เข้าสู่ระบบ-เช้าของวันใหม่-
อากาศที่สดใสไม่ได้ทำให้หลิวหรงผิงสดชื่นขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะความฝันบ้าๆ เมื่อคืนทำเอานางนอนไม่หลับจนฟ้าเกือบจะสางแล้วนั่นเอง
หญิงสาวเอาแต่นั่งหาวอยู่บนเก้าอี้ในศาลาริมสระน้ำด้านหน้าเรือนของตน มีกอบัวขึ้นโดยรอบให้เห็นเป็นประปรายสลับกับฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาดวงตาเรียวหงส์มีน้ำตาระรื่นออกมาเล็กน้อยจากการนั่งหาวตั้งแต่เช้าของวันนี้ นางนั่งเท้าคางกับขอบศาลาคิดไม่ตกกับสิ่งที่ได้พบเห็นในความฝันเมื่อคืนนี้
“นี่ซิ่วอิงข้าแต่งงานกับจวิ้นอ๋องนานเท่าใดแล้วนะ”
“เกือบสามเดือนแล้วเพคะ”
“สามเดือนเลยงั้นหรือ หากอยู่แบบนี้ต่อไปข้าคงได้เป็นบ้าจริงๆ อย่างแน่นอน”
“หากว่าเป็นเมื่อก่อนคุณชายคงได้พาพระชายาไปเที่ยวที่งานโคมไฟแล้วนะเพคะ แต่เวลานี้ท่านออกเรือนแล้วช่างน่าเสียดายจริงๆ”
“เสียดายอะไร แล้วงานโคมไฟนี่คือที่ไหนงั้นหรือ”
“ก็งานเทศกาลโคมไฟที่จัดขึ้นในตัวเมืองอย่างไรเล่าเพคะ”
“มีด้วยหรือ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ออกไปเที่ยวกันเถอะ”
“ไปไม่ได้นะเพคะ” เสี่ยวเถาที่กำลังเด็ดกลีบดอกไม้อยู่นั้นก็รีบหยุดมือลงก่อนจะหันมาคัดค้านนางเสียงดัง
“เพราะเหตุใด”
“ท่านออกเรือนแล้วก็ต้องให้ท่านอ๋องเป็นคนพาไปเท่านั้นเพคะ”
“ไปเองก็ได้นี่ เห็นหรือไม่ข้ามีขา” พูดจบก็ชี้ไปที่ขาของตนเองบ่งบอกว่านางยังคงเดินได้และขาของนางก็ยังอยู่ครบทั้งสองข้าง
“โธ่พระชายาท่านเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่ว่าจะออกไปที่ไหนแห่งหนใดก็ต้องรายงานท่านอ๋องก่อนทุกเรื่องนะเพคะ”
“ใช่เพคะแล้วบ่าวก็เชื่อว่าท่านอ๋องไม่มีทางอนุญาตอย่างแน่นอน”
ทั้งสองพูดจบก็ก้มหน้าลงก่อนจะลงมือเด็ดดอกไม้เพื่อนำไปทำเป็นเครื่องหอมไว้ผสมใช้เวลาอาบน้ำต่อไป
หลิวหรงผิงที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั้นก็ตัดสินใจแน่วแน่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องได้ออกไปจากจวนหลังนี้ ‘ไม่สิแค่เพียงได้ก้าวขาออกนอกประตูจวนแค่นี้นางก็ดีใจมากแล้ว’
อยู่ๆ นางก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาทำเอาสาวใช้คนสนิททั้งสองถึงกับรีบลุกขึ้นตามแทบไม่ทัน
“พระชายาจะไปไหนหรือเพคะ”
“ข้าจะไปหาท่านอ๋อง”
หญิงสาวเอ่ยบอกสาวใช้ของตนก่อนจะรีบเดินไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปสู่เรือนใหญ่อย่างรวดเร็ว ซิ่วอิงรีบวิ่งตามพระชายาของตนไปติดๆ ส่วนเสี่ยวเถานั้นก็รีบเก็บข้าวของวางกองไว้บนโต๊ะก่อนจะรีบวิ่งตามไปอีกคน
“พระชายาอย่าไปเลยนะเพคะหากท่านอ๋องพบท่านเข้าต้องเป็นเรื่องอีกแน่เลย”
“ทำไมล่ะข้าแค่อยากออกไปเที่ยวชมงานหากชาวบ้านพบว่าจวิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ถึงกลับมาเที่ยวชมงานด้วยกัน ชาวบ้านคงรู้สึกดีใจไม่น้อยเลย”
“แต่ว่าพระชายา”
นางยกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า
“พอแล้วๆ ไม่ลองขอก็ไม่รู้ไม่ใช่หรือ”
ทั้งสามเดินเข้าไปในเรือนใหญ่แต่ก็ถูกสาวใช้หน้าเรือนเข้ามาขวางทางเอาไว้
“หากไม่มีคำสั่งของท่านอ๋องก็เข้าไปไม่ได้”
สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยออกมาห้วนๆ ทั้งยังจ้องมองนางไม่วางตา
‘ดูๆ ไปแล้วคงถูกอบรมให้ทำกิริยาเช่นนี้กับนางสินะ’
“ข้าจะพบสามี”
หลิวหรงผิงแกล้งบ้าต่อก่อนจะผลักหญิงสาวทั้งสองให้พ้นทาง
“อะ โอ๊ย! นี่ท่าน”
“ถอยไปนะอย่ามาแตะต้องพระชายาของข้า”
เป็นเสี่ยวเถาและซิ่วอิงที่เข้ามายืนขวางทางพวกนางเอาไว้ หลิวหรงผิงหันไปมองก่อนจะแสยะยิ้มอย่างพอใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปในเรือนใหญ่อย่างรวดเร็ว
องค์รักษ์คนสนิททั้งสองของจวิ้นอ๋องที่ยืนรอรับใช้เขาอยู่นอกห้องตำรานั้นเมื่อมองเห็นหลิวหรงผิงวิ่งตรงมาทางที่พวกเขายืนอยู่ ไม่ทันได้เตรียมการสกัดแต่อย่างใดก็ถูกนางผลักออกไปเต็มแรงจนทั้งสองผงะตกใจไปไม่น้อย
‘พระชายาที่ดูบอบบางเหตุไฉนถึงได้แรงเยอะเช่นนี้กันนะ’
“เหตุใดเจ้าไม่จับนางไว้เล่าหานเฟิง”
“เจ้ากล้าแตะต้องพระชายางั้นหรือ” หานเฟิงหันขวับไปต่อความกับตงหยางทันทีทำเอาเขาเองก็เถียงไม่ออกเช่นกัน ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปด้านในตามหลังของหลิวหรงผิงไปติดๆ
“ท่านอ๋อง ข้าอยากไปเที่ยวงานโคมไฟในเมือง”
เมื่อวิ่งเข้ามาด้านในแล้วก็รีบตะโกนบอกเขาออกไปทันทีด้วยกลัวว่าจะถูกจับโยนออกไปข้างนอกเสียก่อน
“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา!” เสียงนั้นดุดันแต่ไม่อาจทำให้หลิวหรงผิงเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ท่านอ๋องขออภัยพ่ะย่ะค่ะข้าน้อยตั้งตัวไม่ทัน พระชายาวิ่งเร็วเหลือเกิน”
นางหันไปยิ้มให้พวกเขาก่อนจะเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หยิบเอาถ้วยน้ำชาขึ้นมายกซดดื่มท่ามกลางการจับจ้องมองจากสามบุรุษ
เสียงถอนหายใจของจวิ้นอ๋องดังแว่วออกมาเบาๆ สามเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้สตรีผู้นี้แต่ก็ยังถูกนางตามติดมาโดยตลอด วันดีคืนดีก็แอบเข้ามาหาเขาตอนที่กำลังจะอาบน้ำยังดีที่ไหวตัวทันไม่แก้ผ้าไปหมดไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
“เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าๆ ยังมีงานที่ต้องสะสางอีกมากมายนัก”
“ข้าอยากไปเที่ยว”
เสียงออดอ้อนพลางเสียงฝีเท้าที่เดินก้าวเข้ามาใกล้ตัวทำเอาเขาผงะไปก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันดังว่า
“ไม่ได้!”
“แต่ว่า”
“ข้ามีงานต้องทำ”
“ข้าไปกับเสี่ยวเถา อ้อซิ่วอิงด้วย”
จวิ้นอ๋องขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันไปมองสตรีบ้าที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาคนนี้
‘นางฟังรู้เรื่องด้วยหรือ’
เมื่อหลิวหรงผิงเอาแต่ยิ้มให้เขาและดูท่าว่าจะไม่มีทางยอมจากไปง่ายๆ หากไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวงานในครั้งนี้
‘สตรีบ้าเช่นนางหากปล่อยให้ออกไปจากจวนไม่ขายหน้าผู้คนแย่หรือ’
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงามนั้นก็เห็นนางเอียงคอมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าไม่กวนท่านอย่างแน่นอนเพียงแค่ท่านอนุญาตให้ข้าไปเที่ยวชมงานเท่านั้น”
จวิ้นอ๋องหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอดอนอดกลั้นที่สุดแล้ว
“ข้าสัญญา” พูดจบก็ยื่นนิ้วขึ้นจรดขมับของนางเหมือนคนกำลังพูดสัตย์สาบานอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นบ้าไม่อาจพูดจาฉะฉานได้เช่นนี้แล้วนี่อะไร”
‘หืม ให้ตายสิลืมไปเลยว่าเวลานี้นางกำลังรับบทคนบ้า'
“หูฝาดแน่ๆ หรือว่าแท้จริงแล้วท่านเองก็ชอบข้าถึงได้ดูจะใส่ใจข้าเช่นนี้”
“เหลวไหล”
“ให้ข้าไปได้ใช่หรือไม่”
“เออ!”
ชายหนุ่มที่เริ่มรำคาญเสียงเจื้อยแจ้วนั้นก็เผลอพูดออกมาเพื่อตัดรำคาญแต่แล้วก็ต้องตกใจในสิ่งที่ตนเองนั้นพูดออกไป
‘ให้ตายสินี่ข้าเผลอตอบรับนางไปได้อย่างไรกันนะ’
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋องผู้รูปงามที่สุดในใต้หล้า”
“อะ ออกไปได้แล้ว”
“เพค่า”
หลิวหรงผิงเหยียดยิ้มออกมาจ้องมองบุรุษผู้ที่กำลังหัวเสียอยู่ตรงหน้านางนั้นก่อนจะย่อตัวขอบคุณเขาอย่างล้อเลียนเล็กน้อย จวิ้นอ๋องเบือนหน้าหนีไร้คำพูดใดๆ ออกมาจากปากเขา
หางตาของเขาเห็นเพียงแผ่นหลังบอบบางที่ทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกไปจากห้องตำราพลางสีหน้าที่เจื่อนลงของสององค์รักษ์
“ท่านอ๋องขังนางเอาไว้ที่เรือนก็ได้นี่ขอรับ”
“ไม่ได้หรอก ฮองเฮาส่งคนมาสอดแนมเช่นนี้หากข้าลงโทษนางโดยไม่มีความผิดอันใดสตรีบ้าเช่นนางคงได้หาเรื่องไปเพ็ดทูลกับฮองเฮาให้ข้าเข้าหอกับนางอีกเป็นแน่”
“เช่นนั้นก็…”
“ไปจัดเตรียมรถม้าให้นาง ข้าต้องสะสางงานต่อพวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสององค์รักษ์ออกไปแล้วจวิ้นอ๋องก็หลับตาลงก่อนจะบ่นพึมพำกับตนเองว่า
‘เวรกรรมอะไรของข้ากันนะ!’
ท่าทีที่เหินห่างของนางก็ยิ่งทำให้เขาปวดใจไม่น้อยอยากที่จะเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าแต่ก็ทำได้เพียงแคยับยั้งใจเอาไว้เท่านั้น“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดี”“ผิงเอ๋ออย่าทำห่างเหินกับข้าเช่นนี้สิ”“ข้ากับท่านในเวลานี้เกี่ยวข้องอันใดกันอย่างนั้นหรือถึงได้ใช้คำว่าห่างเหิน”“เจ้าตั้งครรภ์เหตุใดถึงไม่บอกข้า”“ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนพูดเองหรอกหรือว่าไม่ว่าอย่างไรจะให้สายเลือดของท่านปะปนกับคนสกุลหลิวไม่ได้”“คือว่าข้าไม่ได้….”“จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนพูดกระนั้นหรือ ครั้งแรกตอนเข้าหอกับข้าครั้งที่สองตอนอยู่ที่เมืองลี่หนานคิดว่าข้าโง่เขลาถึงกลับจดจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”“อันที่จริงนี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วท่านกับข้าก็ห่างเหินกับคำว่าสามีภรรยาไปแล้ว และท่านเองก็มาอยู่ที่นี่แล้วดังนั้นหนังสือหย่าของข้าได้แล้วหรือยัง”“เจ้าอยากหย่ากับข้ามากกระนั้นหรือ”“ใช่”หลิวหรงผิงตอบเขาไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเขาเลยสักเพียงนิด จวิ้นอ๋องกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะชายตามองไปยังสองคนที่เหลือในห้องเย่หยุนฟางที่เห็นแววตาเย็นเยือกของเขาจ้องมองมาก็เข้าไปสะกิดเซี่ยเว่ยหมิงในทันที ก่อนที่ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งฟังบทสนทนาของคนทั้งค
เสียงลากกระบี่ดังขึ้นไปตามทางเดินของจวนนำพาความรู้สึกเย็นยะเยือกรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น จนบ่าวรับใช้ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าโผล่หน้าออกมาดูเลยสักคน ร่างสูงยืนจังก้าจ้องมองเจ้าเมืองฉางอันที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหน้าเรือนใหญ่“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งบอกมาว่านางอยู่ไหน”“ขะ ข้าไม่รู้เรื่อง”“เจ้าเมืองฉางอัน ท่านคงใช้ชีวิตอยู่มานานมากจนไม่เสียดายชีวิตนี้ของท่านแล้วสินะ”เป็นเยี่ยอ๋องที่พูดขึ้นก่อนจะเข้าไปนั่งยองๆ ใกล้เขา เจ้าเมืองฉางอันที่ถูกซ้อมปางตายในเวลานี้แทบจะพูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่แล้วเพราะความละโมบของเขานำพามาซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เพราะมีสตรีนางหนึ่งมาขอให้เขากระทำการบางอย่างบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระสนมเสียนเฟยหากว่าเขาทำสำเร็จจะได้รางวัลเป็นทองคำหนึ่งล้านตำลึงและได้แต่งงานกับองค์หญิงห้าหรือก็คือองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ถึงวัยออกเรือนแล้วนั่นเองแม้จะอายุห่างกับเขาราวพ่อลูกแต่เพราะความหลงใหลในรูปโฉมและเงินทองทำให้เขาไม่สนใจถูกผิด ช่วยเหลือนางโดยการลักพาตัวสตรีนางหนึ่งและเด็กชายอีกคนที่เขาไม่คิดจะสืบที่มาที่ไปของคนทั้งคู่ก่อนเลยสักเพียงนิดมาไว้ที่จวนแห่งนี้
ภายในห้องรับรองนั้นเยี่ยอ๋องที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่างโดยไม่ยอมขยับกายไปไหนอยู่นั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า“นางดูแปลกๆ ท่านแน่ใจนะว่านางจะช่วยพวกเราได้จริงๆ พี่สี่นี่ได้ยินหรือไม่”เยี่ยอ๋องจ้องมองใบหน้าคมคายของผู้เป็นพี่ชายที่เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูท่าว่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเมื่อครู่นี้“พี่สี่….องค์รัชทายาท!”“เบาๆ สิเจ้าอยากคนให้แตกตื่นมากนักหรืออย่างไรกัน”“ข้าเรียกท่านนานแล้วแต่ท่านก็เอาแต่เหม่อลอยเป็นอะไรไปอย่าบอกนะว่าสนใจสตรีผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” จวิ้นอ๋องหันไปจ้องมองน้องชายของเขาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก“ข้าว่านะเยี่ยอ๋องพวกเราไม่ต้องส่งคนออกไปตามหาพวกนางหรอก”“ท่านจ้างวานนางไปแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือไม่เล่า”“ไม่ใช่เช่นนั้น ตงหยางเจ้าเข้ามาในนี้ที”“ขอรับใต้เท้า” เสียงของตงหยางดังขึ้นหน้าประตูห้องก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้ามาด้านใน“ส่งคนไปสะกดรอยตามเย่หยุนฟางเอาไว้หากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบมารายงานข้า”“ขอรับ” เขารับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องรับรองตามมาด้วยเหวินหงที่ถูกเยี่ยอ๋องสั่งการให้ตามเขาไป
-โรงเตี๊ยมเหมยหลัน เมืองฉางอัน-“ข้าก็บอกไปแล้วว่าให้พวกเจ้าพักผ่อนก่อนไม่ต้องรีบมาอย่างไรเล่า”“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ข้าทำได้”เมื่อมู่อิงเถายังคงยืนยันหนักแน่นหลิวหรงผิงก็หันไปมองเย่หยุนฟางด้วยความจนใจ“เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพวกข้าเรื่องอะไรงั้นหรือ”“พักนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองมากมายนัก”“ไหนเจ้าบอกว่าตรวจสอบดีแล้วอย่างไรเล่า”“ก็ตรวจสอบไปแล้วไม่พบพิรุธอันใดถึงได้มายืนสนทนากับพวกเจ้าได้อย่างไรเล่า”เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปมองตามมาด้วยร่างอ้วนท้วนของฉางไห่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับรองก่อนจะสังเกตเห็นว่าเย่หยุนฟางก็อยู่ในห้องนี้เช่นกัน“นายหญิงท่านก็อยู่ด้วยหรือขอรับ”“วิ่งหน้าตาตื่นมาเช่นนี้มีเรื่องสำคัญอะไร”เย่หยุนฟางหันไปถามคนของตัวเองก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย“มีคนมาขอพบแม่นางหลิวขอรับ”“ใคร/ใคร”ทั้งหลิวหรงผิงและเย่หยุนฟางต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน ฉางไห่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้นางก่อนจะบอกว่าคนผู้นั้นรอนางอยู่ด้านล่างแล้วเย่หยุนฟางหันไปมองหลิวหรงผิงแววตามีความกังวลอยู่ไม่น้อย หลิวหรงผิงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านสีหน้าที่วิตกกังวลก่อนหน้
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ







