Masukหลังจากเริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดโรงหมอก็ไม่สามารถรับคนไข้ได้อีก ชาวบ้านที่เจ็บป่วยล้นออกมา เพราะเตียงไม่พอ หยูกยาพร่องไม่เว้นวันทำเอาศิษย์อาจารย์หัวหมุนกันตลอด
“ท่านอาจารย์ ข้าว่าข้าเคยเห็นอาการเช่นนี้”
เซียวอันหนิงนึกย้อนไปถึงโลกเดิมที่จากมา ผู้มีอาการท้องเสียรุนแรงบางรายอาจมีอาเจียนร่วมด้วย เวลากลางคืนจะมีไข้ขึ้นสูง มันคืออาการของโรค อหิวาซึ่งแพร่ระบาดเร็วมาก แล้วยิ่งยุคนี้ผู้คนยังไม่เข้าใจเรื่องสุขอนามัยมากนักก็จะยิ่งแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
หมอเซียวได้ยินเช่นนั้นพลันสนใจ เขาเดินมาหานางก่อนถามเสียงเครียด “เจ้าว่าเคยเห็นเช่นนั้นรึ”
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์ โรคนี้แพร่ระบาดรวดเร็วเป็นอันมาก ข้ามียารักษาซึ่งช่วยระงับอาการได้รวดเร็วมากกว่ายาต้มเจ้าค่ะ หากแต่ผู้คนอาจมิคุ้นชิน เกรงว่าจะทำให้พวกเขาไม่เชื่อถือจนอาจปฏิเสธได้”
ว่าแล้วเซียงอันหนิงก็รีบเอายาของโลกปัจจุบันให้เดู ประสิทธิภาพมากมายกว่ายาต้มสมัยนี้มากนักหากแต่ต้องหว่านล้อมอย่างไรให้ชาวบ้านและผู้ป่วยเข้าใจได้ว่ามันไม่อันตราย แม้จะเชื่อศิษย์หญิงทุกอย่างยังอดลูบปลายคางไม่ได้ ยาเม็ดสีขาวประหลาด ๆ นี่หรือจะช่วยชาวบ้านให้หายป่วยไข้ได้
“ข้ามิเคยเห็นมาก่อน มันมีประสิทธิภาพเพียงนั้นเชียวรึ เจ้าทำเองหรือว่านำออกมาจากมิติ?”
“ย่อมต้องเป็นในมิติ ภายในนั้นมียามากมาย จนตอนนี้ยังตรวจตราได้มิทั่วถึง โชคดีว่าเมื่อคืนพอมีเวลาเลยไปสำรวจจึงได้พบเจ้าค่ะ”
คนงามอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง อย่างไรก็ตามชายชราย่อมเชื่อนางเนื่องจากที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่ายาภายในมิติจะสร้างปัญหาแต่อย่างใด
“พรุ่งนี้เริ่มแจกจ่ายยาตัวนี้ให้กับชาวบ้าน ส่วนเรื่องลักษณะของมันค่อยมาหาทางอธิบายกันอีกครา ทว่าคำพูดจากปากหมอสำหรับคนป่วยมิต่างจากคำประกาศิต ไม่เชื่อฟังก็อาจมิรอด คนส่วนใหญ่ย่อมเชื่อเป็นแน่”
นางอมยิ้มให้กับคำพูดของท่านอาจารย์ ด้วยก็จริงตามนั้น คนเรายามป่วยไข้ย่อมเชื่อหมอจนหลาย ๆ ครั้งก็ตกเป็นเหยื่อ ทว่าคราวนี้มีความจำเป็นต้องกุเรื่อง นางมิได้เก่งกาจถึงขนาดคิดค้นยาเองได้ ให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ภายในห้องพระโรงแสนโอ่อ่าแห่งเมืองหลวง ตอนนี้เต็มไปด้วยขุนนางหลายขั้นกำลังถกเถียงเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้นแล้วลุกลามรวดเร็วจนน่ากังวล
“ฝ่าบาทโปรดส่งหมอหลวงไปช่วยชาวบ้านด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เราต้องไปแจกจ่ายอาหารให้กับชาวบ้านอย่างน้อยจะได้มิคิดว่าพระองค์ทรงละเลยความทุกข์ยากของประชาชนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ความเห็นจากขุนนางมากมายภายในห้องพระโรงดังเซ็งแซ่ เสนอแนวทางมากมายจนโอรสสวรรค์มีใบหน้าเย็นชาจากการถกเถียงร้อนแรงโดยไม่มีทางออกที่แน่นอน ต่างเพียงออกความเห็นแต่มิมีทางออกของปัญหา สุดท้ายจึงเอ่ยด้วยพระสุรเสียงอันดัง
“เงียบ! เจิ้นจะส่งราชครูให้ไปดูแลในส่วนนี้ ขุนนางคนอื่นคิดเห็นเช่นไร เสนอขึ้นมาทีละคน แย่งกันพูดไปหาได้สร้างประโยชน์แก่บ้านเมืองไม่ จงคำนึงถึงมารยาทให้สมฐานะขุนนางของพวกเจ้าเสีย”
องค์ฮ่องเต้หวังจื้อเฉียน ผู้ปกครองแคว้นเหลียวตัดสินใจจะส่งราชครูคนสนิทไปจัดการเรื่องนี้ เหล่าขุนนางเมื่อได้ยินรับสั่งต่างพากันเห็นด้วย เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันถึงความสามารถอันเก่งกาจทั้งที่อายุอานามยังน้อยนัก ด้วยความเด็ดขาดและเฉลียวฉลาดคงหาทางออกได้ดีกว่าพวกเขาเป็นแน่
“หากเป็นเช่นนี้ พวกกระหม่อมก็เบาใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเลิกประชุม”
ฮ่องเต้หวังจื้อเฉียนเรียกหลี่จิ้งหานเข้าพบ ณ ห้องทรงงานเนื่องจากเขาไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ สืบเนื่องจากภารกิจติดตามขุนนางกังฉินลักลอบขนเกลือซึ่งมีผลประโยชน์เป็นส่วนต่างจำนวนมหาศาล และทั้งที่รู้แก่ใจว่าผิดกฎหมายก็ยังยอมเสี่ยงกับมัน ขืนปล่อยให้ลอยนวลอาจคิดการใหญ่โกงกินสิ่งอื่นได้ในภายภาคหน้า สู้จัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้ย่อมดีกว่า
ราชครูหนุ่มกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ มิทันได้พักหายใจกลับมีผู้นำข่าวมาบอกว่าฝ่าบาทเรียกตัวเข้าพบ แม้ใจอยากพักผ่อนเสียมากกว่าแต่ผู้เรียกพบเป็นถึงโอรสสวรรค์ เขาย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปโดยปริยาย
เมื่อมาถึงภายในห้องทรงพระอักษรจึงได้เห็นฝ่าบาทที่ยังทรงมีโทษะกับเรื่องในท้องพระโรง “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้เหลือบสายพระเนตรขึ้นมามองราชครูคนสนิท สำหรับพระองค์แล้ว หลี่จิ้งหานยังหนุ่มนักทว่ามีความเฉลียวฉลาดยากหาผู้ใดเปรียบ ซ้ำยังมีความโหดเหี้ยมเด็ดขาดอันหาได้ยากจากชายหนุ่มวัยเดียวกัน ด้วยรูปร่างองอาจสมชายชาตรีประกอบกับความหล่อเหลาอันถูกยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง คุณสมบัติเช่นนี้ควรมีสตรีมากมายในจวนคอยเอาใจทว่าความเป็นจริงกลับสวนทาง หลี่จิ้งหานไม่เคยเหลียวมองใคร กระทั่งคู่หมายก็ยังไม่มี อายุล่วงเข้ายี่สิบห้าปีซึ่งมากพอให้สร้างครอบครัวได้แล้ว ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความระอา รู้ดีว่าต่อให้ประทานสมรสให้อีกฝ่ายก็คงไม่แคล้วปฏิเสธเป็นแน่
“มาแล้วรึ เจ้าคงได้ยินเรื่องโรคระบาด เจิ้นต้องการให้เจ้านำหมอหลวงไปช่วยชาวบ้านในพื้นที่ที่ยังมิสามารถควบคุมได้”
ราชครูหนุ่มน้อมรับคำสั่งโดยไว โอรสสวรรค์นึกขึ้นได้ถึงภารกิจในช่วงนี้ของหลี่จิ้งหานจึงเปรยขึ้นมา “แล้วเรื่องลักลอบค้าเกลือเล่า?”
“กระหม่อมสืบทราบจนรู้ว่าเส้นทางใดที่จะลักลอบขนเกลือไปขาย กระหม่อมจะรีบรวบรวมรายชื่อขุนนางอันมีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนพ่ะย่ะค่ะ”
โอรสสวรรค์ถอนหายใจ เรื่องขุนนางลักลอบทำเรื่องผิดดกฎหมายยังมีให้เห็นอยู่ร่ำไป กังฉินสร้างเรื่องให้ตงฉินมีงานทำอย่างแท้จริง สายพระเนตรทอดมองไปยังหมอหลวงซึ่งจัดเตรียมไว้ให้เดินทางไปพร้อมกับหลี่จิ้งหาน
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กลับมาถึงจวนได้ หลี่จิ้งหานเร่งชำระร่างกายเพื่อคลายความอ่อนล้า ทุกวันนี้ภารกิจอันได้รับล้วนแต่ตึงมือทั้งสิ้น เรื่องลักลอบขนเกลือคงต้องให้สหายสืบก่อนเพราะตอนนี้ต้องเอาเรื่องเร่งด่วนซึ่งรับคำสั่งจากฝ่าบาทมาจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อร เนื่องจากเกิดโรคระบาดในชาวบ้าน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทว่าก็พอได้ยินข่าวมาบ้างว่ามีโรงหมอมาเปิดใหม่ ช่วยรักษาชาวบ้านอีกทั้งยังถูกยกย่องว่ามีคุณธรรม ไม่มีเงินก็ไม่เก็บ หากมีฐานะย่อมจ่ายตามปกติ
การแจกจ่ายยาผ่านไปได้ด้วยดี...
เป็นไปตามคาด เมื่อหมอเซียวแจกจ่ายยาโดยอ้างว่าเป็นยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านต่างพากันรับไว้แล้วกลืนลงคอไปแทบทันที ตอกย้ำว่าความเชื่อถือชองชาวบ้านซึ่งมีต่อนางและท่านหมอเซียวมีมากเพียงใด ผลตอบรับยังน่าพอใจมากเพราะชาวบ้านมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน เซียวอันหนิงทำหน้าที่กระจายความรู้เกี่ยวกับความสะอาดซึ่งต้องทำ มิฉะนั้นก็จะกลับมาเป็นซ้ำก็เป็นได้ ช่วงแรกชาวบ้านมิเข้าใจ แต่เมื่อทำไปแล้วได้ผลจึงเริ่มบอกต่อกันเองในหมู่ชาวบ้านจนวิธีการนี้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง
ตอนนี้นางกำลังคัดแยกสมุนไพร เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนยาของเราจะได้ผลนะเจ้าคะ”
“อืม ใช่”
แม้มีคนมารักษา ณ โรงหมออยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากการแจกจ่ายยาจะเริ่มต้นขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ ชาวบ้านรอบนอกซึ่งยังไม่ได้รับยาจึงยังคงเป็นโรคกันอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อได้รับข่าวว่าหากมาที่โรงหมอแห่งนี้จะหายจากโรค เซียวอันหนิงกับชายชราจึงต้องรับภาระหนักหนาในทุกวันอยู่เสมอ
วันรุ่งขึ้นมีข่าวว่าทางราชสำนักส่งหมอหลวงมาเพื่อบรรเทาทุกข์ชาวบ้านโดยมีหลี่จิ้งหานเป็นผู้คุมการทำงานและกำกับดูแล ภายในโรงหมอชั่วคราวจากราชสำนักมีเตียงเสริม แบ่งหน้าที่หมอหลวงเป็นสัดส่วน รับผิดชอบชาวบ้านห้าคนต่อหมอหลวงหนึ่งคน ทว่าเท่าที่สังเกตดูกลับพบว่าชาวบ้านไม่ได้ดูมีอาการอันใดเลวร้ายนัก แต่ก็ยังมีชาวบ้านที่เริ่มติดโรคระบาดเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ท่านหมอเจิ้งนึกแปลกใจ ตอนออกมาคาดว่าจะเห็นสถานการณ์เลวร้ายกว่านี้เสียอีก ทว่าความเป็นจริงกลับสวนทางพอควร
“ท่านราชครู ดูเหมือนสถานการณ์น่าจะพอควบคุมได้ มิใช่ว่าขุนนางบอกว่าที่นี่มีแต่คนเป็นหนักหรอกรึ”
หลี่จิ้งหานลูบคางท่าทางครุ่นคิด จู่ ๆ พลันนึกถึงโรงหมอซึ่งได้ยินมาจากข่าวในพื้นที่ “ได้ยินชาวบ้านเล่าลือกันว่ามีโรงหมอมาเปิดใหม่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้หายจากโรคระบาด มิแน่ใจว่าเพราะมีโรงหมอตั้งอยู่ก่อนแล้วจึงหายจากโรคกันไปพอสมควรหรือว่าสถานการณ์มิได้ร้ายแรงจริงถึงเพียงนั้น”
แม้สถานการณ์ดูไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดทว่าก็ยังมีชาวบ้านทยอยเข้ามาขอรับการรักษาจากโรงหมอของวังหลวงอยู่ดี เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามเซิน (ช่วงเวลา 15:00 – 16:59 น.) พวกเขาพบว่ามีชาวบ้านเข้ามารักษาเพียงประปราย การทำงานของโรงหมอหลวงจึงมิได้วุ่นวายเสียเท่าไหร่ หากมองจากสถานการณ์ตอนนี้ อีกไม่นานคงควบคุมโรคระบาดได้
ทางราชครูหนุ่มอดสงสัยเรื่องโรงหมออันเป็นที่เลื่องลือของชาวบ้านมิได้ ครุ่นคิดมาหลายชั่วยามว่าเป็นไปได้หรือที่โรงหมอชาวบ้านจะสามารถจัดการควบคุมโรคที่ขุนนางนั่งถกกันเป็นวัน ๆ ในท้องพระโรงได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ระหว่างเดินตรวจตราได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันเกี่ยวกับโรงหมอพอดี จึงได้หยุดฟังเสียก่อน
“ข้าได้ยินมาว่า โรงหมอที่อยู่ตรงหัวถนน แจกยาเป็นเม็ดสีขาว กินไปแล้วแค่ไม่กี่วันก็หายจากโรค นี่คนอื่น ๆ ก็ไปกันหมดแล้ว มิลองไปดูสักหน่อยเล่า”
หลี่จิ้งหานอดสงสัยมิได้เรื่องยาเม็ดสีขาว ทว่ามายืนคิดเองเช่นนี้มิสู้ไปให้เห็นกับตาเสียจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นจึงเดินลัดเลาะไปตามทางที่ชาวบ้านเอ่ยถึงกัน เมื่อมาถึงก็พบว่าที่นี่มีคนไข้เยอะกว่าโรงหมอหลวงมากนักหากแต่ไม่วุ่นวายเลย เขานึกสนใจจึงเดินเข้าไปหาผู้ที่พอจะช่วยเหลือได้ เขาพบชายชราผู้หนึ่งจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้าได้ยินชาวบ้านเล่าลือกันว่าที่นี่มียาเม็ดสีขาวที่สามารถรักษาชาวบ้านจากโรคระบาดได้ จริงหรือไม่”
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของชายชราแล้วก็อดรู้สึกคุ้น ๆ มิได้ ข้างกายชายชรามีสตรีนางหนึ่งดูงดงามอย่างมาก นางดูเยาว์กว่าเขา และยิ่งได้สบตานางก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด คนทั้งสองที่ได้มาพบกัลพาลพาให้คิดถึงผู้มีพระคุณซึ่งได้ช่วยเหลือเขาจากการถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เขาอยากตอบแทนสักครั้งหากแต่จนปัญญาเนื่องจากสตรีได้ปิดบังใบหน้าส่วนชายชรากลับใส่หมวกสานปิดลงมาครึ่งหนึ่งซ้ำยังมีผ้าคลุมอีกทำให้ระบุได้ยาก แม้ใจอยากตอบแทนเพียงไหนแต่จำไม่ได้ก็เพียงเท่านั้น
เขาครุ่นคิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าสายตาของเขาได้ไปตกที่ร่างอรชรโดยมิรู้ตัว
เซียวอันหนิงเมื่อรู้สึกถึงเหมือนมีสายตามาจับจ้องจึงได้หันมาพบกับบุรุษร่างสูงโปร่งแต่งการแบบคนราชสำนัก
“ขออภัยคุณชาย แต่ท่านคือ?”
หลี่จิ้งหานได้สติจึงหันมามองสบดวงตาชายชราแทน โดยมิได้ตอบคำถามของนาง แม้ใบหน้ายังเรียบเฉยเย็นชาองอาจทว่าน้ำเสียงกลับสุภาพไม่กดต่ำ “ข้ามีนามว่าหลี่จิ้งหาน ได้รับพระราชโองการให้มาช่วยเหลือชาวบ้านจากโรคระบาด ทว่าได้ยินจากชาวบ้านว่ามีโรงหมอมาตั้ง แจกจ่ายยาเป็นเม็ดสีขาวทำให้หายจากโรคได้ ในฐานะผู้แทน ข้าต้องการทราบเกี่ยวกับยาชนิดนั้น”
ชายชรายิ้มแย้มอย่างใจดี แม้ไม่รู้ว่าเป็นใครทว่าก็ยังยินดีแนะนำไป หากแต่ที่มาของยาประหลาดเหลือทนจึงจำต้องคิดเหตุผลขึ้นมารองรับที่มาของยานั้น โชคดีว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงสามารถเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ
“ยานี้เป็นข้าที่คิดค้นขึ้นมาจนสามารถรักษาโรคระบาดได้ ช่วงแรกมิแน่ใจนักเพราะเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก แต่ว่ามีชาวบ้านมาขอลองกินดูเพราะพวกเขาอาการแย่มาก กลายเป็นว่าตัวยามีสรรพคุณต้านโรคได้ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว จากนั้นจึงแจกจ่ายมาเรื่อย ๆ มิคิดว่าข่าวจะไปไกลถึงเพียงนั้น หากท่านต้องการเพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้าน ข้าย่อมยินดีมอบให้โดยไม่คิดแม้แต่อีแปะเดียว”
หลี่จิ้งหานฟังแล้วนับถือ นอกจากจะช่วยรักษาโดยคิดไม่แพงแล้วยังใจกว้างถึงขนาดมอบยาให้โดยไม่คิดเงิน “ขอบคุณท่านมาก แล้วข้าจะรายงานให้ฝ่าบาทได้ทรงทราบว่าได้ยารักษาโรคมาจากท่าน และเพราะมันถึงสามารถควบคุมโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว”
“มิเป็นไร ข้าเป็นแค่หมอชาวบ้าน เห็นคนเดือดร้อนย่อมต้องช่วยเหลือ”
สองศิษย์อาจารย์พากันกลับเข้าไปด้านใน เซียวอันหนิงเข้าไปในมิติแล้วเอายาเม็ดออกมาจำนวนมาก จัดเก็บใส่หีบห่อเรียบร้อยก็ค่อยนำออกมาให้เขา เมื่อยื่นไปให้พลันรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย ราวกับว่ามีลางสังหรณ์ร้องบอกว่าอีกไม่นานโชคชะตาจะหาเรื่องมาผลักนางไปสู่สถานการณ์อันไม่น่าพิสมัย
ทางหลี่จิ้งหานพอได้ยามาจากชายชราจึงขอบคุณอย่างสุภาพ รีบเอายากลับมาให้หมอหลวงทดลองแจกจ่ายเพื่อดูสรรพคุณ อยากรู้ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ โรงหมอหลวงติดตามอาการชาวบ้านอย่างใกล้ชิดก่อนตกตะลึงเมื่อพบว่าเพียงไม่นาน ชาวบ้านก็ดีขึ้นจริง ๆ สรรพคุณของยาเป็นของจริง ทำเอาหมอหลวงนึกอยากได้หมอเซียวและลูกไปเข้าร่วมสำนักหมอหลวงในวัง ภายในระยะเวลาไม่นานก็สามารถควบคุมโรค นับว่าผลลัพธ์ของการเชื่อคำชาวบ้านในคราวนี้ช่วยชีวิตผู้อื่นได้อย่างมากมายจริง ๆ
ภายในจวนตระกูลหลี่ บัดนี้เกิดความวุ่นวาย บ่าวไพร่ในจวนวิ่งเข้าออกเรือนฮูหยินน้อย นางปวดท้องคลอดตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง หมอทำคลอดถูกตามมาถึงสามคน พวกเขากำลังพยายามทำคลอดให้ฮูหยินน้อยด้วยความระมัดระวัง รู้ดีว่าห้ามเกิดความผิดพลาดโดยเด็ดขาด หากฮูหยินน้อยเป็นอะไรไป ทั้งสามชีวิตคงได้ปลิดปลิวตามไปด้วยอย่างแน่นอน “ฮูหยินท่านเบ่งอีกนิดเจ้าค่ะ” ร่างอุ้ยอ้ายกลั้นใจกดความเจ็บปวด เพิ่มลมหายใจเพื่อออกแรงจะคลอดให้ได้ ไม่คิดว่าการคลอดจะเจ็บปวดแทบขาดใจเช่นนี้ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เสียงหวานกรีดร้องด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเป็นระลอกยามมีการบีบตัวของช่องท้องและช่องคลอดจึงต้องผ่อนลมหายใจเป็นระยะ บ่าวในจวนวิ่งยกน้ำ คอยเอายาต้มมาเปลี่ยน เตรียมยกน้ำแกงนกพิราบเพื่อให้ฮูหยินน้อยซดจะได้มีเรี่ยวแรง หลี่จิ้งหานเดินไปมาด้วยความกังวล เสียงภรรยาร้องด้วยความเจ็บปวดดังหลายชั่วยามทำให้เจ็บปวดใจ นึกโทษตัวเองอย่างมากว่าไม่น่าคิดมีบุตรเลย ถ้าย้อนเวลาไปได้จะไม่ให้ภรรยาตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด หลี่ลี่ฮวาก็ไม่ต่างกัน นางเป็นห่วงสหาย ด้วยยุคนี้ความเจริญทางการแพทย์ต่ำมาก สตรีเสียชีวิตจากการตั้งครร
ภายในเรือนตอนนี้มีร่างของฮูหยินน้อยนอนทอดกายซีดเซียวอยู่ ด้วยอาเจียนมาตลอดหลายวันจึงต้องตามหมอมาดูอาการว่าเจ็บป่วบหรือไม่ เซียวอันหนิงรู้สึกว่าอาจตั้งครรภ์ก็เป็นได้ ประจำเดือนขาดไปสองเดือนแล้ว นางไม่ได้คุมกำเนิดมาสักพักแล้วและสามีก็มิเคยว่างเว้นต่อเรื่องนั้นเลยสักวัน จึงมีโอกาสจะตั้งครรภ์ได้สูงทีเดียว “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว” หมอชราประจำตระกูลจับชีพจรฮูหยินน้อย พบว่าเป็นชีพจรมงคลแต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามีหนึ่งหรือสองคน คงต้องตรวจอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ซึ่งหลี่จิ้งหานพอรู้แบบนั้นก็แทบถลาไปหาภรรยาด้วยความดีใจ “ให้รางวัลท่านหมอ ซุนจางส่งท่านหมอกลับจวน น้องหญิง เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้วนะ” โซ่ทองคล้องใจที่จะทำให้นางอยู่กับเขาตลอดไป ในที่สุดก็มาเสียที “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ดีใจมากหรือเจ้าคะ” “พี่ย่อมดีใจเพราะเป็นลูกของเราสองคน” เดิมทีหลี่จิ้งหานมิได้ต้องการมีบุตร แต่เมื่อยามนี้การมีบุตรคือพันธะอันทรงพลังเพียงอย่างเดียวซึ่งพอให้วางใจได้ว่านางจะไม่หนีหน้าหายไป เ
“ท่านพี่ ข้าว่าท่านอาจารย์ต้องรู้ว่าข้าไม่ใช่คนในยุคนี้ แล้วท่านอ้อนวอนอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่จิ้งหานคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดในความฝัน ภาพก่อนสิ้นใจในโลกก่อน มีจิตใจมุ่งมั่นแต่จะตามหาเซียวอันหนิงจึงนำพานางมาหาเขาซึ่งเป็นการย้อนเวลามานับพันปีเลยทีเดียว “พี่ฝันถึงเรื่องหนึ่ง ในโลกที่จากมาเหมือนกับว่าจะชื่อฮ่าวหยวน หลังจากเสียชีวิตในโลกก่อนถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่ รูปลักษณ์ก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าจึงจำพี่มิได้” “ท่านพี่ คือ รุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรืือเจ้าครุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรือเจ้ “ใช่ หลังจากโดนชนพี่ก็อ้อนวอนต่อสวรรค์ว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้เจอเจ้าอีกครั้ง” “แล้วท่านพี่จำข้าไม่ได้หรือ ในเมื่อท่านพี่คือฮ่าวหยวน เราทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน ไม่มีทางที่จะลืมไปได้ง่าย ๆ นะ” “ข้ามาเกิดใหม่ ไม่มีความทรงจำเดิมเหลืออยู่ แต่กลับรู้สึกรักเจ้าตั้งแรกเห็น หวงแหนจนแทบบ้า ก็เคยสงสัยว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้า” “เป็นเช่นนั้น ท่าน- ท่านบอกว่าตามหาข้าหรือ” “ใช่ พี่ตามหาเจ้ามาตลอด ตั้งแต่เจ้าจากไปก็ตามหาทุกที่แต่ไม่เจอ จนส
องค์ชายหม่าซานเปียวในนามพ่อค้ามารับของที่สั่งเอาไว้บริเวณหน้าร้านของเซียวอันหนิงเมื่อครบตามกำหนดสามวัน สินค้าทั้งหมดมีราว ๆ สองเกวียน มูลค่าถึงห้าพันตำลึงทองเลยทีเดียว “คุณชายนำสินค้ามากมายเหล่านี้ไปขายที่ใดหรือเจ้าคะ” เซียวอันหนิงถามเพราะสินค้าที่นำมามันเยอะจริง ๆ ด้วยเป็นสินค้าที่ขายให้เป็นสตรีเป็นส่วนใหญ่จึงยิ่งสงสัยอย่างสมุนไพรยังพอเข้าใจได้แต่พวกเครื่องหอมอื่นใดดูจะเกินความเข้าใจของนางไปมากทีเดียว “ข้ามีร้านค้ามากมาย สามารถเอาสินค้าไปลงได้ทุกที่ ถ้าสินค้าขายดีจะมาติดต่ออีกครั้ง” หม่าซานเปียวไม่ได้โกหก พระองค์มีร้านค้ามากมายในมือจริง ๆ ในแคว้นเหลียง สินค้าเพียงเท่านี้แจกจ่ายไปไม่นานก็มีที่ให้ขายแล้ว เซียวอันหนิงได้ยินเช่นนั้นมีหรือจะไม่ดีใจ นางรีบยิ้มให้เขาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ายินดีเสมอเจ้าค่ะ” องค์ชายหม่าซานเปียวเห็นแล้วยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าพระองค์ดึงดันคงเกิดการบาดหมางระหว่างสองแคว้น เมื่อสามีของนางเป็นราชครูที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องมองสีหน้า เสด็จพ่อก็คงไม่เห็นด้วยแน่นอนถึงนาง
หลังจากถูกแคว้นเหลียวปฏิเสธ องค์ชายครุ่นคิดถึงการไปเยือนแคว้นเหลียวอย่างเงียบ ๆ มีข่าวว่าสตรีผู้หนึ่งช่างเก่งกาจ สามารถรักษาคนป่วยได้ทุกโรค มีสมุนไพรมากมายเหมือนกับว่าใช้ไม่มีวันหมด นางแต่งงานกับท่านราชครูของแคว้นแต่ยังไม่มีบุตรธิดา ตอนนี้ร้านค้าที่นางเปิดก็รุ่งเรืองจนเป็นที่กล่าวขานจนสะพัดไกลถึงแคว้นเหลียง นั่นจึงยิ่งทำให้ต้องการรู้จักสตรีผู้นี้ยิ่งนักว่าจะเก่งกาจสมคำร่ำลือหรือไม่ เขาต้องการเห็นหน้านางสักครั้ง และการปฏิเสธครั้งนั้นก็เป็นความคิดของนางเช่นกัน ข้อความการต่อรองช่างฉลาดเสียจริง ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดความต้องการขององค์ชายได้ สตรีผู้นี้ช่างเก่งกล้าเสียจริง ร่างบางไปร้านค้าเฉกเช่นทุกวัน วันนี้ได้มากับซิ่วอี้เพียงสองคนเพื่อมาดูว่ามีสิ่งใดขายหมดไปแล้ว ชาดที่นำออกมาขายก็ขายดีเข่นกัน นางสอนคนดูแลเสมอให้จดจำว่าสีไหนเหมาะสมกับใบหน้าสตรีแบบใด เมื่อทาชาดออกมาแล้วจะยิ่งส่งให้ใบหน้าสตรีผู้นั้นงดงามยิ่งขึ้น สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ร่างสูงกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นราชนิกูล แต่งกายเหมือนคุณชายทั่วไปในเมืองหลวงนั่นก็คืออง
“รุ่นพี่คะ เอ่อ น้ำค่ะ เหนื่อยไหมคะ” “เมื่อไหร่คุณถึงจะเลิกตามตอแยผมเสียที ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ” “รุ่นพี่โกรธเหรอคะ ขอโทษนะคะ ฉันแค่...เป็นห่วง” “ไม่ได้โกรธแต่รำคาญ เข้าใจไหม คุณมาตามตอแยผมสามปีแล้ว ถึงไม่มีใคร ผมก็ไม่มีทางชอบคุณ” ภาพในความฝันมีบุรุษและสตรียืนพูดคุยกัน แต่ชายผู้นั้นไม่ได้ชอบสตรีซึ่งคอยตามตอแย ภาพได้ตัดมาตอนสตรีผู้มีใบหน้าเหมือนกับภรรยาวิ่งร้องไห้ออกไปด้วยความเสียใจกับคำพูดทำลายน้ำใจ ต่อมาภาพตัดไปอีกครั้งกลายเป็นภาพของชายผู้นั้นเฝ้าตามหาสตรีนางนั้น ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งทว่าคราวนี้เขาถูกสิ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งชนจนร่างกระเด็น ก่อนสิ้นใจได้เอ่ยชื่อ เซียวอันหนิง เหตุใดชายผู้นั้นถึงใฝ่หาสตรีที่ตนเองขับไล่ไสส่งไปเล่า ไม่เข้าใจเลย ทว่าภาพต่อมากลับน่าตกใจยิ่งกว่า ชายผู้นั้นได้มาเกิดเป็นคุณชายตระกูลหลี่ และภาพชีวิตในวัยเยาว์ของเขาก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ฉับพลันหลี่จิ้งหานสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อโทรมกาย หากในฝันนั่นเป็นความจริง ก็หมายความว่าชายผู้นั้นคือเขาเอง และภรรยาในตอนนี้คือสตร







