‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน
“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด
‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’
“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว
“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออก
ท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน
‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’
“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า โดยมีสาวใช้ช่วยประคองไม่ให้ล้ม
‘ฉินอ๋องท่านเองก็หวั่นไหวเป็นเช่นกันสินะ’ เยี่ยนเยว่ฉีคิดในใจ พร้อมส่งสายตาหวานซึ้งให้ผู้ที่นางติดค้าง
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว เจ้าต้องไปเตรียมตัวทำการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ไม่ใช่หรือไร หน้าตาเช่นนี้คงดูไม่งามเท่าใดนัก” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ภายในในใจคิดสวนทาง ยิ่งผ่านการร้องไห้ ริมฝีปากอวบอิ่มสั่นระริกของนางยิ่งดูน่าครอบครอง แต่เขายังไม่รีบร้อน เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋องอยู่ดี
‘ความจริงเจ้างดงามมากต่างหาก ข้าอยากจะกอดปลอบประโลมเจ้าเสียเหลือเกิน’
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ข้าน้อยขอทูลลา” สองนายบ่าวกล่าวอำลาพร้อมเพรียง แล้วรีบประคองกันเดินจากไปในทันที
มู่เลี่ยงหรงมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ไม่วางตา นางดูบอบบางเหมือนคุณหนูผู้อ่อนแอ กิริยามารยาทงามชดช้อย เห็นเช่นนี้แล้วเขาค่อยรู้สึกเต็มใจที่ต้องยกตำแหน่งหวางเฟยให้บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้นคนงามจากไปไกลแล้ว มู่เลี่ยงหรงพบขลุ่ยหยกสลักงดงามเลาหนึ่งตกอยู่ตรงที่นางนั่งคุกเข่าเมื่อครู่ เขาก้มลงเก็บขึ้นมาแล้วพิจารณาขลุ่ยเลานี้อย่างละเอียด พบว่าเป็นขลุ่ยหยกสลักที่สร้างอย่างประณีตงดงาม
หยกสีเขียวน้ำงามเรียบลื่นเปล่งประกาย เขาจึงไม่ได้ที่จะลองเป่าดูสักครั้ง แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย ท่านอ๋องหนุ่มจึงลงความเห็นว่าผู้ที่สร้างขลุ่ยเลานี้น่าจะไม่ใช่ช่างฝีมือธรรมดาเสียแล้ว
“แปลกจริง ทำไมไม่มีเสียง ซิ่นเฉิงเจ้ารู้จักขลุ่ยแบบนี้หรือไม่” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยถาม ทันใดนั้นองครักษ์ในชุดสีเทาที่เร้นกายอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น
“เรียนท่านอ๋อง นี่ต้องเป็นขลุ่ยหยกพลิ้วพราย หนึ่งในงานสร้างของปรมาจารย์ไป่หลงจิวไม่ผิดแน่”
“หากเป็นของปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์ ย่อมต้องเป่าแบบธรรมดาไม่ได้สินะ”
“ท่านอ๋องทรงปรีชา ผู้น้อยพอจะทราบมาว่าต้องใช้กำลังภายในควบคู่ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่เลี่ยงหรงลองทำตามคำแนะนำของซิ่นเฉิงปรากฏว่ามีเสียงออกมาจริง ๆ แต่ไม่ไพเราะเอาเสียเลย หากจะเป่าให้ได้ดีคงต้องเรียนรู้เคล็ดลับและฝึกฝนอย่างตั้งใจเป็นเวลานานพอดู
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่านี่คือขลุ่ยหยกพลิ้วพราย แล้วทำไมมันถึงมาอยู่กับคุณหนูตระกูลเยี่ยนได้ หากขลุ่ยนี้ต้องใช้กำลังภายในเป่า เราเกรงว่ามันจะเป็นอาวุธ”
“เรียนท่านอ๋อง เรื่องคุณหนูเยี่ยนเป็นศิษย์ของไป๋หลงจิวไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด ขลุ่ยเลานี้เขาทำขึ้นให้นางโดยเฉพาะ และกระหม่อมไม่เคยได้ยินว่าบุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่ใช้วิชาขลุ่ยโลกันต์ได้”
“ไม่เคยได้ยินก็ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว”
“กระหม่อมตรวจสอบความปลอดภัยภายในงาน โดยมิได้ละเลยแม้แต่น้อย การแสดงนี้ถูกแจ้งไว้อย่างเปิดเผย ตอนอยู่เมืองหานจีคุณหนูเยี่ยนก็แสดงเพลงขลุ่ยพลิ้วพรายแล้วหลายครั้ง อีกทั้งนางเรียนแค่วิชาดนตรีไม่ได้เรียนวิชาขลุ่ยโลกันต์ ถึงต้องใช้กำลังภายในแต่ก็เพียงเล็กน้อยเพื่อความไพเราะกังวาน”
“ซิ่นเฉิง นางอาจจะรอเวลาที่เหมาะสมเช่นวันนี้อยู่ก็ได้ หากเกิดอะไรขึ้นเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”
“กระหม่อมมั่นใจว่าตรวจสอบละเอียดแล้ว ที่สำคัญวิชาขลุ่ยโลกันต์ต้องใช้ขลุ่ยโลกันต์บรรเลงเท่านั้น ในเมื่ออาวุธร้ายแรงได้ถูกผนึกไปแล้ว ไป่หลงจิ่วก็รับสอนเพียงวิชาดนตรีธรรมดามานานหลายปี ทางราชสำนักเองก็จับตาดูเขาไม่ห่าง”
“เจ้าแน่ใจรึ แต่เราคงจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้” ชายหนุ่มไม่อยากประมาท หากเกิดเรื่องร้ายในงานเลี้ยงคงไม่ดีแน่ “เจ้าไปยกพิณหวนคำนึงมาให้เราเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิงทะยานหายไปทันที
มู่เลี่ยงหรงตั้งใจแล้วว่าจะต้องตรวจสอบเยี่ยนเยว่ฉีอีกครั้ง ถึงในใจจะรู้สึกหวั่นไหวต่อนางบ้างแล้ว แต่สำหรับเขาความปลอดภัยของฮ่องเต้คือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
ท่านอ๋องหนุ่มจ้องขลุ่ยหยกสีเขียวในมือพลางครุ่นคิด คุณหนูเยี่ยนคงเริ่มตามหาของสิ่งนี้แล้ว เขาจึงเหน็บขลุ่ยไว้ข้างเอวภายใต้เสื้อคลุมแล้วตรงกลับเข้าไปในงานเลี้ยงทันที
บุรุษผู้สูงศักดิ์เดินไปคิดแผนการไป ก่อนอื่นจะต้องหาทางคืนขลุ่ยหยกให้นางเสียก่อน อาจจะต้องใช้อุบายเพื่อเข้าใกล้สตรีผู้นั้น เพื่อตรวจสอบวรยุทธ์ และท้ายที่สุดเขาจะต้องแทรกแซงการแสดงของนางเสีย เมื่ออยู่ใกล้กันยามบรรเลงเพลง หากเกิดเหตุร้ายเขาย่อมแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
ข่าวลือที่ว่าเยี่ยนหยางเจวี๋ยจะถวายตัวบุตรสาวให้ฮ่องเต้คงมีมูลอยู่บ้าง ดีที่พระเชษฐาคิดจะส่งนางเข้าจวนฉินอ๋องแทน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ในอกข้างซ้ายกลับรู้สึกแปลก ๆ
‘วันนี้ข้าเป็นอะไรไปนะ’
ตั้งแต่เกิดมามู่เลี่ยงหรงไม่เคยรู้สึกสนใจสตรีใดเป็นพิเศษ ไม่เคยหัวใจเต้นโครมครามถึงเพียงนี้ นี่เพิ่งได้พบนางเพียงครู่เดียวกลับรู้สึกอยากใกล้ชิดสนิทเสน่หา
แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหตุใดเมื่อเขาพบหญิงสาวที่พอจะทำให้หัวใจหวั่นไหวได้บ้าง นางก็ดันมาเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์แห่งยุทธภพเสียอย่างนั้น
ตอนนี้แม่ทัพใหญ่รักษานครคุมกำลังหนึ่งแสนรอบเมืองหลวง บุตรชายทั้งสองก็มีฝีมือไม่ธรรมดา หากเยี่ยนหยางเจวี๋ยผูกสัมพันธ์กับพวกกังฉินเห็นทีบัลลังก์คงสั่นสะเทือน
เช่นนี้เองสินะพระเชษฐาจึงต้องส่งถางซือเซินมาหาเขา
ด้วยตำแหน่งไคกั๋วกง เยี่ยนหยางเจวี๋ยย่อมไม่ยินดีให้บุตรสาวเป็นเพียงพระสนม หรือพระชายารองของผู้ใด
ดังนั้นตำแหน่งฉินหวางเฟยจึงเหมาะสมที่สุด
เมื่อกระจ่างแจ้งในพระประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงคิดกลับไปบอกแผนการให้แก่อัครเสนาบดีจอมเจ้ากี้เจ้าการ
คิดแล้วให้รู้สึกหงุดหงิด พระเชษฐากับสหายของเขาทำไมต้องทำให้เรื่องยุ่งยาก เพียงเอ่ยปากบอกมาตามตรงแต่แรกก็สิ้นเรื่อง หรือบางทีอาจเป็นเพราะคำขอของตนเองกระมัง
‘เสด็จพี่ ข้าอยากยกตำแหน่งพระชายาเอกให้สตรีที่รักชอบ’
คิดมาถึงตรงนี้ มู่เลี่ยงหรงก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า การตัดสินใจยอมรับเรื่องการแต่งงานกับเยี่ยนเยว่ฉี เขาทำไปเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ หรือเป็นเพราะต้องการครอบครองโฉมงามกันแน่
ยามนี้เรื่องเดียวที่ท่านอ๋องหนุ่มเป็นกังวล หากเยี่ยนเยว่ฉีเป็นผู้สืบทอดวิชาต้องห้าม เขาก็จำเป็นต้องกำจัดนางอย่างช่วยไม่ได้ หวังเพียงว่าไป่หลงจิวจะรักษาข้อตกลงกับราชสำนัก ไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้บุตรีท่านแม่ทัพใหญ่
‘สตรีนางนี้ช่างสร้างความยุ่งยากเสียจริง ถ้าข้าพบว่าเจ้าสามารถใช้เพลงขลุ่ยโลกันต์ได้ล่ะก็ ข้าฉินอ๋องจะบั่นศีรษะของเจ้าด้วยตัวเอง แต่หากว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เยี่ยนเยว่ฉีเอ๋ย...เจ้าก็จะกลายเป็นหวางเฟยของข้าตลอดไป’
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห