ฉ่า~
เสียงวัตถุดิบหอมๆ ที่ถูกใส่ลงในกระทะร้อนๆ ยังคงน่าฟังเสมอสำหรับหลี่โต๋วเปา ยิ่งถ้าเป็นฉินอี้หนิงทำ ชายหนุ่มจากยุคจักรวรรดิอย่างเขาก็ยิ่งชอบเป็นพิเศษ
หมูสองไฟหรือหมูหุยกัว [1] คืออาหารหลักจานใหญ่ในมื้อค่ำวันนี้
ชายหนุ่มไม่รู้กรรมวิธีการทำที่ละเอียดนัก รู้เพียงว่ามันเป็นหมูผัดที่มีกระบวนการปรุงเนื้อหมูถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกฉินอี้หนิงได้นำเนื้อหมูไปเคี่ยวใส่กับเครื่องเทศ ทั้งพริก ขิงและอื่นๆ ก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นนำหมูที่ผ่านการเคี่ยวเครื่องเทศมาเรียบร้อยแล้ว ไปซอยเป็นแผ่นเพื่อนำไปผัดใส่กับพริกหยวก ต้นหอมและอื่นๆ ด้วยน้ำปรุงรสสูตรพิเศษของนาง
อาหารจานที่สองคือตีนไก่ตุ๋นน้ำแดง ส่วนจานสุดท้ายคือหมูสามชั้นนึ่งกาลัด แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนรังสรรค์ขึ้นโดยแม่ครัวผู้เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นอย่างฉินอี้หนิง
ครอบครัวสกุลฉินยังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศอันอบอุ่นอย่างมีความสุข ฉินอี้หนิงยังคงเป็นบุคคลที่เตรียมอาหารอร่อยๆ ให้หลี่โต๋วเปา แม้ว่าเขาจะเป็นแมวที่กินจุมากก็ตาม จากหนึ่งจานเป็นสองจาน เป็นสามจานและหกจานในที่สุด
การดูแลของหญิงสาว ทำให้หลี่โต๋วเปาเผลอคิดไปเองว่าฉินอี้หนิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาอาจลืมเรื่องแปลกๆ เมื่อตอนกลางวันจนหมดสิ้นแล้ว หรือไม่คนฉลาดอย่างนางก็คงมีแผนบางอย่างเตรียมไว้
ซึ่งถ้านางไม่รีบจัดการแผนนั้นตั้งแต่วันนี้ ความลับของการย้อนอดีตมาที่นี่ของหลี่โต๋วเปา ก็คงยังอยู่ตลอดไป…
“หมูสามชั้นนึ่งเกาลัดจานนี้ก็อร่อยมาก เสี่ยวหนิงของเราชอบทำอาหารสูตรฉงชิ่งจริงๆ” ท่านยายเอ่ยขึ้นหลังจากใช้ตะเกียบคีบเกาลัดชิ้นโตใส่ปาก พร้อมกับคีบเนื้อหมูสามชั้นนุ่มละมุนตามลงไป “หืม แถมยังทำออกมาจนได้รสชาติละเอียดอ่อนมากทีเดียว พอเข้าปากก็ให้รสที่นุ่มละมุนยิ่ง...”
ฉินอี้หนิงยิ้มรับอย่างสดใส “ท่านยายเจ้าคะ นี่เป็นเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีที่หนิงเอ๋อร์ไปซื้อมาจากร้านของลุงเหมา เอามาหมักกับเครื่องเทศจนเข้าเนื้อ มันผ่านการทอดก่อนนำมานึ่งคู่กับเกาลัดและเม็ดบัว”
สองผู้เฒ่าชราที่ได้กินอาหารของหลานสาว (เลี้ยง) มานานหลายเดือน ย่อมรู้และเข้าใจดีว่ากรรมวิธีการปรุงของนางนั้นละเอียดอ่อนยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาคนไหนๆ
จนผู้ที่ผ่านโลกกว้างมามากอย่างท่านตาฉิน อดคิดไม่ได้ว่าบางทีฉินอี้หนิงอาจมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ก่อนจะมาอยู่ที่นี่ เพียงแต่ชายชราเลือกที่จะเงียบเพื่อปกป้องนางให้ปลอดภัยจากทุกสิ่ง
เมื่ออาหารเย็นหมดลง ฉินอี้หนิงที่รับหน้าที่ล้างจานมีหลี่โต๋วเปานั่งรออยู่ข้างๆ นางมองดูเพื่อนร่วมบ้านที่น่าพิศวงตัวนี้ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดเป็นพิเศษ
ฉับพลันที่ไหใส่บ๊วยดองกำลังจะตกใส่ศีรษะของนาง หลี่โต๋วเปาก็ใช้พลังจิตทำให้ไหดินเผานั่นลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่มันจะลงบนศีรษะนาง
“เจ้า…” เสียงหวานเอ่ยราวกับพึมพำ
ฉินอี้หนิงมองหลี่โต๋วเปาสลับกับไหบนศีรษะด้วยดวงตากลมสวยที่เบิกโพลง นางไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้นางต้องมาเจอเรื่องไร้สาระเช่นนี้ คงไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าแมวที่ดูธรรมดาอย่างโต๋วเปา จะสามารถหยุดไหหนักๆ ที่บรรจุเหล้าบ๊วยไว้จนเต็มได้…ด้วยบางสิ่งที่มนุษย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
เพล้งงงง!!!
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหญิงสาว หลี่โต๋วเปาจำต้องปล่อยไหนั่นลงข้างๆ นาง จนมันกระทบพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มกำลังจะใช้จังหวะนั้นถอดทุกอุปกรณ์ และหนีออกจากโลกย้อนยุคใบนี้ เพียงแต่อุบัติเหตุเล็กๆ และกลิ่นคาวเลือดจากร่างบางกลับรั้งตัวเขาไว้เสียก่อน
เศษไหชิ้นเล็กๆ กระเด็นมาบาดเข้าที่หลังเท้าของฉินอี้หนิง หญิงสาวไม่ได้ร้องหรือส่งเสียงอะไรออกมา นางเพียงแต่ค่อยๆ ก้มลงไปใช้ผ้าเช็ดหน้าประจำตัวค่อยๆ เช็ดเลือดที่ไหลออกมาเท่านั้น
ทว่า อยู่ๆ ร่างกายของนางก็กลายเป็นไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด ฉินอี้หนิงรู้สึกราวกับนางไม่ใช่ผู้ควบคุมกายเนื้อนี้อีกแล้ว แต่ก่อนที่ตัวนางจะล้มลงบนพื้น ท่อนแขนแกร่งของใครบางคนก็โอบรอบตัวนางไว้เสียก่อน แถมบุรุษผู้มาใหม่คนนั้น ยังถือวิสาสะดึงนางไปพิงบนแผงอกของเขาอย่างรวดเร็ว
ฉินอี้หนิงพยายามจะเงยหน้าขึ้น ทว่านางไม่อาจขยับส่วนอื่นได้นอกจากดวงตา
เจ้าแมวขาวตัวนั้นหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงบุรุษปริศนาผู้มีผิวกายขาวสะอาดราวกับน้ำนม อีกทั้งพื้นผิวยังละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่านางที่เป็นสตรี สิ่งที่แสดงอยู่ภายนอกนี้ ช่วยบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาย่อมเป็นคุณชายที่อยู่เพียงแต่ในห้องของตนเท่านั้น
ฉินอี้หนิงไม่ได้ตั้งใจสูดกลิ่นของฝ่ายตรงข้าม เพียงแต่ความแนบชิดทำให้นางไม่อาจเลี่ยงมันได้ ด้วยเหตุนี้กลิ่นหอมเย็นคล้ายกับดอกจื่อติงเซียง [2] สีม่วงจึงกระจ่างชัดและฝังลึกลงในความทรงจำของนาง
“อ๊ะ!? ท่าน…”
หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือเรียวใหญ่นำยาบางอย่างมาป้ายลงที่บาดแผลของนาง แต่เสียงนั้นก็ต้องหายไป เมื่อทันทีที่ยาชนิดนี้ป้ายลง บาดแผลสีแดงสดก็สมานเข้าหากันและมลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลมหายใจอุ่นๆ เป่าลงบนศีรษะของฉินอี้หนิงเบาๆ ทว่าสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้นางอย่างยิ่ง นางอยากผละเขาออก แต่ไม่อาจทำได้เพราะร่างทั้งร่างไม่ยอมทำตามคำสั่ง
“ท่านคือผู้ใด?” เสียงหวานถามอย่างอ่อนแรง ซึ่งนางต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำเช่นนี้
ไม่มีคำตอบจากฝ่ายตรงข้ามในทันที มีเพียงกลิ่นหอมชวนหลงใหล ความอบอุ่นของกายเนื้อมนุษย์ และเสียงหัวใจเต้นเบาๆ เท่านั้นที่ทำให้ฉินอี้หนิงรู้ว่าพื้นที่ตรงนี้ยังมีคนที่กำลังกอดประคองนางอย่างห่วงใย
เป็นเรื่องแปลกที่ท่านตากับท่านยายไม่ได้ยินเสียงไหบ๊วยแตก หรือบางทีบุรุษผู้นี้อาจมีพลังบางอย่างทำให้พวกท่านเป็นเหมือนนาง
ฉับพลันที่หญิงสาวกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอด ไหเหล้าบ๊วยก็กลับมาประกอบกันดังเดิม และถูกวางลงบนที่เดิม นั่นคือที่อยู่ก่อนที่มันจะตกลงไปแตก ฉินอี้หนิงรับรู้ในทันทีว่านางไม่ได้กำลังอยู่กับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
ร่างบางยกเลิกความพยายามที่จะกลับไปควบคุมร่างในทันที นางอยากแกล้งตายยิ่งนัก เผื่อว่าเขาจะปล่อยศพไร้ชีวิตไป แต่ยังไม่ทันจะได้เล่นละครบทใหญ่ บุรุษปริศนาผู้นี้ก็ช้อนร่างของฉินอี้หนิงขึ้นไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว
“หลี่หยางหนิงอัน…” เสียงหวานราวกับเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ยามเมื่อได้เห็นหน้าของบุรุษผู้นี้อย่างถนัดตา สมองของนางพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจนหายใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ ทรราชผู้นี้ใยจึงมาทำดีกับนางทั้งที่ต้องการฆ่าล้างตระกูลหรัน
ไม่ใช่สิ นางมองผิดไป…
ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ยังมีความต่างอยู่มาก นั่นคือนัยน์ตาสีฟ้าซึ่งหาได้ยากยิ่ง และไม่พบในชาวฮั่นหรือชนพื้นถิ่นทั่วไป หากแต่มีปรากฏในคำบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าจากตะวันตก หรือก็คือชนเผ่าผิวขาว
พอมองดูแล้วผิวกายของคนผู้นี้ก็ขาวสะอาดจริงๆ ซ้ำยังไม่มีแววคร้ามแดดแบบบุรุษบ้าสงครามผู้นั้น เขาคงเป็นพวกต้าฉิน [1] ที่อพยพเข้ามาค้าขาย แต่เหตุผลใดกัน ที่ทำให้เขามีใบหน้าละม้ายคล้ายทรราชสกุลหลี่ผู้นั้นยิ่งนัก?
“ท่านเป็นใครกันแน่? เข้ามาในบ้านนี้ได้อย่างไร? เป็นลูกหลานของชนเผ่าเร่ร่อนจากดินแดนหลังทะเลทรายรึ?”
หลี่โต๋วเปาเลือกจะไม่มองนาง ซ้ำยังไม่คิดตอบคำถามอันน่าปวดหัวเหล่านั้น เพราะนางจะเห็นเขาเป็นอะไรก็ได้ แต่นางจะไม่ได้ข้อมูลใดจากปากของเขาทั้งนั้น
“หรือท่านเกิดจากสายโลหิตของสกุลหลี่ผสมสายเลือดทูเจวี๋ย [2] กับชนพื้นถิ่นทางทิศตะวันตก”
เพราะคำถามนี้มีชื่อสกุลหลี่ ดวงตาของหลี่โต๋วเปาจึงฉายแววไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่คนที่มีจิตใจแข็งแกร่งอย่างเขาย่อมสามารถอดทนต่อนางได้อย่างง่ายดาย พอเดินขึ้นมาถึงห้องนอนของหญิงสาว หลี่โต๋วเปาก็วางนางลงบนเตียงอย่างไม่ถนอมนัก
ฉินอี้หนิงรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม
แต่พอนางลองสังเกตเขาให้ดีๆ จึงเห็นว่าเสื้อผ้าของชายผู้นี้ดูแปลกตากว่าคนทั่วไป ทั้งที่มันเป็นแค่เสื้อแขนยาวสีขาวแสนเรียบง่าย กับกางเกงขายาวเรียบๆ สีดำสนิทเท่านั้น
นัยน์ตาสีฟ้านั่นออกจะคุ้นตานางอยู่บ้าง ไม่นานชื่อของเจ้าแมวโต๋วเปาก็ผุดขึ้นมาในสมองของหญิงสาว นางจึงขอเสี่ยงดวงดูเสียหน่อย ว่าสิ่งไม่น่าเชื่อที่นางกำลังคิด มันจะเป็นจริงดังที่คิดหรือไม่
“ท่านคือเจ้าแมวโต๋วเปาแมวของข้าใช่หรือไม่?”
…..
“ท่านเป็นเทพเซียนหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงกลายร่างเป็นคนได้”
…..
“ข้าเลี้ยงท่าน เปลืองข้าวสวยไปตั้งหลายหม้อ เปลืองกับข้าวตั้งหลายชนิด” นางยังคงบ่นไม่หยุด แต่ด้วยพลังจิตของชายหนุ่มทำให้รอบข้างมีแต่ความเงียบงันเท่านั้น
…..
“เจ้า…มันเจ้าแมวเจ้าเล่ห์ ข้าไม่ยอมนอนเด็ดขาด เพราะข้ายัง…ไม่ได้อาบน้ำ…”
ไม่นานหนังตาของหญิงสาวก็หนักอึ้งขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงของนางก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ แม้นางจะพยายามฝืนตนเองให้ตื่นไว้มากเพียงใด แต่สุดท้ายฉินอี้หนิงก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย
เมื่อจังหวะหายใจของนางสม่ำเสมอ หลี่โต๋วเปาก็ทำเพียงแค่ยืนมองหญิงสาวอยู่ข้างๆ เตียงของนางเท่านั้น
มือใหญ่ถือวิสาลูบปอยผมนุ่มออกจากใบหน้างาม เผลอไล่นิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากสีฉ่ำเบาๆ อย่างเผลอไผล ภายในใจร่ำร้องอยากลองสัมผัสความหวานนี้ กระทั่งรู้ตัวว่าทำมากเกินไปจึงได้ชักมือกลับ
นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มองนาง ได้กินอาหารฝีมือนาง และได้อยู่ใกล้ชิดนางมากขนาดนี้
เขาควรบอกลาฉินอี้หนิงตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย แต่หัวใจที่เริ่มผูกพันกับนางกลับพาให้เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง…
ยิ่งพอนางบาดเจ็บ หลี่โต๋วเปาก็ดันเผลอปิดระบบอวาตาร์ จนแสดงร่างที่แท้จริงออกมาเช่นนี้ เพียงแต่เขาไม่อยากใช้พลังจิตลบความทรงจำของนางออกไปเลย เพราะเขาอยากให้นางจดจำรูปลักษณ์ที่แท้จริงนี่ไว้ตลอดไป เช่นเดียวกับที่เขาจะจดจำรสชาติอาหาร รวมทั้งตัวนางไว้ในห้วงที่ลึกที่สุดในจิตใจ
ลาก่อนฉินอี้หนิง…
พรึบ…
ทันทีที่พาตนเองกลับมายังห้องทำงานอันหรูหราของสกุลหลี่ในยุคจักรวรรดิอวกาศ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงนำข่าวดีมารายงานต่อเขา
“ตอนนี้เราสามารถสร้างทุกอย่างสำเร็จแล้ว ทั้งแปลงปลูกพืชดาวโลก และหุ่นยนต์แม่ครัวที่มีฟังก์ชันทำอาหารตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอกระซิบดังๆ ว่าทุกสูตรล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจากในพระราชวังจากทั่วทุกมุมโลก ฮ่าๆๆ”
หลี่โต๋วเปาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา นอกจากความเย็นชา
“ขอบคุณที่ลำบากเพื่อผมนะครับ”
“ยินดีเสมอครับท่าน ส่วนเทคโนโลยีย้อนอดีตถูกปิดเป็นความลับเรียบร้อย ขอบอกตามตรงว่าช่องสตรีมของท่านประธานทำรายได้มหาศาลให้กับธุรกิจเราจริงๆ แถมยังทำให้ผมมีโอกาสได้เปิดตัวเกมจำลองปลูกผักจากสถานการณ์จริง เพื่อปิดบังเทคโนโลยีย้อนอดีตนี้” พออธิบายเรื่องนี้ทีไร หลี่เฮ้าถงจำต้องยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจากหน้าผากทุกที
“ขอโทษที่ผมทำให้ต้องลำบากนะครับ…”
“อะไรกันๆ ถือเป็นข้อดีเลยต่างหาก เพราะเพื่อให้เกมดูสมจริงตามสตรีม ผมก็เลยต้องจำลองสถานที่แบบที่ท่านประธานไปเจอ จำลองผู้คน และทุกอย่างขึ้นมาจนเหมือนของจริง เล่นเอาสูญเสียทรัพยากรไปเยอะเลยทีเดียวล่ะครับ แต่ผลกำไรที่ได้ก็ถือว่าเกินคุ้มไปมากโข”
“คุณจำลองฉินอี้หนิงขึ้นมาด้วยเหรอครับ?” เสียงทุ้มฉายแววสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็แอบหงุดหงิดใจเช่นกันที่หญิงสาวของเขาต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ตกอยู่ในมือคนอื่น
“ใช่ครับท่านประธาน แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียวหรอก ฮ่าๆๆ ซึ่งลูกค้าทุกคนสนใจเธอมากทีเดียว ตอนนี้เกมจึงอยู่จุดสูงสุดด้านรายได้ ทิ้งห่างคู่แข่งเราไปไกลลิบ!” ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงยืดอกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของหลานชายเพียงคนเดียวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก “ท่านประธานสนใจอยากลองเล่นมั้ยละครับ ผมอัปโหลดใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านเข้าไปตรวจสอบความเสถียรเถอะ”
“ไว้ก่อนเถอะครับ” หลี่โต๋วเปาไม่ได้ตอบกลับไปในทันที ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยหน่าย “ขอบคุณสำหรับการแก้สถานการณ์ วันนี้ผมขอพักผ่อนสักหน่อย หวังว่าจะไม่มีอะไรให้ต้องจัดการแล้ว”
ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงพยักหน้าเบาๆ “ไม่มีแล้วละครับ เชิญท่านประธานพักผ่อนได้ตามต้องการเลย หรือหากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ถ้ามันไม่ร้ายแรงนัก ผมกับคุณพ่อบ้านจะจัดการเองครับ” ชายวัยกลางคนส่งยิ้มให้หลานชาย ก่อนจะถอยหลังออกจากห้องทำงานของเขาอย่างเงียบเชียบ
ตั้งแต่เล็กจนโตหลี่โต๋วเปาของเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้หญิงมากนัก แน่นอนว่าฉินอี้หนิงคือคนแรกที่ได้ใกล้ชิดอดีตจอมพลผู้โหดเหี้ยมนานที่สุด
อาจเพราะด้วยรูปลักษณ์ของเธอที่โดดเด่นยิ่งกว่าใคร พอได้เห็นครั้งแรก เจ้าหลานชายคนนี้ก็เลยหลงเสน่ห์เข้าไปเต็มเปา ยิ่งพอใกล้ชิดก็ยิ่งถูกใจกระมัง ความผูกพันที่พยายามซ่อนไว้มันจึงเริ่มเด่นชัดขึ้นมายามที่ต้องทำใจแยกจากเด็กสาวคนนั้น แต่การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ของหลี่โต๋วเปา ก็เพื่อตัดขาดความสัมพันธ์ที่อาจลึกซึ้งจนเลยเถิด
หลี่เฮ้าถงไม่ค่อยเข้าใจคนหนุ่มคนนี้นัก ไม่รู้ทำไมเขาต้องปิดกั้นตนเอง หรือเพราะฉินอี้หนิงอยู่คนละช่วงเวลา เขาจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคบหาเธอแบบจริงจัง
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว คำว่าความรัก…แล้วแต่พรหมลิขิตจะบันดาลเถอะ
[1] โรมันตะวันออก บันทึกจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นระบุว่าเป็นคนตะวันตก ผิวขาว ตาสีอ่อน
[2] บรรพบุรุษของเติร์ก (Turkic) เคยรุ่งเรืองในเอเชียกลาง
[1] เป็นอาหารตำรับเสฉวน ชื่อเมนูแปลมาตรงๆ คือ หมูปรุงสองครั้ง เมนูนี้จัดเป็นหนึ่งในสิบเมนูคลาสสิกของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่ง
[2] ดอกไลแลค ในวรรณกรรมจีนร่วมสมัยหรือบทกวีบางบท มักใช้สื่อถึงความคิดถึง ความรักอันละเอียดอ่อน หรือความเงียบงันในฤดูใบไม้ผลิ
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป