หลังจากวางยาครบเจ็ดวัน เหล่าหมอที่ยังคงมาทำการรักษาคนในตระกูลฉินต้องตกใจเมื่อมีคนเริ่มตายไปทีละคนด้วยอาการเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเขาตรวจร่างที่เพิ่งตายไปก็ไม่พบว่ามีพิษใดอยู่ในร่างแม้แต่น้อย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับหมออย่างพวกเขาที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนตระกูลฉินที่กำลังตายไปทีละคนๆ อย่างทรมานได้เลย
ข่าวนี้ถูกแพร่ออกไปโดยผู้ช่วยหมอที่มารักษาคนตระกูลฉินในเวลาไม่นานและฮ่องเต้ก็ได้รับรายงานเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงหวาดกลัวมากว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงส่งองครักษ์และหมอหลวงไปตรวจศพคนตระกูลฉินเพื่อความแน่ใจว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไรกันแน่
หมอหลวงหลายคนต่างตรวจศพ น้ำและอาหารที่คนในตระกูลฉินกินเข้าไปก็ไม่พบว่ามีพิษแต่อย่างใด ด้วยความจนใจ หมอหลวงได้แต่กลับไปรายงานฮ่องเต้ตามที่พวกเขาตรวจสอบได้
ปัง!!!
“พวกเจ้าช่างไร้สามารถนัก! หากไม่รู้สาเหตุการตายของคนทั้งตระกูลฉินแบบนี้ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสักวันในวังจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้น่ะ!”
“ขอฝ่าบาทได้โปรดระงับอารมณ์พะย่ะค่ะ พวกเราตรวจสอบทุกอย่างแล้วจริง ๆ หากมีการวางยาพิษตามการสันนิษฐานของพวกกระหม่อม นี่ก็นับว่าเป็นพิษที่พิสดารมากพะย่ะค่ะ ตั้งแต่เกิดมาพวกกระหม่อมก็ไม่เคยพบเจอพิษชนิดนี้มาก่อน”
“บัดซบ!!! ใครกันที่โหดร้ายถึงขนาดกล้าวางยาคนทั้งตระกูลเช่นนี้”
หมอหลวงกับองครักษ์ต่างก้มหน้าลงด้วยไม่รู้จะกราบทูลอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีเบาะแสเช่นกันว่านี่เป็นการวางยาพิษจากจุดไหน มีเพียงร่างไร้วิญญาณของคนในตระกูลฉินกว่าร้อยคนเท่านั้นที่เป็นหลักฐานว่าพวกเขาตายไปแล้วจริง ๆ
ข่าวการตายของคนตระกูลฉินถูกกล่าวขานว่าเป็นการตายที่แปลกประหลาดอยู่มากกว่าหนึ่งเดือน ทุกคนต่างคิดว่าคนที่ฆ่าพวกเขานั้นจะต้องมีความแค้นอันใหญ่หลวงจึงได้ทำเช่นนี้ ส่วนโจวเมี่ยวเมี่ยวผู้ลงมือนั้นก็หายออกไปจากเมืองหลวงหลังจากทราบข่าวการตายของคนทั้งหมดในวันที่สองแล้ว
ระหว่างทางกลับหุบเขา โจวเมี่ยวเมี่ยวทำตามสัญญาโดยรับหญิงสาวที่นางช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้ให้ติดตามนางไปด้วย กลุ่มหญิงสาวทั้งหมดมีมากถึง 12 คน แต่ละคนต่างนำสัมภาระติดตัวมาเท่าที่มีเท่านั้น พวกนางเป็นเพียงหญิงสาวอาภัพที่ถูกบ้านเดิมขายให้ผู้ชายน่ารังเกียจและชอบทุบตีพวกนาง ทำให้พวกนางเกือบเอาชีวิตไม่รอดหากไม่ได้ผู้มีพระคุณอย่างโจวเมี่ยวเมี่ยวผ่านมาเห็นเข้าและช่วยเหลือพวกนางเอาไว้
“หากพวกเจ้าเหนื่อยเมื่อไหร่ก็บอกข้าเล่า อย่าได้เกรงใจ พวกเจ้ายังไม่ได้ฝึกฝนวิชากับข้า ดังนั้นจงดูแลร่างกายให้ดีเสียก่อน”
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
หญิงสาวทั้ง 12 ต่างรับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกนางถูกทรมานมาหลายปีกว่าที่จะหลุดพ้นมาได้ เพียงแค่การเดินทางแค่นี้ไม่ทำให้พวกนางลำบากนัก
โจวเมี่ยวเมี่ยวเห็นพวกนางไม่สนใจความลำบากที่ได้รับก็นึกชื่นชม นางมอบยาแก้พิษก่อนเข้าไปยังหุบเขาพิษให้กับทุกคนแล้วเดินนำพวกนางเข้าไปภายในอย่างสบายใจ ตอนนี้นางกลับมาอยู่เป็นเพื่อนลูกชายแล้ว อีกทั้งยังมีคนมาอยู่เพิ่มด้วยอีกก็นับว่าไม่เลวแล้วสำหรับชีวิตที่เหลือของนาง
หญิงสาวทั้ง 12 คนที่ติดตามมานึกไม่ถึงว่านายหญิงจะมาอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ แต่ในเมื่อพวกนางตัดสินใจแล้วก็ไม่คิดที่จะจากไป
“พวกเจ้าช่วยกันสร้างที่พักก่อนเถอะ ทางด้านโน้นมีป่าไผ่อยู่ มีดมีเพียงเล่มเดียวที่นี่ พวกเจ้าก็แบ่งหน้าที่ช่วยกันทำไปนะ หากต้องการให้ข้าช่วยอะไรก็เรียกได้”
“นายหญิงไม่ต้องลำบากเจ้าค่ะ พวกเราทำได้”
“อืม.. เช่นนั้นข้าจะไปหาสัตว์ป่ามาทำอาหารให้พวกเจ้า อย่าลืมยาแก้พิษให้โรยที่ตัวเอาไว้ด้วยล่ะ ที่นี่สัตว์พิษมีไม่น้อย”
“ขอบคุณนายหญิงที่เตือนเจ้าค่ะ”
หญิงสาวทั้งหมดแยกย้ายกันไปหาไม้มาทำที่พักและแบ่งงานกันทำเชือกมัดท่อนไม้สำหรับทำกระท่อมที่พัก ชื่อของหญิงสาวทั้งหมดนั้นโจวเมี่ยวเมี่ยวสอบถามมาในระหว่างการเดินทางแล้ว ซึ่งมีซิ่วหลาน เหมยเซียง หยูเฟิน ไฉ่หยุน เยว่เอ๋อ จินฮวา ซูฉิน ชุนหยาน ฉิวจู้ ลี่ฮวา เป่าจู้และจิงฟาง
โจวเมี่ยวเมี่ยวใช้วิชาตัวเบาเดินทางไปยังป่าอีกด้านหนึ่งซึ่งมีสัตว์ป่าทั่วไปอาศัยอยู่ไม่น้อย ป่าแห่งนั้นไม่มีสมุนไพรพิษทำให้พวกมันอาศัยอยู่ได้ นางเคยสำรวจป่ารอบบริเวณมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาพิษได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องใช้เงิน
หนึ่งปีผ่านไป
หญิงสาวทั้งหมดต่างได้รับการสอนสั่งวิชาต่าง ๆ จากโจวเมี่ยวเมี่ยวจนพอที่จะดูแลตัวเองได้บ้างแล้ว ถึงแม้พลังลมปราณพวกนางจะอ่อนด้อย แต่การใช้พิษของทุกคนอยู่ในขั้นที่ไร้ร่องรอยแล้ว พวกนางเคยคุยกันว่าอยากทำยาพิษและนำไปขายเพื่อหาค่าใช้จ่ายเอาไว้ซื้อหาเสื้อผ้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ พวกนางจึงพากันไปขออนุญาตโจวเมี่ยวเมี่ยวที่ตอนนี้ถูกทุกคนเรียกว่าท่านอาจารย์มานานแล้วในทันที
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ พวกเราคิดที่จะนำยาไปขายในเมือง ท่านอาจารย์คิดอย่างไร”
“หืม? พวกเจ้าต้องการใช้เงินหรือ?”
“พวกเราอยากหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าให้อาจารย์กับสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ บ้างเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ตามใจพวกเจ้าเถิด อย่างไรยาพิษที่พวกเจ้าทำขึ้นมาก็ไม่ได้มีพิษร้ายแรงนัก เจ้าอย่าลืมขายยาแก้พิษด้วยเล่า ไม่เช่นนั้นคนซื้อคงลำบากหากไม่มียาถอนพิษ”
“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
“เอ่อ… ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านไม่คิดจะรับศิษย์เพิ่มหรือเจ้าคะ” ซูฉินเอ่ย
“ข้าไม่ต้องการหรอก แค่มีพวกเจ้าเป็นศิษย์สายตรง เพียงแค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
“ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าในแคว้นยังมีคนอย่างพวกข้าไม่น้อย หากพวกเขาสามารถเรียนรู้เรื่องพิษและแก้แค้นได้ด้วยตัวเองจะดีหรือไม่เจ้าคะ” ไฉ่หยุนกล่าวเสริม
“หากพวกเจ้าอยากรับศิษย์ก็รับมาเถอะ แต่ข้าจะสอนแค่พวกเจ้าเท่านั้น”
“ขอบคุณอาจารย์ที่อนุญาตเจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกข้าขอลงจากเขาสักหลายวันเพื่อขายยาและซื้อสิ่งของกลับมาที่นี่ด้วยนะเจ้าคะ” เยว่เอ๋อกล่าว
“ได้สิ เรื่องศิษย์คนอื่นหากพวกเจ้ารับมาก็ให้พวกเขาสร้างที่อยู่รอบนอกที่พักของพวกเจ้าก็แล้วกัน ข้าอยากอยู่อย่างสงบ ๆ”
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เป่าจู้กับคนอื่น ๆ รีบรับคำ
“พวกเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ จะได้รีบลงจากเขา”
ศิษย์ทั้ง 12 คนของโจวเมี่ยวเมี่ยวรับคำพร้อมกัน ก่อนจะแยกย้ายเข้ากระท่อมของตนเองเพื่อเตรียมยาไปขาย ยาพวกนี้เป็นยาที่พวกนางหัดปรุงขึ้นมาโดยมีอาจารย์เป็นผู้สอนมาตลอดหนึ่งปี ถึงแม้ว่าจะมียาไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะหาเงินมาได้คนละไม่น้อย พวกนางต่างคิดกันว่าจะซื้อขวดยาแทนการใช้กระบอกไม้ไผ่ในการบรรจุ ครั้งนี้พวกนางจึงตั้งใจที่จะแยกกันเป็นกลุ่มละสามคนเพื่อออกเดินทางไปคนละทิศแล้วค่อยมาพบกันอีกครั้งที่ตีนเขาในอีก 10 วันต่อมา
โจวเมี่ยวเมี่ยวมองส่งศิษย์ของนางทั้งหมด ก่อนจะกลับเข้ากระท่อมเพื่อฝึกฝนพลังปราณต่อไป ตอนนี้นางมีพลังปราณขั้นสูงแล้ว วิชาที่นางคิดค้นขึ้นนั้นสามารถช่วยทำให้ร่างกายของนางทนทานต่อพิษนับพันชนิดได้อย่างสบาย อีกทั้งเลือดของนางยังเป็นยาแก้พิษชั้นดี ทำให้โจวเมี่ยวเมี่ยวไม่ค่อยสนใจที่จะปรุงยาแก้พิษต่าง ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีก
สายวันต่อมา หยางชิงหลงได้รับแจ้งจากทหารว่าเจ้าเมืองตงหยางกับฮูหยินขอเข้าเฝ้า พระองค์ที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยให้หลับหลังดื่มนมอยู่พยักหน้าอนุญาต ให้พวกเขาเข้ามาพบได้ อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ยังไม่อยากเข้าเมืองไปสอบถามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาของราษฎรในช่วงที่บุตรชายเพิ่งคลอดสักเท่าไหร่นัก“ถวายบังคมไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยพะย่ะค่ะ/เพคะ” จื้อไฉ่กับฮูหยินค้อมกายคำนับทั้งสองพระองค์ที่นั่งรออยู่พร้อมไท่จื่อน้อยในอ้อมแขนไท่จื่ออย่างนอบน้อม“พวกท่านตามสบายเถิด เชิญนั่งก่อน” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“กระหม่อมนำของรับขวัญไท่จื่อน้อยมามอบให้พะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีกับไท่จื่อและไท่จื่อเฟยด้วยพะย่ะค่ะ” จื้อไฉ่ยื่นกล่องของขวัญให้ซุนเหยาที่อยู่ในกระโจมเพื่อนำไปมอบให้ไท่จื่อเฟยดูแทนไท่จื่อที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยอยู่“ขอบใจพวกเจ้ามาก เรื่องเมืองตงหยางที่มีปัญหาสุขภาพ เราให้หมอหลวงช่วยกันหาวิธีรักษาอยู่ ท่านเจ้าเมืองพาราษฎรที่ป่วยหนั
รุ่งเช้าวันต่อมา เหล่าหมอหลวงมาขอพบไท่จื่อเฟยเพื่อพูดคุยเรื่องขั้นตอนการรักษาชาวเมืองอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเที่ยงวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทานอาหารและปล่อยให้ซินเมี่ยวกินข้าวกับหยางชิงหลงในกระโจม“น้องหญิงอย่าหักโหมงานมากนะ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะคลอดแล้ว พี่ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไปนัก” หยางชิงหลงตรัสระหว่างคีบอาหารให้ซินเมี่ยว“ทราบแล้วเพคะ เสด็จพี่อย่ากังวลเลย น้องรู้ดีว่าต้องพักผ่อนให้มากเพคะ”หลังอาหารเที่ยง หยางชิงหลงเดินไปยังกระโจมของเหล่าหมอหลวงเพื่อสอบถามถึงขั้นตอนการรักษาต่อ พระองค์จะได้สั่งให้องครักษ์เข้าไปแจ้งเจ้าเมืองให้เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม เพราะในขบวนของพระองค์ถึงจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ก็ถูกใช้ไปมากแล้วก่อนหน้านี้ หากต้องไปหาซื้อยังเมืองอื่นก็คงต้องใช้เวลาเดินทางอีกมากซินเมี่ยวนั่งอ่านตำรารอให้อาหารย่อยเกือบครึ่งชั่วยาม ก่อนที่นางจะนอนพักผ่อนรอทานอาหารเย็นและออกไปเดินเล่นกับหยางชิงหลงเหมือนทุกวัน
สองวันต่อมา ต้วนฟางเหยาส่งรายงานสรุปปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เขาคิดขึ้นมา หยางชิงหลงและซินเมี่ยวนั่งอ่านรายงานอย่างละเอียดก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นับว่าต้วนฟางเหยาทำงานได้ดีสมกับที่ฝ่าบาทส่งมาช่วยเหลือราษฎรจริง ๆ“วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้าเหมาะสมแล้ว เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็สามารถเบิกได้กับองครักษ์ซุนเหยา” ไท่จื่อตรัส“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำเรื่องเบิกกับท่านซุนเหยาตามรับสั่ง”“เจ้าเมืองต้วน ที่ค่ายทหารนอกเมืองของเรามีต้นอ่อนสมุนไพรรักษาบาดแผล ท่านลองดูว่ามีหมู่บ้านใดที่เหมาะสมจะปลูกเป็นอาชีพและส่งออกไปยังเมืองอื่นด้วยก็แล้วกันนะ เราอยากให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นนอกจากการทำเกษตร”“พะย่ะค่ะไท่จื่อเฟย เรื่องนี้กระหม่อมจะปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านและมารายงานให้พระองค์ทราบอีกครั้ง”ทั้งสองพระองค์ต่างพยักหน้าอย่างพอใจกับการทำงาน
ซินเมี่ยวกลับไปถึงที่ว่าการเมืองก็กระซิบบอกเรื่องที่นางพบกับไท่จื่อทันที“เจ้าคิดว่าเราสร้างที่อยู่ให้พวกเขาและสอนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้พวกเขาหารายได้เองจะดีหรือไม่ พี่ไม่อยากให้พวกเขาเป็นขอทานอีก”“ก็ดีนะเพคะ รบกวนเสด็จพี่สั่งทหารช่วยกันสร้างที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พี่จะสั่งการทหารช่างให้รับหน้าที่นี้เอง”“ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ พระองค์ลองเสวยขนมนี่ดูเพคะ อร่อยมากเลย”ซินเมี่ยวยื่นขนมหน้าตาธรรมดาส่งให้หยางชิงหลง พระองค์รับมาชิมดูก็พยักหน้าอย่าพอใจเช่นกัน ถึงแม้หน้าตาของขนมนั้นดูไม่ดีนัก แต่รสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ซินเมี่ยวยังเล่าถึงสถานการณ์ภายในเมืองที่นางเดินสำรวจดูให้กับหยางชิงหลงฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องชาวเมืองที่มีวาสนาได้พบทั้งสองพระองค์ต่างตื้นตันใจเป็นอันมาก ทั้งที่ความจริงทั้งสองพระองค์ไม่ต้องมานั่งที่
สามสัปดาห์ต่อมาขบวนใหญ่ของไท่จื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเสวียนแล้ว แม่ทัพรักษาชายแดนและเจ้าเมืองเสวียนคนปัจจุบันอย่างหานเซี่ยต่างรอต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม นั่นเพราะแม่ทัพรักษาชายแดนได้รับรายงานว่ามีขบวนเดินทางพร้อมทหารจำนวนมากใกล้จะมาถึงเมืองเสวียน พวกเขาจึงต้องรีบออกมารับหน้าทั้งที่ไม่มีใครมาแจ้งพวกเขาสักนิดว่าเป็นผู้ใดมาถึงกันแน่“ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยมาถึงแล้ว!!!” ซุนเหยาใช้เสียงจากพลังปราณเอ่ยขึ้นเสียงดังแม่ทัพรักษาชายแดนและหานเซี่ยรีบคุกเข่าลงเมื่อได้ยิน พวกเขาเพิ่งรู้ว่าผู้มาขบวนใหญ่นี้เป็นถึงรัชทายาท บรรดาชาวเมืองที่ไม่ใคร่จะอยู่สบายนักเพราะเจ้าเมืองหานเซี่ยนเองต่างก็คุกเข่าลงเช่นกัน พวกเขายังไม่รู้ว่าไท่จื่อที่ว่ามานี้จะช่วยเหลือพวกเขาจากความหน้าเลือดของเจ้าเมืองได้หรือไม่ แต่ถึงจะมีความหวังเพียงน้อยนิด พวกเขาก็อยากจะลองดูว่าชีวิตหลังจากนี้จะดีขึ้นหรือไม่“พวกเจ้าตามสบาย” เสียงหยางชิงหลงดังออกจากรถม้า กังวานไปทั
การเก็บเกี่ยวสมุนไพรในช่วงสองสามวันมานี้ทำให้ซินเมี่ยวได้รับโสมป่าอีกหลายต้นกลับไปด้วย ส่วนฎีกาของไท่จื่อนั้นถูกส่งไปได้สามวันแล้วเช่นกัน พระองค์คาดการณ์เวลาเป็นอย่างดีว่าม้าเร็วจะมาถึงขบวนของพระองค์ก่อนเดินทางไปถึงเมืองเสวียนได้ไม่ยาก ในฎีกานั้นพระองค์ยังขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่และแม่ทัพคนใหม่มาประจำการที่ชายแดนด้วยครึ่งเดือนต่อมา ขบวนของไท่จื่อเหลือระยะทางไปยังเมืองเสวียนอีกเพียงห้าร้อยลี้เท่านั้น ขณะที่พักค้างแรมริมทางอยู่นั้นกลับมีม้าเร็วกลับมาที่ค่าย ส่งข่าวว่าขบวนเจ้าเมืองคนใหม่และแม่ทัพหยวนพร้อมกำลังทหารอีกห้าพันนายกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว“เสด็จพ่อเหตุใดจึงนำกำลังทหารมามากนักเล่า” หยางชิงหลงตรัสถามทหารส่งข่าว“ฝ่าบาทกังวลว่าจะมีทหารเก่าที่ภักดีกับแม่ทัพคนเก่าก่อเรื่องพะย่ะค่ะ พระองค์จึงส่งทหารมาเพิ่มให้”“อืม เช่นนั้นเราจะตั้งค่ายรอพวกเขาที่นี่อีกสองวัน เจ้ากลับไปรายงานแม่ทัพหยวนก่อน