LOGIN
“ว่าอย่างไรเจ้าค่ะ ข้าแพศยาที่ตรงใด?”
เสียงของหลิงเซียวสั่นแต่หนักแน่น นางถามด้วยเหตุด้วยผลไม่ใช่ประชด แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ยอมก้มหน้าอีกต่อไป หากเขาไม่พูด นางก็ไม่มีวันรู้เลยว่าตนทำผิดสิ่งใด ถึงต้องถูกเขาจับกดน้ำจนเกือบตายเมื่อครู่ไม่พอยังถูกสามีด่าด้วยถ้อยคำต่ำช้าเช่นนั้น
เฟิ่งเยี่ยนกัดกรามแน่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ก่อนเสียงต่ำลึกของเขาจะดังขึ้นทีละคำ “เจ้ามันแพศยาทั้งตัว! แพศยาไปถึงสันดานของเจ้าอย่างไรเล่ากู้หลิงเซียว!”
หลิงเซียวชะงักงัน นางเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อว่าคำเหล่านี้ออกจากปากของผู้เป็นสามีที่นางภักดีมาตลอดสามเดือนเศษ “มันจะเกินไปแล้วนะ สวีเฟิ่งเยี่ยน!”
“เกินไปหรือ? เจ้ามันปีศาจจิ้งจอกมากเล่ห์กล! เจ้าเพิ่งแต่งเข้ามาได้เพียงสามเดือนหากไม่ล่อลวงให้ท่านปู่เขาจะยก ‘เหอเซียงหยู่’ ให้เจ้าดูแลเช่นนี้หรือ ใครขัดก็ไม่ฟัง แล้วเจ้าจะยังกล้าบอกว่าข้ากล่าวเกินไปอีกหรือ!”
“เล่ห์กลอะไรของท่านกัน! ท่านปู่ยกให้ข้าเองต่างหาก!” หลิงเซียวแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธที่อัดแน่นในอก
เฟิ่งเยี่ยนหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำเยียบเย็น รอยยิ้มที่มุมปากกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเล่นงิ้วเก่งนักกู้หลิงเซียว ล่อลวงให้ท่านปู่เอ็นดูยังไม่พอ ยังไปยั่วยวนน้องชายข้าให้หลงเจ้าอีกคนเหอเซียงหยู๋สมควรเป็นของน้องชายข้าไม่ใช่สะใภ้เช่นเจ้า คราวนี้เจ้าจะยังปฏิเสธอีกหรือ!”
เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว พื้นไม้สะเทือนตามแรงฝีเท้า สายตาคมกริบมองนางราวกับมองงูพิษ สมควรตีให้ตายเสียตรงนี้
หลิงเซียวสูดลมหายใจลึก ฝืนไม่ให้เสียงสั่น “ข้าพูดความจริง ท่านอยู่ที่จวนหรือจึงกล่าวหาข้าเช่นนี้! วันนี้ตอนท่านปู่เรียกทุกคนมาถามพร้อมกันก็ไม่มีใครคัดค้าน ท่านอยู่ในค่ายไม่รู้อันใดกลับมาให้ร้ายด่าทอข้ายังพอทน แต่ลงมือทำร้ายกัน ท่านยังมีศักดิ์ศรีของบุรุษอยู่หรือไม่?”
สามเดือนแห่งการเป็นฮูหยินแม่ทัพสวี สำหรับนางคือการอดทนทุกลมหายใจ เขาไม่เคยพูดดี ไม่เคยมองนางด้วยสายตาอบอุ่นนอกจากทำเรื่องอย่างว่านอกห้องนอน มีแต่ความชิงชังราวนางเผาป้ายวิญญาณบิดามารดาเขาเอง วันนี้...นางจะไม่ทนอีกต่อไป
“บังอาจนัก! เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้าเช่นนี้หรือ นังตัวแพศยา! ทั้งวันเอาแต่ทำตัวน่าสงสารต่อหน้าท่านปู่ คงไม่พอสินะ ยังจะไปยั่วยวนหยวนเอ๋ออีกถึงได้ช่วยกันผลักร้านนั้นให้เจ้า!”
“สวีเฟิ่งเยี่ยน!” หลิงเซียวกัดฟันแน่น น้ำเสียงนางสั่นด้วยทั้งโทสะและความขมขื่น “ท่านไม่เพียงเหยียดหยามข้า แต่ยังดูแคลนน้องชายแท้ๆ ของตนเอง! หากข้ามีพี่ชายเช่นท่าน ข้าคงปลิดชีพหนีความอัปยศไปนานแล้ว!”
“กู้หลิงเซียว!” เขาตวาดลั่นจนเสียงสะเทือนถึงหน้าเรือน
“อะไรเล่า! ข้าก็โกรธเป็นเหมือนท่านนั่นแหละ! ข้าไม่เคยขอร้านนั้น เป็นท่านปู่ที่มอบให้เอง ท่านต่างหากที่กล่าวหาข้าโดยไร้เหตุผล!”
“อย่ามาโกหก!” เขาชี้หน้านาง ดวงตาแดงก่ำด้วยความบ้าคลั่ง
“ข้าไม่ได้โกหก! ท่านต่างหากที่ปิดหูปิดตาไม่ฟัง!”
เสียงตะโกนโต้กันของทั้งคู่ดังลั่นไปทั่วเรือน ไม่มีใครยอมใคร
“พวกสตรีก็เหมือนกันหมด!” เขาคำราม “ปีศาจจิ้งจอก ใช้มารยาให้บุรุษหลง เจ้าเองก็คงไม่ต่าง!”
หลิงเซียวถลึงตา “หยุดกล่าวหาข้า! ข้าไม่เคยยั่วยวนน้องสามี และไม่เคยเสแสร้งให้ท่านปู่เอ็นดู!”
“ไม่เคยเสแสร้งหรือ?” เขาแค่นเสียงต่ำ ใบหน้าเคร่งเครียดจนเส้นเลือดปูด
“หากเจ้าไม่เสแสร้งจนท่านปู่หลงกล แล้วไปยั่วยวนหยวนเอ๋อจนลุ่มหลง พวกเขาจะร่วมมือกันหลอกข้าวันนี้ได้อย่างไร!”หลิงเซียวตัวสั่น ดวงตาแดงเรื่อด้วยน้ำตาแห่งความโกรธ“ดี! เช่นนั้นข้ามันชั่ว ข้ามันแพศยา ข้ามันเลว!” เสียงนางสั่นระรัว
“ในเมื่อท่านเห็นข้าเป็นเช่นนั้น...ข้าก็ไม่อยากอยู่ให้รังเกียจอีกต่อไป!”
เขาก้าวเข้ามาใกล้จนปลายเท้าแทบชนกัน ดวงตาแผดเผานางราวไฟนรก“เจ้าจะทำอะไร?” เขากัดฟันเน้นถามทีละคำ
หลิงเซียวเงยหน้าสบตาเขา ดวงตานั้นแน่วแน่กว่าครั้งใด“ท่านแม่ทัพเช่นั้น...ท่านก็หย่ากับข้าเถอะ!”
คำนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจเฟิ่งเยี่ยน ภาพใบหน้าของนางซ้อนทับกับมารดาของเขาในอดีตก็เคยตะโกนประโยค‘เช่นนั้นท่านก็หย่ากับข้าเถอะ!’ กับบิดาของเขาเช่นกัน แล้วพอบิดาของเขาปฏิเสธนางก็หนีตามชายอื่นไป ทิ้งลูกสองคนไว้เบื้องหลัง
เลือดในกายเขาเย็นเฉียบ ก่อนจะเดือดพล่านขึ้นอีกครั้ง“หย่าให้เจ้าเช่นนั้นหรือ? หึ...”
เขาก้มลงกระซิบชิดใบหน้านาง “หรือแท้จริงเจ้าต้องการไปเป็นสตรีของหยวนเอ๋อ? มีข้าเป็นสามียังไม่อิ่มอีกหรือถึงอยากลองกับน้องชายข้าอีกคน!”
เผียะ!
เสียงตบหน้าดังก้อง ใบหน้าเขาหันไปตามแรงฟาด เพราะหลิงเซียวถึงขีดสุดแห่งความอดทนแล้วกับสามีโสมมตรงหน้า
“ท่านมันบุรุษสมองโสมม! ใจแคบกว่ารูเข็ม!” หลิงเซียวด่าไปก็หอบหายใจแรง
“บัวใต้ตมยังงามกว่าท่านเสียอีก! สตรีทั่วเมืองหลวงคงไม่มีผู้ใดอยากแต่งกับคนเช่นท่านสวีเฟิ่งเยี่ยน!”
คำด่าของนางเหมือนคมมีดที่แทงกลางอก เฟิ่งเยี่ยนหายใจแรง แต่ไม่ใช่เพราะเหนื่อยเขากำลังข่มโทสะที่เดือดพล่านในอก เพราะทุกคำของนาง...มันคือคำที่มารดาเคยด่าบิดาเขาในคืนนั้น
“ข้าทนกับสามีเช่นท่านไม่ไหวแล้ว! ในเมื่อท่านไม่เคยมองข้าเป็นคนดี ก็หย่าให้ข้ามาเลย! วันนี้นี่แหละ!”
คำว่า ‘หย่า’ ที่หลุดจากปากนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดชนวนโทสะของเขาให้ระเบิด เฟิ่งเยี่ยนพุ่งเข้าประชิดร่างเล็กของภรรยา มือหนาคว้าคอลำคอขาวราวหงส์ของนางบีบแน่นจนหลิงเซียวสะดุ้งดวงตาเหลือกลาน
“พูดใหม่อีกครั้ง!” เขาคำราม เสียงต่ำดังก้อง
“มะ...ไม่!” นางพยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นเขายิ่งบีบแน่น
“พูดใหม่เดี๋ยวนี้!”
“ท่าน...หย่า...ให้...ข้า...เถอะ!”
ถึงถูกบีบคอจนหายใจลำบากแต่กูหลิงเซียวก็ยังเอ่นยืนยันความตั้งใจเดิมหยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกทางหางตาเรียว เฟิ่งเยี่ยนมองนางด้วยสายตาวาวโรจน์ นางไม่ใช่หลิงเซียวอีกแล้วในสายตาเขา กู้หลิงเซียวเปลี่ยนไปเป็นเงาของสตรีผู้ทรยศในอดีตถึงสองคนในชีวิตเขาเสียแล้ว!
ตอนที่ 14กว่าสวีเฟิ่งเยี่ยนจะรู้สึกตัว กู้หลิงเซียวก็แน่นิ่งไปแล้ว เวลาเหมือนหยุดลง ใจแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนกลับว่างเปล่าจนเหมือนถูกคว้าน เขารีบกระชากใบหน้านางขึ้นจากน้ำ นิ้วมือสั่นไม่หยุด ร่างของฮูหยินอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงจนตาเขาเบิกกว้างเขาอุ้มนางขึ้นจากถังน้ำ แขนแกร่งที่เคยยกคนทั้งตัวกลับสั่นระริก หลิงเซียวเบาหวิวราวตุ๊กตาผ้า ใบหน้าซีดราวกระดาษ ดวงตาปิดสนิทไร้สัญญาณของชีวิต เมื่อวางนางลงบนพื้นไม้ ก็เห็นเพียงเงาว่างเปล่าที่สะท้อนอยู่ในสายตาตนเอง“หลิงเซียว!”เสียงของเขาแหบพร่า สั่นจนแทบไม่เหมือนตัวเอง ร่างใหญ่นั้นสั่นไม่ใช่เพราะความเย็น หากเพราะความกลัวที่พุ่งขึ้นจากอก มือที่สัมผัสแก้มนางชะงักทันทีเมื่อเจอความเย็นเฉียบ เขาตบแก้มนางเบาๆ ซ้ำๆ“ตื่นสิ… เจ้าได้ยินข้าหรือไม่!”ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงความเงียบอัดแน่นจนเหมือนบดหัวใจเขา เฟิ่งเยี่ยนแทบลืมหายใจ ใบหน้าที่เคยนิ่งเหมือนหิน กลับเต็มไปด้วยความตระหนกไม่อาจปิดบังเฟิ่งเยี่ยนแทบหยุดหายใจไปพร้อมนาง ใบหน้าที่ปกติแข็งเหมือนศิลากลับเต็มไปด้วยความตระหนกและความกลัว ไม่ปิดบังแม้เสี้ยวเดียว หัวใจที่เคยแข็งเหมือนเหล็กกล้ากลับสั่
ตอนที่ 13“ท่านเสียสติหรือเฟิ่งเยี่ยน!”เสียงตวาดถามแหบแห้งของหลิงเซียวพุ่งออกจากริมฝีปากสั่นระริกทันทีที่นางกระชากศีรษะขึ้นจากน้ำแล้วยืนมั่นคง ใบหน้าซีดเผือดเพราะขาดอากาศยังไม่กลับคืนสีของ เลือดฝาดแทบไม่มี แต่ดวงตาหงส์คู่งามของนางก็เบิกกว้างแดงก่ำด้วยความโกรธที่ถูกกดทับจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นเทาเพราะทั้งหนาว ทั้งหวาดหวั่น ทั้งเดือดดาล ระคนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนแรงกว่ากัน“ท่านมาทำร้ายข้าด้วยเหตุอันใด?”หลิงเซียวยืนเกาะขอบถังอีกฟากห่างจากสวีเฟิ่งเยี่ยนไปสองช่วงแขนเพราะไม่วางใจเขาอีกแล้ว เนื้อตัวของนางสั่นเทา เส้นผมเปียกแนบแก้มเหมือนสายโซ่ที่ย้ำเตือนว่าตนเพิ่งถูกคนตรงหน้าจบกดลงน้ำจนเกือบไม่รอด นางหอบจนหน้าอกกระเพื่อมแต่ก็ยังถามหาสาเหตุที่ตนเองถูกทำร้าย“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือสตรีแพศยาทำเรื่องต่ำทรามมากจนจำไม่ได้แล้วกระมัง”นอกจากไม่ตอบสวีเฟิ่งเยี่ยนยังถามนางกลับขณะที่เอ่ยปากเขาก็ขยับเข้ามายืนตรงหน้าของหลิงเซียวอีกสองก้าว ดวงตาคมเกรี้ยวกราดที่ปกติหนักและนิ่งราวเหล็กกล้า ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นประกายมืดวาววับราวกับคนเสียสติ“ข้าแพศยาอย่างไร ข้าไม่รู้ตัว ท่านแม่ทัพช่วยชี้แนะข้าให้รู้ด้ว
ตอนที่ 12เมื่อเฟิ่งเยี่ยนมาถึงหน้าเรือนเหลียนฮัว เขาก็รีบก้าวเข้าในเรือนด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นแต่มั่นคง น้ำหนักของรองเท้าหนังทหารที่กระทบพื้นทำให้พื้นเรือนสั่นทีละก้าว ราวกับเสียงเตือนภัยที่ดังก้องเข้าหูของทุกคนในเรือน ดวงตาเข้มขรึมของเขากวาดมองไปรอบโถงเรือนทันที ราวกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อที่ต้องเจอ เขาหวังจะพบร่างของหลิงเซียวที่มักออกมายืนรอรับเขาเป็นประจำ ไม่ว่าแดดจะร้อนหรือหิมะจะตก นางก็มักมารอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กับสายตาที่สงบเยือกเย็น แต่วันนี้…...วันนี้ราวกับนกรู้ เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง!ในอกของเขาถึงกับสะท้านวูบ คล้ายมีไอเย็นคืบคลานขึ้นจากสันหลัง ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะความโกรธระคนความคับแค้นที่ตีขึ้นมาจนล้นอก“ทะ…ท่านแม่ทัพ”แวบแรกที่กุ้ยหนิงหันมาพบกับร่างสูงใหญ่ของสวีเฟิ่งเยี่ยน สาวใช้ตัวน้อยถึงกับสะดุ้ง นางรีบย่อกายคารวะอย่างลนลานจนเกือบโค้งตัวมากเกินไป ใบหน้าขาวซีดไปในบัดดล หากแต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาคมกล้ากระทบกับแสงอาทิตย์อัสดง ดวงตาที่มืดลึกไร้ก้นบึ้งราวกับหลุมเหวสีดำมืด นางถึงกับแข้งขาสั่นแทบล้มลงเดี๋ยวนี้“ท่าน…กะ…กลับมาแล้ว…หรือเจ้าค่ะ”เสียงเด็กสา
ตอนที่ 11เมื่อเดินผ่านสวนหญ้าหน้าห้องหนังสือ แสงแดดยามบ่ายสาดเข้าหากระเบื้องเคลือบสีเข้มจนเป็นประกายงามจับตา เฟิ่งเยี่ยนที่สวมชุดแม่ทัพสีดำเข้มขลิบเงิน คิ้วเข้มขมวดแน่น ใบหน้าคมดุดันดั่งหยกสลักหยุดหน้าประตูไม้เก่าอย่างชั่วครู่ สายตาของเขาแข็งกร้าวนิ่งงันอยู่ที่บานประตูราวกับต้องการจะส่องทะลุเข้าไปในห้อง เขายกมือขึ้นเคาะสามครั้งดังถี่ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยให้คนภายในห้องทราบถึงการมา “ท่านปู่ เป็นเฟิ่งเยี่ยนขอรับ”เสียงท่านโหวจากด้านในดังออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับคนที่ถือชะตาของบ้านทั้งหลัง “เข้ามาเถิด เยี่ยนเอ๋อ ข้ารอเจ้าอยู่”เฟิ่งเยี่ยนก้าวเข้าไปทันที ราวกับทหารเข้าสู่สนามหน้าศึก สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาสูดกลิ่นน้ำหมึกกับไม้พยุงที่อบอวลในอากาศเต็มปอด กลิ่นเก่าแก่ของหนังสือ ตำราบัญชี เศษกระดาษที่ทับซ้อน หยดน้ำหมึกที่ซึมบนผิวโต๊ะ ไอความเก่าแก่เหล่านั้นทับถมประสาทสัมผัสของเขา ทั้งหมดทำให้ความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจค่อยๆ ถูกขับออกมาเขาประสานมือคำนับ กิริยาแข็งแรงสมกับเป็นคนเดียวในตระกูลที่เป็นทหาร ก่อนดวงตาคมจะเหลือบเห็นกองบัญชีและตำราย
ตอนที่ 10ยามเช้าวันถัดมา แสงแดดสีทองอ่อนสาดลงเหนือจวนติ้งถิงโหว คล้ายจะผลักความเงียบสงบให้ปนกลิ่นความวุ่นวายบางเบาในสายลม แต่ความนิ่งเรียบของลานด้านนอกมิได้เข้าไปถึงห้องหนังสือ ท่านโหวผู้ชรานั่งอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่ก่อนยามเฉิน เขานั่งหลังตรงอย่างผู้ทรงอำนาจ แม้ผมหงอกจะแทรกครึ่งศีรษะและกระดูกเริ่มอ่อนล้า แต่แววตายังคมกริบราวดาบเก่าแก่ที่ผ่านศึกมาไม่รู้กี่ครา ทั้งเช้านั้นเขาใช้เวลากับกู้หลิงเซียวในห้องบัญชีเก่าของสกุลสวีกองสมุดบัญชีซ้อนกันบนโต๊ะไม้สักจนเป็นป้อมปราการแห่งตัวเลขและจำนวนเงิน กลิ่นหมึกเก่าและชาหอมลอยคลุ้งชวนให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมากว่าครึ่งชีวิตที่เขาดูแลตระกูลนี้ เสียงพู่กันลากผ่านแผ่นไม้ไผ่ได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบ“หากไม่เข้าใจเรื่องตัวเลขเจ้าถามท่านปู่ได้” ผ่านไปครู่ใหญ่ชายชราจึงเอ่ยกับหลานสะใภ้เสียงอ่อนโยน“ขอบคุณท่านปู่ที่เมตตาเซียวเซียวเจ้าค่ะ” หลิงเซียวรีบวางลูกคิดกับสมุดบัญชีประสานมือคำนับท่านปู่ของสามีจากใจสีหน้าของเด็กสาวท่าทางสงบ แต่ลึกในดวงตาแฝงประกายแห่งการจดจำแม่นยำและความมุ่งมั่น นางมิได้ทำเพียงเพื่อเอาใจ หากจริงจังเรียนรู้ ทุกตัวเลขที่อ่านผ่า
ตอนที่ 9แต่สุดท้ายหลิงเซียวก็ได้รู้ว่าตัวบัดซบนามสวีเฟิ่งเยี่ยนไม่เคยรักษาคำพูด เพราะทันทีหลังมื้อค่ำ เขาก็จับนางกินแทนของหวานล้างปากอย่างไม่ปรานี และนับแต่นั้น หากเขาไม่มีงานราชการให้ค้างในค่ายแม่ทัพหนุ่มก็กลับเรือนติ้งถิงโหวทุกคืน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาเสพติดร่างกายนางนัก ชอบร่วมรักกับนางจนนางแทบจะหมดแรงอยู่ทุกวัน ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาจับนางร่วมรักทุกคืนจนรู้แม่นว่าแต่ละเดือนระดูของนางมาวันใดหมดวันไหนแต่งเข้าจวนมาสามเดือนเศษ ชีวิตของหลิงเซียวกลับตั้งหลักได้เร็วกว่าที่คาด แม้นางไม่คาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะเคยคิดว่าจะถูกญาติของสามีรังเกียจ แต่ภายในเวลาเพียงสามเดือน บ่าวไพร่ในเรือนเหลียนฮัวต่างยอมรับนางแล้ว ส่วนญาติบ้านรอง บ้านสาม บ้านสี่ก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายกับนางเลย แถมน้องสามีเช่นสวีเฟิ่งหยวนยังดีกับนางมากส่วนท่านโหวคงไม่ต้องเอ่ยเอ่ยถึงอีกฝ่ายสนับสนุนมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วจะติดก็เพียงสามีแม่ทัพของนางที่ยังตั้งแง่ไม่เลิก โชคยังดีที่งานของเขาสุมหัวจนแทบไม่มีเวลาหาเรื่องใส่นาง นอกจากกลับมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ลากนางเข้าห้องไปร่วมรักจนค่อนคืน ในฐานะแม่ทัพอวี้หลิน







