로그인ลมยามค่ำพัดผ่านระเบียงเรือนหอ เรือนเหลียนฮัว ซึ่งแยกจากเรือนหลักทางฝั่งซ้ายของจวนติ้งถิงโหว เป็นเรือนส่วนตัวของ สวีเฟิ่งเยี่ยน ที่ติ้งถิงโหวบังคับให้หลานชายหัวดื้อย้ายเข้ามาอยู่หลังจากเขากลับมาจากชายแดน ซึ่งก็เป็นเวลากว่าสามปีแล้ว
หลิงเซียวนั่งนิ่งอยู่นานจนเมื่อย แต่ไม่กล้าขยับไปไหน เดิมทีเผยโหย่ว สาวใช้ที่ติดตามนางลงจากบนเขาไท่ซานอยู่ด้วยมาตลอดหนึ่งปี ทว่าไม่กี่วันก่อน นางอนุญาตให้อีกฝ่ายแต่งงานกับคนรักเช่นท่านมือปราบแห่งศาลต้าหลี นามอวี่ สือซาน ไปแล้ว เพราะหลิงเซียวไม่รู้อนาคตตนเองในจวนแห่งนี้เลยไม่อยากรั้งสาวใช้ที่นับถือราวพี่สาวไว้ข้างกายอีกฝ่ายแต่งไปกับบุรุษที่มีอนาคตสดใสดีกว่า ดังนั้นใยยามนี้นางจึงเหลือตัวคนเดียวจริง ๆ สินเดิมก็น้อย สาวใช้จากบ้านเดิมไม่มี นางช่างเป็นสะใภ้ใหม่ที่จนเสียจริง
คิดแล้วเหมือนจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก พอนึกถึงเผยโหย่วกับสือซานก็อดอิจฉาพวกเขาทั้งสองไม่ได้ ทั้งคู่พบรักกันตั้งแต่หกเดือนก่อนหลังลงจากที่นางถูกท่านย่าส่งคนไปรับลงเขามาอยู่จวนกู้ ถึงเผยโหย่วเกิดและเติบโตในชนชั้นทาส แต่สุดท้ายกลับได้ออกเรือนกับบุรุษที่รักและรักนางตอบ
…บางครา หลิงเซียวก็อยากเป็นเพียงสตรีจากตระกูลชนชั้นกลาง…
แต่เลือกเกิดไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดในตระกูลกู้ที่ท่านย่าเป็นใหญ่ ท่านพ่อไม่รัก ท่านแม่ก็จากไปเร็ว “อย่าบั่นทอนใจตัวเองสิ หลิงเซียว”
พอเริ่มจะฟุ้งซ่านนางจึงพึมพำเตือนตนเอง อารามเมี่ยวถังที่นางอยู่มานานเก้าปีสอนเสมอว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และคนที่ทำร้ายตัวเองได้มากสุดก็คือตัวเราเอง คนอื่นจะดูถูกหรือหมิ่นแคลนอย่างไรก็ได้ แต่ตนนั่นแหละห้ามดูถูกตัวเอง
เลือกเกิดไม่ได้แล้วอย่างไร ดูเผยโหย่วสิ นางก็เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกเส้นทางชีวิตและคนข้างกายได้ เจ้าเองก็ห้ามยอมแพ้เช่นกันนะหลิงเซียว
เมื่อปลุกกำลังใจตัวเองแล้ว หลิงเซียวก็เริ่มคิดวางแผนชีวิตต่อ สามีไม่รัก นางไม่คิดน้อยใจ เพราะตัวนางเองก็ไม่ได้รักเฟิ่งเยี่ยนเช่นกัน ที่ยอมแต่งด้วยเพราะดีกว่าไปเป็นอี๋เหนียงชายแก่วัยเจ็ดสิบ ไหนยังมีโอกาสได้ดูแลร้านสมุนไพรเก่าแก่เช่น ‘ร้านเหอเซียงหยู๋’ นั่นก็เส้นทางที่นางเลือกเอง
ความรักกินแทนข้าวไม่ได้ สวมให้อุ่นแทนอาภรณ์ยิ่งไม่ได้แต่หากนางมีเงิน จะซื้ออันใดย่อมได้ทั้งหมด
นั่งอยู่กับความเงียบเนิ่นนานร่วมสองชั่วยาม ต้นยามซวี สาวใช้นามกุ้ยอิงวัยราวสิบสี่ปีจากจวนติ้งถิงโหว นำโจ๊กร้อนพร้อมอ่างทองเหลืองและผ้าเช็ดตัวเข้ามาให้เจ้านายใหม่ของตนเอง
“ตั้งแต่นี้ท่านโหวให้บ่าวรับใช้และติดตามฮูหยินเจ้าค่ะ หากฮูหยินแม่ทัพต้องการสิ่งใด เรียกใช้กุ้ยอิงได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยที่เพิ่งถูกเลือกขึ้นจากลูกทาสพูดด้วยท่าทางประหม่า
“ได้ ขอบใจเจ้ามาก กุ้ยอิง” หลิงเซียวไม่รู้จะพูดอะไรอีกตอบไปเท่านั้นก็เงียบ นกุ้ยอิงจึงโค้งกายแล้วรีบถอยออกไป ประตูปิดลงหนักแน่น ทิ้งให้ห้องหอเงียบงันดังเดิม
แสงเทียนมงคลสีแดงวูบไหวบนโต๊ะกลม กลิ่นกำยานอ่อน ๆ ลอยคลุ้ง หลิงเซียวยังคงนั่งอยู่บนเตียง ผ้าคลุมหน้าแดงปิดใบหน้า หัวใจที่เคยเต้นแรงจนเจ็บซี่โครงก็ค่อย ๆ สงบลง
จนยามห้าย เสียงเอ็ดอึงของน้องชายและสหายของเจ้าบ่าวดังใกล้เข้ามา ฝีเท้าหนักและเสียงพูดคุยโฉ่งฉ่างกับเสียงหัวเราะครึกครื้นดังมาถึงจนหลิงเซียวเกร็งตัวขึ้นมาโดยปริยาย หัวใจกลับมาเต้นถี่รัวเหมือนจะกระเด็นออกจากทรวงอีกครา
“พี่ใหญ่! จะรีบหนีไปไหน พี่สะใภ้ไม่หนีไปไหนหรอก ข้ายังดื่มไม่หนำใจ!” เสียงสวีเฟิ่งชิว ญาติผู้น้องจากบ้านสี่ดังนำ ก่อนประตูเรือนเหลียนฮัว จะถูกผลักเปิดเล็กน้อยอย่างไม่สุภาพนักเพราะคนผลักเมามาย
“ข้าไม่ได้หนี!” เฟิ่งเยี่ยนตอบเสียงทุ้มต่ำอย่างหงุดหงิด “ตามข้ามาทำไม!”
“ก็มาตามท่านไปดื่มสุรามงคลต่อ ไม่เมาไม่เลิกสิ!” กัวเหิงหลี่ สหายสนิทผสมโรง หานอวิ๋นจิ้งก็หัวเราะลั่นตาม
“ปล่อยพี่ใหญ่ไปเถอะ พวกท่านกลับไปดื่มกับข้าก็พอ” เป็นสวีเฟิ่งหยวน น้องชายแท้ ๆ ที่อ่อนกว่าสวีเฟิ่งเยี่ยนอยู่สี่ปีเอ่ยขึ้นบ้าง
“ใช่ พวกเจ้ากลับไปดื่มกับอาหยวนเถอะ” เฟิ่งเยี่ยนกัดฟันพูด เบื่อหน่ายญาติและสหายที่มอมสุราเขาจนน่าต่อยทีละคน
“หรือว่าท่านกลัวพี่สะใภ้ใหญ่?” เฟิ่งชิวแกล้งแหย่
“แม่ทัพอวี้หลินผู้สังหารศัตรูเป็นใบไม้ร่วง แต่พอแต่งงานกลับกลัวฮูหยินจนขาสั่น!” กัวเหิงหลี่ปิดท้าย ก่อนเสียงหัวเราะชุดใหญ่จะดังครืนจนหลิงเซียวได้ยินชัดเจน
“พวกเจ้าออกไป!” เฟิ่งเยี่ยนขึ้นเสียงอยากเตะทุกคนให้พ้น จนสวีเฟิ่งหยวนรีบเรียกบ่าวชายหลายคนมาช่วยไล่ขี้เมาออกจากหน้าเรือนหอช่วยพี่ใหญ่ของเขาอีกแรง
“ไปได้แล้ว อย่ารบกวนพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของข้า” เฟิ่งหยวนพูดด้วยความใจเย็นตามแบบหมอหลวงผู้เปี่ยมเมตตา แม้ในใจอยากสาดยาสลบพวกนี้เต็มที
“ไปก็ได้! พรุ่งนี้หวังว่าท่านจะออกจากห้องหอไหวนะพี่ใหญ่!” เฟิ่งชิวยังคงตะโกนทิ้งท้าย
อวิ๋นจิ้งไม่ยอมน้อยหน้า “จริง! ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะตื่นไปฝึกองครักษ์ใหม่ไหวไหม อาเยี่ยน! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
เสียงเหล่านั้นค่อย ๆ ไกลออกไป ความเงียบกลับคืนสู่เรือนเหลียนฮัวอีกครั้ง เฟิ่งเยี่ยนปิดประตู โบกมือไล่บ่าวไพร่ให้แยกย้ายพักผ่อน ก่อนเดินตรงไปยังห้องหอด้านใน
เงาร่างสูงแปดฉื่อทอดยาวบนประตูขณะเขาหยุดยืน ปลายนิ้วแข็งกร้าวผลักบานประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ …
แอ๊ด…
เสียงบานประตูเลื่อนเปิดไม่ดังนัก แต่กลับสะเทือนถึงหัวใจเจ้าสาว ยิ่งได้ยินเสียงก้าวเท้าหนักแน่นใกล้เข้ามา หลิงเซียวก็ยิ่งเผลอกำกระโปรงเจ้าสาวแน่น
เฟิ่งเยี่ยนเขาคือแม่ทัพแห่งหน่วยอวี้หลิน หน่วยองครักษ์ที่นับว่าเหี้ยมโหดนัก และสำหรับหลิงเซียวก่อนแต่งงานบุรุษผู้นี้นางเคยเห็นเพียงไกล ๆ เมื่อเดือนก่อนเท่านั้นเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างดั่งภูผา เทียบกับนางที่บอบบางสูงแค่หกฉื่อแล้วต่างกันจนทำให้นางหวาดกลัวค่ำคืนแรกนี้เหลือเกิน
เท้าแกร่งก้าวมาหยุดตรงหน้าภายในพริบตา เจ้าบ่าวของนางไม่พูดแม้ครึ่งคำ เขาทำเพียงเอื้อมหยิบคันชั่งมาแตะผ้าโปร่งแดงบนศีรษะนางตามธรรมเนียม แล้วเปิดออกช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อน
แสงเทียนสะท้อนดวงตาเข้มลึกของเขา นิ่ง…แต่ร้อนแรงจนหลิงเซียวสะดุ้ง นางสบตาได้เพียงเสี้ยวลมหายใจก็ต้องก้มหน้าหนี หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดมานอนกองแทบเท้าเจ้าบ่าว
ฝ่ายสวีเฟิ่งเยี่ยนนั้นเดิมทีเขาตั้งใจเพียงทำพิธีให้ครบแล้วแยกไปนอนที่ห้องหนังสือ แต่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวมาตลอดทั้งวันนี้ช่าง…
...งดงามยิ่งนัก
ผิวขาวนวล แก้มที่ดูนุ่มเด้งสีชมพูระเรื่อชวนให้ลองสัมผัส ดวงตากลมใสเหมือนกวางน้อยที่พอสบตาเขาก็รีบก้มหลบ เพียงเท่านี้หัวใจแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบสามปีก็กระตุกวาบ แล้วร่างกายส่วนล่างก็ตอบสนองขึ้นมาในทันทีราวกับตายอดตายอยากมาแรมปี
“หึ…เจ้าสาวที่ท่านปู่หามาให้ นับว่าไม่เลวเลย แค่เห็นหน้าก็ทำให้ข้าเกิดอารมณ์ได้ตั้งแต่แรกพบ”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยกลับหยาบคายเสียจนหลิงเซียวเผลอขมวดคิ้ว นางแต่งมากับตัวอันใดกันแน่…ยังไม่ทันคิดต่อ เฟิ่งเยี่ยนก็ดึงปลายคางนางให้เงยขึ้นสบตา
นางเคยอยู่ในอารามแม่ชี ไม่เคยใกล้บุรุษใดมาก่อน ยิ่งต้องอยู่สองต่อสองเช่นนี้ ร่างกายถึงได้แข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเมื่อเขาโน้มตัวลงใกล้และจับคางแน่นขึ้น นางก็ยิ่งสั่นทั้งตัว
“กลัว?”
นางไม่ตอบ แต่ดวงตาหลบเลี่ยงก็บอกหมดทุกอย่าง เฟิ่งเยี่ยนยกมุมปากน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะอยากแกล้ง ทว่าภาพตรงหน้ามันยั่วยวนเขาจนแทบทนไม่ไหว ฮูหยินตัวน้อยช่างมีกิริยายั่วกำหนัดโดยธรรมชาติดียิ่ง
เฟิ่งเยี่ยนไม่พูดพร่ำ ปลายนิ้วของเขาลูบไล้จากคางลงสู่ลำคอขาว ก่อนค่อย ๆ เอื้อมมือแตะสายผูกชุดเจ้าสาวชั้นนอก ทำเอาหัวใจของหลิงเซียวเต้นผิดจังหวะ
“มาเถอะ คืนนี้…พวกเรามาอุ่นเตียงให้ร้อนระอุกันดีกว่า”
“!!!”
หลิงเซียวสะดุ้ง ยังไม่ทันอุทาน สายคาดเอวแดงก็ถูกกระชากแล้วเหวี่ยงลงไปบนพื้น ก่อนอาภรณ์ชิ้นถัดมาก็ร่วงตามลงไปติดๆ นางรีบยกแขนปิดหน้าอกตามสัญชาตญาณ แต่เฟิ่งเยี่ยนกลับคว้าข้อมือนางไว้รวดเร็วราวนักรบควบคุ้มม้าศึกพยศ เขากดมือสองข้างของนางลงบนหน้าอกแกร่งของเขาหลิงเซียวยิ่งสะดุ้ง
“อย่าปิด” เสียงทุ้มต่ำเหมือนคำสั่งจากปีศาจใต้พิภพ “ข้าต้องการเห็นทุกส่วนบนร่างของเจ้าให้ชัดเจนดีสิว่าคุ้มกับสินสอดไม่น้อยที่ท่านปู่เสียไปหรือไม่”
เสียงหัวใจของหลิงเซียวเต้นดังจนหูอื้อ นางทั้งกลัว ทั้งอับอาย ทั้งไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ลมหายใจร้อนของเขาไล่มาที่แก้มจนมือที่ถูกจับกดเอาไว้ตรงหน้าอกแกร่งก็ร้อนตามไปด้วย
เฟิ่งเยี่ยนโน้มตัวลงอีกนิด ใกล้จนหน้าอกของนางเกือบสัมผัสแผงอกของเขา กลิ่นกายอบอุ่นผสมเหงื่อเจือสุราจาง ๆ แตะปลายจมูกนางเป็นกลิ่นแบบบุรุษที่ผ่านสนามรบมาหลายปีนั้นช่าง ดิบ เถื่อน จนหลิงเซียวหายใจสะดุด
“สายตาของเจ้า…” เขาพึมพำพลางแตะคางนางเบา ๆ “ไม่เหมือนที่ข้าเคยคิดไว้”
“ม…ไม่เหมือนอย่างไรเจ้าคะ” นางถามสั่น ๆ เพราะพยายามซ่อนความแตกตื่นพยายามท่องเอาไว้ว่านางเลือกทางนี้เองห้ามกลัว ห้ามนึกเสียใจ
“ข้าคิดว่าเด็กสาวที่อยู่สำนักอารามซือไท่ถึงเก้าปี คงมองข้าด้วยสายตาตัดใจจากทางโลกแล้ว”
เขาเอียงหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากเกือบแตะเรียวปากของนาง หลิงเซียวผงะหลบแทบหงายไปบนเตียง
“แต่ดวงตาเจ้ากลับมีชีวิต…เหมือนลูกกวางน้อยกลัวว่าข้าจะทำเจ้าแตกสลาย”
ฟังเฟิ่งเยี่ยนกล่าวใบหน้าหลิงเซียวยิ่งร้อนเห่อ ไม่อาจสงบได้เลยแม้เคยถูกสอนให้สงบเยือกเย็นในอาราม
“หากกลัวก็พูดออกมาได้” เขาเอ่ยเสียงแหบ “แต่อย่างหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ไว้…”
มือใหญ่ลากจากลำคอนางลงสู่ไหล่เปลือย คล้ายกำลังตรวจสอบความนวลเนียนของผิวราวหยกเนื้อดี ว่ามันยอดเยี่ยมดังที่ตาเขาเห็นหรือไม่
“ข้าไม่ได้ใจเย็นอย่างที่เจ้าอาจคาดหวัง เพราะข้าเป็นทหาร ไม่อ่อนโยน…ไม่ถนอมเจ้าราวถนอมบุปผาเช่นบุรุษอื่นในตระกูลสวี”
เขาไม่ได้ข่มขู่ หากแต่ต้องการบอกให้รู้ว่าต่อจากนี้สามีของนางเป็นเช่นไร ซึ่งคำเตือนนี้ทำเอาหัวใจหลิงเซียวร่วงไปครึ่งดวง ริมฝีปากสั่นจนหายใจไม่ทั่ว
ตอนที่ 14กว่าสวีเฟิ่งเยี่ยนจะรู้สึกตัว กู้หลิงเซียวก็แน่นิ่งไปแล้ว เวลาเหมือนหยุดลง ใจแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนกลับว่างเปล่าจนเหมือนถูกคว้าน เขารีบกระชากใบหน้านางขึ้นจากน้ำ นิ้วมือสั่นไม่หยุด ร่างของฮูหยินอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงจนตาเขาเบิกกว้างเขาอุ้มนางขึ้นจากถังน้ำ แขนแกร่งที่เคยยกคนทั้งตัวกลับสั่นระริก หลิงเซียวเบาหวิวราวตุ๊กตาผ้า ใบหน้าซีดราวกระดาษ ดวงตาปิดสนิทไร้สัญญาณของชีวิต เมื่อวางนางลงบนพื้นไม้ ก็เห็นเพียงเงาว่างเปล่าที่สะท้อนอยู่ในสายตาตนเอง“หลิงเซียว!”เสียงของเขาแหบพร่า สั่นจนแทบไม่เหมือนตัวเอง ร่างใหญ่นั้นสั่นไม่ใช่เพราะความเย็น หากเพราะความกลัวที่พุ่งขึ้นจากอก มือที่สัมผัสแก้มนางชะงักทันทีเมื่อเจอความเย็นเฉียบ เขาตบแก้มนางเบาๆ ซ้ำๆ“ตื่นสิ… เจ้าได้ยินข้าหรือไม่!”ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงความเงียบอัดแน่นจนเหมือนบดหัวใจเขา เฟิ่งเยี่ยนแทบลืมหายใจ ใบหน้าที่เคยนิ่งเหมือนหิน กลับเต็มไปด้วยความตระหนกไม่อาจปิดบังเฟิ่งเยี่ยนแทบหยุดหายใจไปพร้อมนาง ใบหน้าที่ปกติแข็งเหมือนศิลากลับเต็มไปด้วยความตระหนกและความกลัว ไม่ปิดบังแม้เสี้ยวเดียว หัวใจที่เคยแข็งเหมือนเหล็กกล้ากลับสั่
ตอนที่ 13“ท่านเสียสติหรือเฟิ่งเยี่ยน!”เสียงตวาดถามแหบแห้งของหลิงเซียวพุ่งออกจากริมฝีปากสั่นระริกทันทีที่นางกระชากศีรษะขึ้นจากน้ำแล้วยืนมั่นคง ใบหน้าซีดเผือดเพราะขาดอากาศยังไม่กลับคืนสีของ เลือดฝาดแทบไม่มี แต่ดวงตาหงส์คู่งามของนางก็เบิกกว้างแดงก่ำด้วยความโกรธที่ถูกกดทับจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นเทาเพราะทั้งหนาว ทั้งหวาดหวั่น ทั้งเดือดดาล ระคนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนแรงกว่ากัน“ท่านมาทำร้ายข้าด้วยเหตุอันใด?”หลิงเซียวยืนเกาะขอบถังอีกฟากห่างจากสวีเฟิ่งเยี่ยนไปสองช่วงแขนเพราะไม่วางใจเขาอีกแล้ว เนื้อตัวของนางสั่นเทา เส้นผมเปียกแนบแก้มเหมือนสายโซ่ที่ย้ำเตือนว่าตนเพิ่งถูกคนตรงหน้าจบกดลงน้ำจนเกือบไม่รอด นางหอบจนหน้าอกกระเพื่อมแต่ก็ยังถามหาสาเหตุที่ตนเองถูกทำร้าย“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือสตรีแพศยาทำเรื่องต่ำทรามมากจนจำไม่ได้แล้วกระมัง”นอกจากไม่ตอบสวีเฟิ่งเยี่ยนยังถามนางกลับขณะที่เอ่ยปากเขาก็ขยับเข้ามายืนตรงหน้าของหลิงเซียวอีกสองก้าว ดวงตาคมเกรี้ยวกราดที่ปกติหนักและนิ่งราวเหล็กกล้า ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นประกายมืดวาววับราวกับคนเสียสติ“ข้าแพศยาอย่างไร ข้าไม่รู้ตัว ท่านแม่ทัพช่วยชี้แนะข้าให้รู้ด้ว
ตอนที่ 12เมื่อเฟิ่งเยี่ยนมาถึงหน้าเรือนเหลียนฮัว เขาก็รีบก้าวเข้าในเรือนด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นแต่มั่นคง น้ำหนักของรองเท้าหนังทหารที่กระทบพื้นทำให้พื้นเรือนสั่นทีละก้าว ราวกับเสียงเตือนภัยที่ดังก้องเข้าหูของทุกคนในเรือน ดวงตาเข้มขรึมของเขากวาดมองไปรอบโถงเรือนทันที ราวกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อที่ต้องเจอ เขาหวังจะพบร่างของหลิงเซียวที่มักออกมายืนรอรับเขาเป็นประจำ ไม่ว่าแดดจะร้อนหรือหิมะจะตก นางก็มักมารอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กับสายตาที่สงบเยือกเย็น แต่วันนี้…...วันนี้ราวกับนกรู้ เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง!ในอกของเขาถึงกับสะท้านวูบ คล้ายมีไอเย็นคืบคลานขึ้นจากสันหลัง ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะความโกรธระคนความคับแค้นที่ตีขึ้นมาจนล้นอก“ทะ…ท่านแม่ทัพ”แวบแรกที่กุ้ยหนิงหันมาพบกับร่างสูงใหญ่ของสวีเฟิ่งเยี่ยน สาวใช้ตัวน้อยถึงกับสะดุ้ง นางรีบย่อกายคารวะอย่างลนลานจนเกือบโค้งตัวมากเกินไป ใบหน้าขาวซีดไปในบัดดล หากแต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาคมกล้ากระทบกับแสงอาทิตย์อัสดง ดวงตาที่มืดลึกไร้ก้นบึ้งราวกับหลุมเหวสีดำมืด นางถึงกับแข้งขาสั่นแทบล้มลงเดี๋ยวนี้“ท่าน…กะ…กลับมาแล้ว…หรือเจ้าค่ะ”เสียงเด็กสา
ตอนที่ 11เมื่อเดินผ่านสวนหญ้าหน้าห้องหนังสือ แสงแดดยามบ่ายสาดเข้าหากระเบื้องเคลือบสีเข้มจนเป็นประกายงามจับตา เฟิ่งเยี่ยนที่สวมชุดแม่ทัพสีดำเข้มขลิบเงิน คิ้วเข้มขมวดแน่น ใบหน้าคมดุดันดั่งหยกสลักหยุดหน้าประตูไม้เก่าอย่างชั่วครู่ สายตาของเขาแข็งกร้าวนิ่งงันอยู่ที่บานประตูราวกับต้องการจะส่องทะลุเข้าไปในห้อง เขายกมือขึ้นเคาะสามครั้งดังถี่ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยให้คนภายในห้องทราบถึงการมา “ท่านปู่ เป็นเฟิ่งเยี่ยนขอรับ”เสียงท่านโหวจากด้านในดังออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับคนที่ถือชะตาของบ้านทั้งหลัง “เข้ามาเถิด เยี่ยนเอ๋อ ข้ารอเจ้าอยู่”เฟิ่งเยี่ยนก้าวเข้าไปทันที ราวกับทหารเข้าสู่สนามหน้าศึก สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาสูดกลิ่นน้ำหมึกกับไม้พยุงที่อบอวลในอากาศเต็มปอด กลิ่นเก่าแก่ของหนังสือ ตำราบัญชี เศษกระดาษที่ทับซ้อน หยดน้ำหมึกที่ซึมบนผิวโต๊ะ ไอความเก่าแก่เหล่านั้นทับถมประสาทสัมผัสของเขา ทั้งหมดทำให้ความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจค่อยๆ ถูกขับออกมาเขาประสานมือคำนับ กิริยาแข็งแรงสมกับเป็นคนเดียวในตระกูลที่เป็นทหาร ก่อนดวงตาคมจะเหลือบเห็นกองบัญชีและตำราย
ตอนที่ 10ยามเช้าวันถัดมา แสงแดดสีทองอ่อนสาดลงเหนือจวนติ้งถิงโหว คล้ายจะผลักความเงียบสงบให้ปนกลิ่นความวุ่นวายบางเบาในสายลม แต่ความนิ่งเรียบของลานด้านนอกมิได้เข้าไปถึงห้องหนังสือ ท่านโหวผู้ชรานั่งอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่ก่อนยามเฉิน เขานั่งหลังตรงอย่างผู้ทรงอำนาจ แม้ผมหงอกจะแทรกครึ่งศีรษะและกระดูกเริ่มอ่อนล้า แต่แววตายังคมกริบราวดาบเก่าแก่ที่ผ่านศึกมาไม่รู้กี่ครา ทั้งเช้านั้นเขาใช้เวลากับกู้หลิงเซียวในห้องบัญชีเก่าของสกุลสวีกองสมุดบัญชีซ้อนกันบนโต๊ะไม้สักจนเป็นป้อมปราการแห่งตัวเลขและจำนวนเงิน กลิ่นหมึกเก่าและชาหอมลอยคลุ้งชวนให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมากว่าครึ่งชีวิตที่เขาดูแลตระกูลนี้ เสียงพู่กันลากผ่านแผ่นไม้ไผ่ได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบ“หากไม่เข้าใจเรื่องตัวเลขเจ้าถามท่านปู่ได้” ผ่านไปครู่ใหญ่ชายชราจึงเอ่ยกับหลานสะใภ้เสียงอ่อนโยน“ขอบคุณท่านปู่ที่เมตตาเซียวเซียวเจ้าค่ะ” หลิงเซียวรีบวางลูกคิดกับสมุดบัญชีประสานมือคำนับท่านปู่ของสามีจากใจสีหน้าของเด็กสาวท่าทางสงบ แต่ลึกในดวงตาแฝงประกายแห่งการจดจำแม่นยำและความมุ่งมั่น นางมิได้ทำเพียงเพื่อเอาใจ หากจริงจังเรียนรู้ ทุกตัวเลขที่อ่านผ่า
ตอนที่ 9แต่สุดท้ายหลิงเซียวก็ได้รู้ว่าตัวบัดซบนามสวีเฟิ่งเยี่ยนไม่เคยรักษาคำพูด เพราะทันทีหลังมื้อค่ำ เขาก็จับนางกินแทนของหวานล้างปากอย่างไม่ปรานี และนับแต่นั้น หากเขาไม่มีงานราชการให้ค้างในค่ายแม่ทัพหนุ่มก็กลับเรือนติ้งถิงโหวทุกคืน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาเสพติดร่างกายนางนัก ชอบร่วมรักกับนางจนนางแทบจะหมดแรงอยู่ทุกวัน ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาจับนางร่วมรักทุกคืนจนรู้แม่นว่าแต่ละเดือนระดูของนางมาวันใดหมดวันไหนแต่งเข้าจวนมาสามเดือนเศษ ชีวิตของหลิงเซียวกลับตั้งหลักได้เร็วกว่าที่คาด แม้นางไม่คาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะเคยคิดว่าจะถูกญาติของสามีรังเกียจ แต่ภายในเวลาเพียงสามเดือน บ่าวไพร่ในเรือนเหลียนฮัวต่างยอมรับนางแล้ว ส่วนญาติบ้านรอง บ้านสาม บ้านสี่ก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายกับนางเลย แถมน้องสามีเช่นสวีเฟิ่งหยวนยังดีกับนางมากส่วนท่านโหวคงไม่ต้องเอ่ยเอ่ยถึงอีกฝ่ายสนับสนุนมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วจะติดก็เพียงสามีแม่ทัพของนางที่ยังตั้งแง่ไม่เลิก โชคยังดีที่งานของเขาสุมหัวจนแทบไม่มีเวลาหาเรื่องใส่นาง นอกจากกลับมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ลากนางเข้าห้องไปร่วมรักจนค่อนคืน ในฐานะแม่ทัพอวี้หลิน







