจนัก
“เป็นเพราะยาที่ใช้แช่นะขอรับ ข้ากับพี่สาวหลี่อิง ก็ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นเช่นนี้” เฟยเทียนกล่าวขึ้นอย่างยิ้ม ๆ
“เป็นเพราะตาเฒ่านั้นแท้ ๆ” จางหยวนเพ่ยกล่าวถึงสหายที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่พอใจนัก แต่ในใจก็ไม่ได้คิดโกรธสหายอย่างจริงจัง เพราะรู้นิสัยของอีกคนดีว่าเป็นขี้แกล้ง แต่ที่ทำให้เขากลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้งนี้ก็เกินจะรับไหวจริง ๆ จึงยังมีเคืองอยู่บ้าง
“ยาที่ใช้แช่ หากมีสมุนไพรเช่นนี้อยู่พวกเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ” หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ยาที่ใช้ในการแช่ เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรื่องการบาดเจ็บทั้งหมด แต่ฤทธิ์ของมันก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น อย่างเช่น บัวหยกหิมะอายุห้าร้อยปี หรือดอกเหมยน้ำแข็งพันปี มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ดียิ่ง แต่สรรพคุณที่โดดเด่นอีกอย่างของมันก็คือเรื่องความอ่อนเยาว์ แต่ถ้าเป็นปกติก็คงไม่ถึงขนาดนี้ พอมีตัวเสริมฤทธิ์ยาให้แรงขึ้นอย่างโสมพันปีและเห็ดหลินจือ ผลที่ได้เลยเป็นอย่างที่เห็น บวกกับผู้อาวุโสมีกำลังภายในที่ล้ำลึก ยิ่งเสริมฤทธิ์ยาตรงนี้ไปอีก เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ก็คงไม่ผิด”
หลี่อิงอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้เข้าใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าจางหยวนเพ่ย
“ก่อนที่จะรักษาผู้อาวุโสก็ไม่ได้ต่างจากชายวัยกลางคนเลยสักนิด ทั้งที่มีอายุเกือบหกสิบปีแล้ว พอมีสมุนไพรที่ช่วยเสริมในเรื่องนี้เข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้รูปร่างอ่อนเยาว์ลงไปมาก แต่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ รูปร่างนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาดังที่ควรจะเป็น”
หลี่อิงบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ทุกคนจึงพยักหน้าเข้าใจ ยกเว้นก็แต่จางหยวนเพ่ย ที่ถูกทำให้กลายเป็นหนุ่มอีกครั้ง ที่ยังมีสีหน้าไม่พอใจกับรูปลักษณ์ของตนเอง
พิเศษส่งท้ายเช้าอันสดใสมาเยือน หลงฝูหยางตื่นมาด้วยหน้าตาสดใสทั้งยังอารมณ์ดีไม่น้อย มองคนที่นอนทับตนเองอยู่ก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข“เพ่ยเพ่ย” เสียงทุ่มเข้มเอ่ยเรียกร่างบางเสียงเบาราวกับกำลังหยอกล้อ“อืม” จางหยวนเพ่ยที่ถูกรบกวนส่ายหน้าไปมากับอกของหลงฝูหยางก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง“หึหึ” เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนี้คงมีแต่จางหยวนเพ่ยเท่านั้นที่ได้รับมัน เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตื่นง่าย ๆ หลงฝูหยางก็ไม่คิดจะก่อกวนต่อ แขนแกร่งโอบคนบนตัวเอาไว้หลวม ๆ มือหนาลูบแผ่นหลังบางเป็นการกล่อมไปด้วย“อืม” เสียงครางแผ่วอย่างพอใจดังขึ้นให้ได้ยินจนอดเอ็นดูไม่ได้ ริมฝีปากหนาจึงกดจูบเบา ๆ ที่กลุ่มผมดำนุ่มนั้นหนึ่งทีในช่วงสายของวัน หลี่อิงกับเฟยเทียนจึงแวะมาดูอาการหลงฝูหยางอีกครั้งหลังจากที่ตอนแรกตั้งใจจะมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน ในตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอมาเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อยากจะเดินกลับเรือนเสียเดี๋ยวนั้น“นี้ใจคอพวกท่านไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับแขกหน่อยหรือเจ้าคะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ เมื่อเดินเข้ามาภายในเรือนแล้วพบว่าทั้งสองคนยังนอนกอดกันกลมไม่ปล่อ
งานเทศกาลหยวนเซียวที่คึกคักไปด้วยผู้คน สองร่างในชุดสีแดงดำเดินเคียงกันอย่างมีความสุข สองมือผสานกันเอาไว้แน่นอย่างไม่เกรงสายตาใคร หนึ่งงดงามหนึ่งคมคายเป็นเป้าสายตาของผู้คนเสียเหลือเกินแต่ก็มิได้รู้สึกแปลกตาแต่อย่างไรเพราะก็มีแบบนี้ให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ อีกทั้งขุนนางบางคนยังมีฮูหยินรองหรืออนุที่เป็นบุรุษด้วย“เจ้าเคยมาเดินงานเทศกาลหยวนเซียวบ้างหรือไม่” จางหยวนเพ่ยเอ่ยถามคนที่จับจูงมือกันอยู่“ไม่เคย” หลงฝูหยางส่ายหน้าก่อนจะหันมาตอบร่างเพรียวบางด้านข้าง“แล้วมาที่นี่บ่อยหรือไม่ จำได้ว่าตอนนั้นที่เจอกันก็เป็นที่ต้าถงนี้” จางหยวนเพ่ยยังคงถามอีกต่อเรื่อย ๆ“ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอยู่ที่พรรคเป็นหลักหรือไม่ก็ไปที่อื่นเสียมากกว่าที่ต้าถง แต่เมื่อสองปีก่อนปรากฎสมุนไพรหายากขึ้นเลยเข้ามาที่นี่บ่อยขึ้น”“หืม”“โรงประมูลชิงหลงนั้นอย่างไร” หลงฝูหยางเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของจางหยวนเพ่ย“เอ๋ ของเจ้าหรือ” ร่างบางเอี้ยงคอถามอย่างน่ามอง ดวงตาใสแวววาวอย่างตื่นเต้น“ใช่ ให้เว่ยเหลียงเป็นคนดูแล” หลงฝูหยางไขข้อกระจ่างให้ร่างบาง“ถ้านังหนูหลี่อิงรู้ว่าท่านเป็นเจ้าของคงโดนป่วนแน่” จางหยวนเพ่ยเอ
รุ่งเช้ามาเยือนเหล่าศิษย์ทั้งหลายผู้เป็นเด็กดีทำตัวเป็นห่วงอาจารย์ผู้เป็นที่รักยิ่งมายืนรออยู่หน้าเรือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนจนกระทั่ง“ข้าง่วง พวกเจ้ากลับไปเลยไม่ต้องมาก่อกวนข้า” เสียงทุ้มนุ่มลอยออกมาจากในเรือนไม้แต่กลับไม่เห็นตัวคนจนเหล่าเอ่ยแซวกันเป็นแถบ“แม้อาจารย์ ผู้ชายมาเยือนเรือนลูกศิษย์ถึงกับไม่มีความหมายเลยหรือขอรับ” หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยน้ำเสียงหยอกเย้าผู้เป็นอาจารย์จากนอกเรือน“ไปไกล ๆ เลยเจ้าเด็กพวกนี้”“หึหึ ขอท่านประมุขอย่าหนักมือนักเล่า” หลิวหยางเอ่ยขึ้นกั่วเสียงหัวเราะชอบใจก่อนจะพากันสลายตัวไปทำหน้าที่ของตนเองกลับมาภายในเรือนตอนนี้ร่างเพรียวบางของจางหยวนเพ่ยกำลังนอนทับอกของหลงฝูหยางอยู่ใบหน้าคมสวนงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อถูกก่อกวนตั้งแต่เช้าทั้งที่พึ่งได้นอนไปเพียงนิดเดียว“ถ้าง่วงก็หลับต่ออีกหน่อยเถอะ” หลงฝูหยางเอ่ยเสียงนุ่มทั้งยังลูบแผ่นหลังเนียนเป็นการกล่อมอีกคน“ไม่เอา ข้าอยากคุยกับเจ้ามากกว่า” จางหยวนเพ่ยเอ่ยเสียงอ่อยนิ้วเรียวลูบไล้ไปบนแผ่นอกชายหนุ่มเล่นอย่างไม่รู้จะทำอันไร“เรื่องของเราหรือ” หลงฝูหยางก้มหน้าลงมาถามเสียงแผ่ว“อืม”“ว่ามาเถอะ ข้าเชื่อฟังท
หนึ่งเดือนต่อมาเรื่องที่อินจางเหว่ยได้ก่อเอาไว้ถูกชำระความเรียบร้อยแล้ว จ้าวจางเว่ยและหลงจ้าวอินจบชีวิตตนเองลงในหอลงทัณฑ์ ส่วนอินจางเหว่ยนั้นหลงฝูหยางไม่ยอมให้อีกคนตายง่ายดายถึงเพื่อนั้น เขาถูกขังเอาไว้ในส่วนพิเศษในหอลงทัณฑ์ตรึงร่างด้วยโซ่ตรวนไม่ให้คิดฆ่าตัวตาย ให้ทดทุกข์ทรมานกับพิษที่ได้รับรวมถึงพิษที่เจ้าตัวปรุงขึ้นอย่างเพลิงผลาญฤทัยเก้าสุริยันจนกว่าจะตายจากมันไปข้างหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสางก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ก็คงเหลือในเรื่องของหัวใจที่ยังไม่มีความกระจ่างอะไรเลย และตอนนี้บรรยากาศภายในเรือนพักของหลงฝูหยางนั้น ช่างชวนให้คนที่อยู่ด้วย อยากจะหนีออกไปเสียจริง แต่ก็ทำไม่ได้“เอ่อ ท่านประมุขขอรับ ข้าว่าถ้าไม่มีใจจะอ่าน ไป ไป ที่นี่อยากไปดีหรือไม่ขอรับ” จางเฉินเอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะได้รับสายตาคมที่ตะวัดมองมาจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง“ข้าเห็นด้วยกับจางเฉินนะขอรับ ไปหาสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรไม่ใช่หรือ ดีกว่านั่งจมอยู่อย่างนี้แล้วตนเองไม่มีความสุขนะขอรับ” จางหลินเองก็เห็นด้วยกับความคิดของจางเฉิน ตั้งแต่ที่อีกคนกลับไปหลังจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ผู้เป็นนายของพวกเขาก็เอาแต่นั้งท
“ข้าจะรับเอาไว้เอง และจะให้เขาชดใช้อย่างสาสม” หลงฝูหยางกล่าวให้คำมั่น หวังเลี่ยงรุ่ยจึงหันไปมองศิษย์น้องของตนเองเมื่อเห็นแววตาของทุกคนแล้ว เขาจึงหันกลับมาหาหลงฝูหยาง“ได้ พวกข้าจะให้ท่านเป็นคนจัดการ”ปึ้ง!ร่างของอินจางเหว่ยถูกเหวี่ยงไปที่ปลายเท้าของหลงฝูหยางทันทีด้วยน้ำมือของจางหยวนเพ่ย นั้นยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับฝ่ายของอินจางเหว่ยมากยิ่งขึ้น“พวกเจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าเป็นใคร นามของข้าคือ หยวนเพ่ย แช่ จาง ผู้ที่เคยท่องไปทุกที่แล้วในยุทธภพนี้ ชื่อเสียงมากมายที่ข้าได้รับ ข้าล้วนไม่เคยหลงในอำนาจของมัน แล้วเจ้าเป็นใคร อินจางเหว่ย ถึงได้คิดจะขึ้นเป็นใหญ่ควบคุมทั้งยุทธภพได้” สายตาคมสวยปรายมองอินจางเหว่ยก่อน จะเชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งราวกับมองมดปลวกก็มิปาน“เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นใคร ใช่คนที่เจ้าจะเอามาล่อเล่นได้หรือ”อินจางเหว่ยกล่าวอย่างเหยียดหยัน ที่อีกคนกล้ายกตนขึ้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดังคนผู้นั้น“ข้าเป็นพยานได้ นั้นคือ จางหยวนเพ่ย ตัวจริงไม่ผิดแน่” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่กลับไม่เห็นตัวคนพูด กำลังภายในมากมายที่กดทับอยู่เหนือบริเวณนี้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นผู้มีกำลังภายใ
ในขณะที่พวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า คนกลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการเก็บกวาดศัตรูอย่างเงียบเชียบก่อนจะส่งคนของตนเองเข้ามาแทนจนที่สุดทุกอย่างก็พร้อมแล้วจางหยวนเพ่ยได้รับสัญญาณจากเหล่าลูกศิษย์แล้วจึงมองสบตากับหลงฝูหยางที่เล่นถ่วงเวลาอยู่กับหลงจ้าวอิน ร่างสูงรับรู้ได้ทันทีก่อนจะปิดจบฉากการต่อสู้นี้ปลายกระบี่แหลมคมชี้ไปที่ร่างสูงโปร่งของหลงจ้าวอินก่อนจะเปลี่ยนเป็นตะวัดครึ้งวงกลมแฝงกำลังภายในเต็มเปี่ยม อินจางเหว่ยที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าช่วยบุตรชายทันที แต่ก็ยังต้านพลังของหลงฝูหยางเอาไม่ไม่อยู่สองพ่อลูกกระเด็นไถลไปกับพื้นก่อนจะกระอักเลือดออกมา อาการบาดเจ็บของอินจางเหว่ยนั้นไม่หนักหนานักเพราะก็เป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งผู้หนึ่ง จึงพอป้องกันตนเองเอาไว้ได้ แต่กับหลงจ้าวอินนั้นไม่ใช่ร่างกายที่แสนเจ็บปวดรวดราวบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บที่ทำลายลึกถึงตันเถียน ร่างสูงโปร่งนอนงอตัวกอดตนเองแน่นแค่ขยับเพียงนิดก็เจ็บปวดทรมานเกินจะทานทน เสียงคำรามต่ำในลำคอนั้นแฝงความมายินยอมอยู่ด้วยหากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในขณะเดี๋ยวไป๋ซีหมิงก็สลัดออกจากการควบคุ้มมาได้อย่างง่ายดาย“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมีกำลังภายในถึงเพียง