LOGINเป็นเวลายามโหย่ว[1] หลิวหรงผิงที่เฝ้ารอเวลานี้มาทั้งวันในที่สุดก็สมปรารถนาของนางเสียที
ได้มีโอกาสออกนอกจวนทั้งทีทำเอานางตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่ใช่แค่พาเจ้าของร่างนี้ออกไปสัมผัสบรรยากาศด้านนอกเท่านั้น แต่ได้พาตัวของนางเองออกไปเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวเมืองในยุคโบราณที่ทั้งชีวิตนางไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนนั่นเอง
“พระชายาท่านอ๋องรอนานแล้วนะเพคะ”
“รู้แล้วน่า”
ซิ่วอิงไม่ลืมที่จะหยิบเอาเสื้อคลุมไหล่สีขาวขนนุ่มนิ่มติดมือไปด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นหากไม่นำเสื้อคลุมไปด้วยนางก็เกรงว่าพระชายาของตนคงได้จับไข้และหนาวตายอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูจวนนางก็รีบถลาเข้าไปเกาะแขนของจวิ้นอ๋องทันที ท่ามกลางสายตาที่ดูตื่นตกใจของบรรดาบ่าวรับใช้ในจวนที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่
“เจ้าทำอะไร”
“เอ๋”
เพราะนางตื่นเต้นดีใจที่จะได้ออกไปเที่ยวนอกจวนมากจนเสียกิริยาไปแต่จะเป็นไรไปในเมื่อนางในเวลานี้ก็คือสตรีบ้าในสายตาของผู้คน ที่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครใคร่จะสนใจนัก
สิ่งที่นางทำอยู่ในเวลานี้มากที่สุดก็คงแค่ถูกเขาลงโทษหรือด่าทอก็เท่านั้น นางมองมือของตัวเองที่กำลังเกาะแขนของเขาแน่นเหมือนปลิงก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบปล่อยมือออกจากวงแขนแกร่งนั้นทันที
“ขออภัยเพคะ”
หลิวหรงผิงก้มหน้าลงก่อนจะถอยหลังออกไปยืนอยู่ด้านหลังของเขา อาการที่ดูเหมือนสำนึกผิดของนางทำเอาสององค์รักษ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่น้อย
‘พระชายารู้เรื่องมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ’
ยังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะก้าวขาขึ้นไปบนรถม้าก็มีเสียงๆ หนึ่งเอ่ยเรียกจวิ้นอ๋อง เสียงแผดร้องที่ดังแว่วมาทำให้หลิวหรงผิงรู้เลยว่าคือสตรีเย่อหยิ่งผู้นั้นนั่นเอง
เมื่อหันไปมองก็เห็นรถม้าที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามสมฐานะองค์หญิงมาจอดเทียบกับรถม้าของจวนอ๋องแล้ว ผ้าม่านที่ปลิวไหวตามแรงลมปรากฎให้เห็นอีกคนบนรถม้าแต่เพราะความมืดทำให้นางเห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเจนนัก
‘ใครกันนะ’
“ท่านพี่จะไปไหนกันเจ้าคะ”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเดินลงมาจากรถม้าพลางจ้องมองมาที่หลิวหรงผิงไม่วางตา
“ข้ากำลังจะไปงานโคมไฟในเมือง แล้วเจ้าล่ะจะไปที่ใด” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยส่งยิ้มให้ผู้เป็นพี่ชายก่อนจะชายตาไปมองหลิวหรงผิงอีกครั้ง
“บังเอิญจังเลยเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปที่งานนั้นพอดีและไม่ได้มาคนเดียวแต่พาพี่หญิงอวิ๋นเซียนมาด้วย”
“เว่ยอวิ๋นเซียนน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะข้าตั้งใจจะไปเที่ยวงานจึงแวะมารับท่านพี่ไม่คิดว่าท่านก็จะไปที่นั่นด้วย ว่าแต่พี่สะใภ้ก็จะไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
หลิวหรงผิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะส่งยิ้มใสซื่อไปให้นาง จวิ้นอ๋องหันไปมองคนด้านข้างที่ดูเหมือนไม่รู้เรื่องราวใดๆ ก่อนจะหันไปพูดกับองค์หญิงเพ่ยเพ่ยต่อว่า
“เสด็จแม่น่าจะส่งคนมาสังเกตการณ์ในจวนของข้าเช่นนั้นก็แสดงละครให้นางดูเสียหน่อย เจ้ามาก็ดีแล้วไปด้วยกันสิ”
“หึ น้องยินดีอย่างยิ่ง”
รอยยิ้มร้ายกาจขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่ารอยยิ้มที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจของหลิวหรงผิงต่างหากเล่าที่น่ากลัวกว่า
‘ตั้งใจจะกลั่นแกล้งข้าสินะ เดี๋ยวพวกเจ้าได้เจอดีแน่!’
หลิวหรงผิงแสร้งเป็นยิ้มไม่รู้เรื่องราวใดๆ แล้วเดินตามจวิ้นอ๋องเพื่อขึ้นไปบนรถม้าของจวนแต่เมื่อสองเท้ากำลังจะก้าวเหยียบเก้าอี้เล็กที่หานเฟิงเตรียมเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้ก็ถูกองค์หญิงเพ่ยเพ่ยเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ข้าว่าไหนๆ พวกเราก็จะไปที่เดียวกันแล้วเช่นนั้นก็ไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ ในงานคนมากมายนักจะเอาไปทำไมหลายคันนักเล่ารถม้าของข้าคันใหญ่โตรองรับได้หลายคนเชิญท่านพี่กับพี่สะใภ้ไปด้วยกันจะดีกว่า”
จวิ้นอ๋องหันไปมองผู้เป็นน้องสาวก่อนจะหันกลับมามองหลิวหรงผิงอีกครั้ง แววตาซุกซนดูไม่รู้เรื่องใดๆ ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่รู้เลยว่าน้องสาวตัวดีตั้งใจจะหาเรื่องกลั่นแกล้งอันใดชายาของเขาอีกหากเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องปวดหัวอีกอย่างแน่นอน
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าองค์หญิงเพ่ยเพ่ยต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งหลิวหรงผิงแต่เขากลับเลือกที่จะเดินไปขึ้นรถม้าของนางโดยมีหลิวหรงผิงเดินตามเขาไปติดๆ
“เจ้าขึ้นไปก่อน”
หลิวหรงผิงหันไปมองจวิ้นอ๋องก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้าวเดินขึ้นไปบนเก้าอี้เล็กสำหรับเหยียบขึ้นรถม้า
ขาข้างซ้ายของนางเหยียบบนรถม้าไปแล้วแต่อีกข้างที่ยังอยู่บนเก้าอี้เล็กนั้นก็ถูกองค์หญิงเพ่ยเพ่ยทำทีสะดุดแล้วเตะเก้าอี้นั้นเข้าอย่างจังส่งผลให้ขาอีกข้างของหลิวหรงผิงที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศหงายหลังร่วงลงบนพื้นทันที
“อะ โอ๊ย!”
“พระชายา!/พระชายา!” สาวใช้คนสนิททั้งสองที่ออกมาส่งนางหน้าประตูจวนแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปด้วยนั้นเฝ้ามองนางอยู่ก่อนหน้านี้ทุกฝีก้าวเป็นต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นพระชายาของตนหกล้มก้นคะมำกับพื้นอย่างแรงเช่นนั้น
ทั้งสองอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกสายตาเกรี้ยวกราดขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่จ้องมองมานั้นจิกกัดอยู่ทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าเข้าไป องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า
“ตายแล้วพี่สะใภ้ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขออภัยด้วย”
หลิวหรงผิงที่ตกรถม้าจนก้นของนางระบมไปหมดเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยความสะใจนั้นก็ทำให้นางเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่ยืนอยู่ข้างๆ กับไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเลยสักนิด หลิวหรงผิงก้มหน้าพยายามสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้
‘แค้นนี้นางต้องเอาคืนแน่รู้จักคนอย่างหลิวหรงผิงน้อยเกินไปเสียแล้ว’
หากเป็นยุคที่นางจากมาแล้วล่ะก็สตรีผู้นี้ได้โดนนางด่ากลับไปแล้ว หลิวหรงผิงหลับตาลงพยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้นางผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมององค์หญิงเพ่ยเพ่ยก่อนจะช้อนสายตามองไปที่จวิ้นอ๋องพยายามบีบน้ำตาออกมาแล้วเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ขะ ข้าเจ็บอุ้มที”
“ห้ะ!”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยคิดไม่ถึงว่าสตรีบ้าผู้นี้จะใช้วิธีนี้ นางถึงกับยืนอ้าปากค้างไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ จวิ้นอ๋องหันมองไปโดยรอบก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ใช้วงแขนแข็งแกร่งของเขาช้อนตัวของนางขึ้นไว้ในอ้อมแขน
“ท่านพี่จะไปอุ้มนางทำไมกันเพคะ”
“เจ้าก็รู้ว่าคนของเสด็จแม่เฝ้ามองอยู่”
เขาพูดจบก็เดินขึ้นไปบนรถม้าโอบอุ้มร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น องค์หญิงเพ่ยเพ่ยได้แต่ยืนกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเจ็บใจพลันสายตาของนางก็หันไปสบเข้าแววตาของหลิวหรงผิงที่มองนางอยู่เช่นกัน
‘นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่! ข้าเห็นนางยิ้มไม่จริงอ่ะนี่นางบ้าจริงๆ หรือกำลังแกล้งบ้ากันแน่ คนบ้าอะไรจะยิ้มออกมาได้เจ้าเล่ห์เช่นนั้นกัน’
“เจ้าไม่ไปแล้วหรือ”
“ไปสิ”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยรีบก้าวขึ้นไปบนรถม้าในใจก็ยังคงแคลงใจในตัวของพี่สะใภ้ผู้นั้นอยู่ไม่น้อย นางต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวตนของสตรีผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่!
- - - - - - - - - -
[1] ยามโหย่ว = 17.00-19.00 น.
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ
เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลิวหรงผิงได้อยู่ร่วมกับสหายคนสนิททั้งสองช่วยกันรักษาผู้คนทุกๆ ครั้งที่เย่หยุนฟางทำการเปิดโรงเตี๊ยมเพื่อทำการรักษาคนเรื่องการไปโรงเรียนของอาเฟยเพราะมีมู่อิงเถาช่วยพูดอีกแรงจนสุดท้ายหลิวหรงผิงก็ยอมอนุญาตให้เด็กชายไปโรงเรียนเช่นเดียวกันกับเพื่อนๆ ในละแวกบ้านของเขาเด็กชายดีใจเป็นอย่างมากและดูจะตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนไม่น้อย ในทุกๆ วันเขาจะตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่จัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยนั่งรอคอยผู้เป็นมารดาไปส่งเขาที่โรงเรียน วันนี้ก็เช่นกันในใจกลางเมืองฉางอันผู้คนเดินกันพลุกพล่านแผงขายอาหารผักสดผลไม้สดตั้งเรียงรายเต็มทั้งสองข้างทาง เมื่อยืนอยู่บนโรงเตี๊ยมก็มองเห็นบรรยากาศในเมืองได้อย่างชัดเจนความงดงามของแสงอาทิตย์ยามเช้าที่มีแสงแดดอ่อนๆ รำไรสาดส่องลงมาบนแผงขายผักและผลไม้สดที่เรียงรายเป็นแนวชวนให้นางคิดถึงบ้านเกิด“ก่อนหน้านี้ข้าไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่เมื่อมาพบพวกเจ้าข้าถึงได้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลือของข้าก็น่าอยู่ไม่น้อยเลย”“พูดอะไรของเจ้ากัน เจ้ายังมีข้ากับอาเฟยอีกคนนะจะทิ้งพวกข้าเอาไว้ที่นี่เพียงลำพังอย่างนั้นหรือช่างใจร้ายเสียจริง”“ข้าพูดแบบนั้นเสีย
ห้าปีต่อมา-เมืองฉางอัน แดนตะวันออก-สายลมเย็นที่พัดโชยมาหอบเอากลิ่นสมุนไพรจากสวนสมุนไพรข้างบ้านลอยเข้ามาถึงในห้องโถง หลิวหรงผิงที่กำลังคัดเลือกสมุนไพรกับเสี่ยวเถาอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องมอง หลิวเฟยหมิง ที่กำลังยืนทำหน้างอให้นางอยู่ยิ่งเขาแสดงสีหน้าบึ้งตึงมากเท่าใดก็ยิ่งเหมือนคนผู้นั้นมากขึ้นทุกที‘บ้าจริง! อุ้มท้องมาตั้งหลายเดือนเลี้ยงมาเองกับมือแต่เหตุใดถึงได้เหมือนคนบ้าผู้นั้นถึงเพียงนี้กันนะ’“ท่านแม่ข้าพูดจริงๆ นะ ข้าอยากไปโรงเรียน”“เอาไว้ให้โตกว่านี้ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะคุณชาย” เสี่ยวเถาที่สังเกตเห็นสีหน้าที่เริ่มไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นนายสาวก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที“ข้าโตแล้วนะขอรับพี่เสี่ยวเถา อีกอย่างเพื่อนรุ่นเดียวกับข้าก็ไปโรงเรียนกันหมดแล้วด้วย”“ไหนเจ้าบอกว่าที่โรงเรียนมีเด็กเกเรที่คอยแต่จะรังแกเจ้าแล้วเจ้ายังอยากจะไปอยู่อีกหรือ”“โธ่ท่านแม่พวกนั้นรังแกข้าก็จริงแต่ข้าก็ซัดกลับไปทุกทีกลัวอะไรกันเล่าขอรับ” เด็กชายเดินเข้ามากอดแขนผู้เป็นมารดาแน่นซบหน้าลงกับไหล่บางของนางคำตอบของเด็กชายทำเอาหลิวหรงผิงถอนหายใจออกพรืดหนึ่ง“อาเฟยเองก็โตแล้วเจ้าส่งเขาไปโรงเรียนได้แล้วกระมัง อุดอู้อยู่
จวิ้นอ๋องที่กำลังนั่งตรวจหนังสือรายงานการลอบทำลายสะพานที่เมืองลี่หนานรวมไปถึงรายงานการลอบทำร้ายชายาของตนอยู่นั้นได้เงยหน้าขึ้นจ้องมององค์รักษ์คนสนิทของเขาที่เวลานี้เอาแต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องตำราท่าทางที่กระวนกระวายใจของเขาทำให้ชายหนุ่มอดที่จะสงสัยไม่ได้“เจ้าเป็นอะไร” เสียงของจวิ้นอ๋องดังมาจนถึงหน้าประตูห้อง หานเฟิงเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบเข้ากับสายตาเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยความงุนนงงของผู้เป็นนาย “เอ่อ คือว่า”เขาเอาแต่ยืนอ้ำอึ้งและยังคงไม่กล้าเดินเข้าไปในห้องจนตงหยางที่รอคอยรับใช้จวิ้นอ๋องอยู่ข้างกายนั้นถึงกับต้องพูดออกมาอย่างหมดความอดทน“ขาของเจ้าเป็นอะไรจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่ ท่านอ๋องรอฟังเจ้าอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“เห็น”“ก็พูดมาเสียทีสิ”หานเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องด้วยความเชื่องช้า“คือว่าท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าน้อยไปที่เรือนเฟิ่งอวี้มาได้ยินว่าพระชายาอยากไปสวดมนต์ที่อารามหนิงเซียนพ่ะย่ะค่ะ”“สวดมนต์งั้นหรือ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“แค่สวดมนต์ใยต้องไปไกลถึงเพียงนั้นกัน แล้วกงการอะไรของเจ้าถึงได้ไปที่เรือนนั้นโดยที่ข้าไม่ได้สั่ง”“คือว่าข้าน้
คำพูดของเว่ยอวิ๋นเซียนทำให้รุ่ยอ๋องเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว เขาหันมาจ้องมองหลิวหรงผิงด้วยแววตากราดเกรี้ยว“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้ก็ยังนึกว่าท่านจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพี่สี่เสียอีก”“นางก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ใจแคบและเห็นแก่ตัว” จวิ้นอ๋องพูดขึ้นโดยไม่มองมาที่นางแม้เพียงนิด“พูดเช่นนี้แสดงว่าพวกท่านเชื่อใจนางกระนั้นหรือ” นางหันไปมองจวิ้นอ๋องและน้องสามีก็เห็นเพียงสายตาว่างเปล่าของพวกเขาที่มองส่งมาเท่านั้น“ได้ แล้วแต่ท่านเถอะไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นคนที่ท่านไม่เคยไว้วางใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะรักษาท่านหายจริงแต่นั่นก็ไม่อาจชดเชยสิ่งที่สกุลหลิวทำได้ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ก็ตอนนี้นี่เอง”“จวิ้นอ๋องท่านจงจำเอาไว้จากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าท่านจะพูดหรือทำสิ่งใดก็ล้วนไม่มีผลกับข้าอีกแล้ว ข้าในเวลานี้เป็นเพียงชายาในนามของท่านเท่านั้นอยากจะลงโทษข้ากระนั้นหรือก็สุดแล้วแต่พวกท่านเลย”นางพูดจบก็เบือนหน้าหนีไม่คิดจะทำตัวให้ดูน่าสงสารสักเพียงนิดองค์หญิงเพ่ยเพ่ยหันไปมองพี่ชายของตนก่อนจะหันกลับมามองหลิวหลงผิงอีกครั้ง“ท่านพี่ข้าว่าเรื่องนี้ควรสอบสวนก่อนดีหรือไม่”“องค์หญิงพูดเช่นนี้หมายค







