ท่อนแขนกำยำที่เกยอยู่บนหน้าผากเริ่มขยับเบาๆ เมื่อชายหนุ่มตื่นจากห้วงนิทรา
หลี่โต๋วเปาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สมองที่อื้ออึงเพราะจิตใจที่ไม่คงที่กำลังทำให้เขารู้สึกเคว้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ยามนี้ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือหลอดไฟวงกลมสีขาวนวลที่ค่อยๆ เพิ่มระดับแสงขึ้นตามการตื่นของผู้เป็นเจ้าของห้อง
เพียงไม่นานร่างสูงก็ลุกขึ้นนั่งหย่อนขาอยู่ที่ปลายเตียง เสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมอยู่หลุดลุ่ยเล็กน้อย ขณะที่กางเกงสแล็คสีดำที่เคยเรียบกริบเริ่มยับตามการนอนที่ไม่อยู่นิ่ง มือเรียวใหญ่ยกขึ้นแตะลงบนแก้มของตนราวกับต้องการตื่นให้มากกว่านี้ ก่อนที่หลี่โต๋วเปาจะลุกไปอาบน้ำและแต่งกายใหม่ด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายที่ไม่ได้หรูหรานัก
ในวันนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะละทิ้งซึ่งทุกอย่าง เพื่อทำตารางวันหยุดแบบเฉพาะกิจ เขาต้องการพักผ่อน ต้องการอยู่กับตนเอง และต้องการกลับเข้าสู่วิถีชีวิตแบบเดิม นั่นก็เพื่อลืมเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำกล้าให้เขารู้สึกไม่ชินเมื่อไม่มีเธอ
หลี่โต๋วเปาถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว สมองของชายหนุ่มเอาแต่เฝ้าคิดถึงว่าในช่วงเวลานี้ฉินอี้หนิงกำลังทำสิ่งใดอยู่…
เธอกำลังปลูกผัก เก็บสมุนไพร หรือกำลังรักษาผู้คน?
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ เมื่อรู้ตัวว่าตนเริ่มถลำลึกลงไปอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าหากอยู่คนเดียวในห้องเขาคงได้คิดฟุ้งซ่านทั้งวันแน่ หลี่โต๋วเปาจึงออกจากที่นี่และเลือกที่จะไปอยู่ในสถานเก็บข้อมูลของดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงแทน
ผู้คนที่มาที่นี่มีไม่มากนัก อีกทั้งส่วนมากก็เลือกที่จะมาอ่านการ์ตูน หรือไม่ก็วรรณกรรมเสียมากกว่า ความเงียบสงบเล็กๆ ที่ไม่ร้างผู้คน จึงค่อนข้างถูกใจหลี่โต๋วเปาอยู่ไม่น้อย
ร่างสูงเลือกมุมลับๆ ใกล้หน้าต่างในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว เขาเปิดหน้าจอสาธารณะของห้องเก็บข้อมูลแห่งนี้ สิ่งแรกที่ทำคือการล็อกอินเข้าไอดีตนเอง และสิ่งต่อมาคือการเข้าเล่นเกมปลูกผักที่ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงส่งมา
แน่นอนว่าบรรยากาศในเกมก็ทำให้เขาหวนคิดถึงหญิงสาวคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้ตัวละครในเกมจะถูกสร้างมาให้สวยน้อยกว่าฉินอี้หนิงเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความคล้ายนางอยู่มากถึงเจ็ดส่วน ผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวละครได้ตามใจต้องการ ทว่าเทคโนโลยีกลับไม่สามารถเลียนแบบทุกความเป็นจริงได้ทั้งหมด
ชายหนุ่มย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เพราะเขาคือผู้ที่ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศเหล่านี้มากับตนเอง
คลิก…
เกมถูกปิดลงโดยที่หลี่โต๋วเปาไม่ได้ทำอะไรกับมันมากเป็นพิเศษ ชายหนุ่มนั่งนิ่งไปพักใหญ่ๆ มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบพอให้ชุ่มคอ ก่อนที่นัยน์ตาสีอความารีนจะฉายความรู้สึกเล็กๆ บางอย่างออกมา
ไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ มือเรียวรีบค้นหาคำว่า ฉินอี้หนิง ในฐานข้อมูลที่ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงมักคุยโวหนักหนาว่าได้รวบรวมข้อมูลของโลกสีฟ้าใบเก่าเอาไว้ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบันอย่างครบถ้วน
“ท่านประธานหลี่คะ ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงให้ดิฉันมาดูแลคุณในวันนี้ ไม่ทราบว่าคุณจะรับอะไรเพิ่มรึเปล่าคะ”
เสียงของหุ่นยนต์ไซบอร์กสาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์จนแทบแยกไม่ออก ทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิด ดวงตาคมดุหันไปมองปัญญาประดิษฐ์ตรงหน้าเล็กน้อย พอเห็นการออกแบบของหุ่นยนต์ไซบอร์กตัวนี้ จึงพอจะเดาออกว่าดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงคนนั้นกำลังคิดเรื่องลามกอะไรอยู่
“ไม่ล่ะ ฝากขอบคุณดอกเตอร์ด้วย แล้วก็ทำลายตัวเองไปซะ” เสียงทุ้มกล่าวอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะหันมองหุ่นยนต์ไซบอร์กที่มีรูปลักษณ์เหมือนฉินอี้หนิงอีก
“ดิฉันรับทราบและน้อมรับคำสั่งค่ะ เพียงแต่…ดอกเตอร์ฝากข้อความมาถึงท่านประธานหลี่ด้วยค่ะ”
พอหุ่นยนต์ไซบอร์กตรงหน้ากล่าวจบ หน้าจอโฮโลแกรมก็ฉายขึ้นมา เป็นสายวิดีโอคอลจากชายวัยกลางคนที่หลี่โต๋วเปาค่อนข้างให้ความเคารพ กำลังกล่าวบางอย่างด้วยใบหน้าแสนทะเล้น
‘สวัสดีวันหยุดครับท่านประธาน~ เห็นท่านเศร้าเพราะเอาแต่คิดถึงเด็กสาวคนนั้น ผมก็เลยสร้างหุ่นยนต์ไซบอร์กลีแอน 1104 ขึ้นมา บริการทางใจและบริการบนเตียง แม้รูปร่างกับเสียงจะไม่เหมือน แต่หน้าตาเหมือนแน่นอน’
“เรื่องแบบนั้นมันไม่จำเป็นเลยครับ” หลี่โต๋วเปาตอบกลับอย่างจริงจัง
‘ทำไมล่ะ? หุ่นของลีแอน 1104 มันไม่เร้าใจท่านประธานของเราเหรอ? นี่ขนาดผมอัพขนาดหน้าอกกับบั้นท้ายให้เธอแล้วนะ แถมใช้ผิวเทียมคล้ายมนุษย์ที่สุด ส่วนล่างฟิตกระชับจำลองจากอวัยวะเพศหญิง ไหนจะลีลา…’
“ถ้าคุณยังไม่ทำลายหุ่นยนต์ไซบอร์กตัวนี้ทิ้ง หรือถ้าผมยังเห็นใบหน้าของฉินอี้หนิงยังปรากฏอยู่ในยุคสมัยนี้”
‘เข้าใจแล้วๆ ขอโทษที่แหย่เล่น ฮ่าๆๆ เพียงแต่คนเราต้องซื่อสัตย์กว่าความรู้สึกของตนเองสิ’ ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงรีบชิงพูดตัดบทขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าของหุ่นยนต์ไซบอร์กลีแอนจะถูกทำลายลงจนกลายเป็นผง ก่อนที่เธอจะหยิบใบหน้าดั้งเดิมออกมาจากกระเป๋าและสวมทับเข้าไป ‘ไหนๆ ส่วนอื่น ก็ไม่ได้จำลองมาจากเด็กสาวคนนั้น จะทำลายทิ้งก็เสียดาย’
“งั้นคุณก็เก็บไว้เถอะครับ จะเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ” เสียงทุ้มฉายแววเหนื่อยหน่ายอย่างชัดเจน ก่อนที่สายตาจะหันกลับไปยังข้อมูลบนหน้าจะที่ขึ้นมายาวเหยียด
‘ขอบคุณครับท่านประธาน’
“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอความเป็นส่วนตัวด้วยนะครับ”
‘อ่า ครับท่าน…’
เมื่อสิ้นสุดการสนทนา ร่างของหุ่นยนต์ไซบอร์กสาวในชุดสีแดงเพลิงโชว์สัดส่วนที่ใหญ่เกินคนปกติก็เดินจากไป บรรยากาศจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้งในสายตาของหลี่โต๋วเปา
ชายหนุ่มจึงมีโอกาสได้ทำสิ่งที่เขาอยากทำที่สุด นั่นคือการดูว่าฉินอี้หนิงจะมีชีวิตสงบสุข มีครอบครัว มีลูก และจากไปตอนอายุเท่าไหร่
ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เงียบงันยิ่งกว่าเดิม เพราะเพียงแค่หัวข้อหนึ่งที่พาดบนเว็บบอร์ด ก็บ่งบอกเรื่องลึกลับของหญิงสาวผู้นั้นได้หลายอย่างแล้ว
[จุดจบของฉินอี้หนิง หรือองค์หญิงหรันฝูหรง สายเลือดคนสุดท้ายของจักรพรรดิผู้รวบรวมแคว้น!]
หลังจากที่หลี่หยางหนิงอัน ทรราชผู้โหดเหี้ยมและผู้ปกครองมากความสามารถ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ พระองค์ได้ส่งคนออกตามหาสกุลหรันเพื่อล้างบาง โดยไม่รู้ว่ามีปลาตัวหนึ่งดิ้นหลุดจากแห!
องค์หญิงหรันฝูหรงผู้รอดจากความตายได้รับการช่วยเหลือไว้โดยสองสามีภรรยาสกุลฉิน ว่ากันว่านางเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับการสืบทอดความรู้เรื่องตำหรับยามาจากแพทย์สมุนไพรสกุลฉิน และกลายเป็นแพทย์อัจฉริยะประจำหมู่บ้าน
ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือ เช่นเดียวกับความฉลาดของจักรพรรดิหลี่หยางหนิงอันที่ต้องการมั่นใจว่าพระองค์ได้กำจัดสกุลหรันทั้งหมดแล้วจริงๆ
ตอนที่หรันฝูหรงในชื่อฉินอี้หนิงมีอายุได้ 19 ปี ทหารในพระราชวังได้ออกมาส่งคำเชิญไปทั่วทั้งแคว้น เพื่อให้ชาวบ้านคัดเลือก และส่งหญิงสาวอายุ 19 ปี ผู้มีใบหน้างดงามที่ยังไม่ออกเรือน ไปเป็นนางกำนัลในวังหลวง โดยกำชับอย่างเด็ดขาดไว้ว่า หากสถานที่ใดส่งหญิงงามมาไม่ครบ มีการซ่อนเร้นปิดบัง หรือมีคนขัดขืน สถานที่นั้นจะถูกกำราบและลบออกไปจากแคว้น
หรันฝูหรงที่ไม่รอดจากการถูกส่งเข้าวังถูกจับได้อย่างง่ายดายว่านางมีที่มาที่ไปจากสกุลหรัน บันทึกจากข้าหลวงในวังกล่าวว่า หญิงสาวทุกคนถูกส่งกลับบ้านอย่างปลอดภัย เว้นเพียงบุตรเลี้ยงสกุลฉินที่ได้รับตำแหน่งเป็นหรันกุ้ยเฟย
มีบันทึกจากขันทีคนสนิทขององค์จักรพรรดิกล่าวว่า ฝ่าบาทหลงใหลความงามจนลืมความแค้น กักขังหรันกุ้ยเฟยไว้ในตำหนัก บังคับนางสืบทายาท หวังตั้งเป็นรัชทายาทเพื่อลบล้างความแค้นระหว่างสกุลหลี่และสกุลหรัน
แต่ทุกอย่างไม่เป็นดังที่พระองค์คิด…หรันกุ้ยเฟยถูกขืนใจทุกค่ำคืนจนหวาดกลัวบุรุษ นางได้รับความทุกข์ทรมาน เมื่อได้โอกาสจึงฆ่าตัวตาย ในครรภ์มีบุตรอายุเพียงหนึ่งเดือน
ข้อความจากบทความเหล่านี้เป็นจริงแค่ไหน นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลี่โต๋วเปา ทว่าแหล่งที่มาที่แปะอยู่ล้วนน่าเชื่อถือทั้งนั้น ซ้ำยังมีหลักฐานประจักษ์ เป็นสุสานอันไร้เกียรติของหรันฝูหรง ซึ่งสร้างเพียงกองดินธรรมดาวางอยู่บนแถบตีนเขา
หลี่โต๋วเปาเผลอกำหมัดโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง พยายามพูดซ้ำๆ ว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกรักหรือชอบพอนาง เขาเพียงแค่เกิดความผูกพัน จนสงสารในชะตาชีวิตของนางเท่านั้น ต่อให้มีอำนาจอยู่ในมือ แต่สุดท้ายเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับช่วงเวลาในอดีตได้
ความคิดในหัวที่กำลังตีกัน ทำให้หลี่โต๋วเปาเลือกจะกลับบ้านเพื่อนอนพักอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มทิ้งตัวอยู่ในเบาะนอนที่เขาชอบที่สุด พลันใบหน้าของสตรีที่เขาห่วงหาก็วนเวียนมากวนใจครั้งแล้วครั้งเล่า จุดจบของนางคือสิ่งที่ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่พยายามต่อต้านจนสุดตัว
พอคิดถึงรอยยิ้มของฉินอี้หนิงที่จะต้องหายไปตลอดกาล คิดถึงช่วงเวลาที่นางต้องอดทนเพื่อก้าวผ่านพ้นไปให้ได้ หัวใจของชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บแปล๊บเสียจนหน่วงไปหมด
แล้วเขาจะสามารถช่วยนางได้อย่างไร?
หากไม่ใช่การเข้าไปหาคู่ชีวิตให้นาง เพื่อให้คุณสมบัติของนางไม่ตรงตามที่บรรพบุรุษสกุลหลี่ของเขาต้องการ เพราะหากเขาเข้าไปจัดการทรราชสกุลหลี่จนถึงตาย บางทีคนที่จะหายไปตลอดกาลอีกคนคงเป็นหลี่โต๋วเปาแทน
เข้าไปให้ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิดเสียว่าไถ่บาปแทนสกุลหลี่ในยุคนั้นก็แล้วกัน
ไม่นานเสื้อผ้าซอมซ่อแบบที่เคยเห็นผู้คนสวมใส่ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่หลี่โต๋วเปามี ชายหนุ่มรีบสวมใส่มันทันที พร้อมทั้งปลอมแปลงสีนัยน์ตาของตนให้กลายเป็นสีดำขึ้นเพียงเล็กน้อย
การสร้างสถานการณ์ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เขาต้องเข้าไปในบ้านสกุลฉินในฐานะบางอย่าง และรีบๆ ส่งฉินอี้หนิงออกเรือนเพื่อให้นางรอดชีวิต ซึ่งมันก็ง่ายดายมากในฐานะคนที่มีพลังจิตระดับ S+
ทว่า…พอย้อนกลับมาเห็นฉากที่ฉินอี้หนิงกำลังโดนคุกคามโดยชายหนุ่มคนหนึ่ง ต่อมความดีในใจของหลี่โต๋วเปาก็กระตุกหงึกๆ จนชายหนุ่มต้องเอาตัวเข้าไปยุ่ง (อย่างเต็มใจ)
ยามนี้ฉินอี้หนิงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นหม่อนขนาดใหญ่ เดาว่าอายุอานามของมันคงพอๆ กับหมู่บ้านนี้ ใบหน้างามเงยขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ฝ่ายตรงข้ามคือหวงไห่หลาง บุตรชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านหวงจื่อเจิ้ง
“ข้าถามจริงๆ เถอะอี้หนิง เจ้าเคยแม้แต่จะมองเห็นข้าบ้างหรือไม่?” เสียงของเขาสั่น ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะความโกรธปนละอาย
ฉินอี้หนิงเลือกที่จะไม่ตอบในทันที นางเพียงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เมื่อเห็นว่าหวงไห่หลางขยับเข้ามาใกล้
“หากเจ้าตอบตกลงที่จะแต่งงานกับข้า มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเสียหน่อย และถึงเจ้าจะมีบุรุษในดวงใจแล้ว ก็อย่าคิดว่าเจ้าจะมีโอกาสได้หนีไปกับบุรุษผู้นั้น!!!”
“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน…”
“วันนี้เจ้าจะต้องกลายเป็นสตรีของข้า ข้าสัญญาว่าจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้าอย่างยิ่งใหญ่”
มือหนาของหวงไห่หลางยื่นออกมาหมายจะคว้าแขนฉินอี้หนิง หากแต่ก่อนจะสัมผัสได้ถึงชายเสื้อของฉินอี้หนิง ร่างสูงกำยำร่างหนึ่งกลับโผล่มาในเสี้ยวลมหายใจ
พลัก!!!
เสียงฝ่าเท้าหนักๆ ถีบเข้าเต็มแรงที่กลางลำตัวของหวงไห่หลาง ตามด้วย…
ผัวะ!
หมัดหนักๆ ที่เสยเข้ากรามของบุตรคนโตหัวหน้าหมู่บ้านอย่างแม่นยำ ทำเอาร่างของเขาเซถลาไปข้างหลัง กระแทกกับลำต้นไผ่จนเกิดเสียงกระบอกไม้ดังสนั่น
หลี่โต๋วเปาในชุดสีอ่อนเรียบง่าย ยืนหันข้างให้แสงแดดที่ฉาบลงบนบ่าของเขา ดวงตาที่เคยเป็นสีฟ้าบัดนี้กลายเป็นสีดำอย่างคนปกติ ทว่าท่วงท่าเย็นเฉียบของชายหนุ่มยังคงเป็นดังเดิม ดูราวกับสัตว์นักล่ากำลังจับจ้องเหยื่อก็ไม่ปาน
“อย่าแตะต้องนาง” เสียงทุ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยแรงกดดันแสนน่ากลัวที่มองไม่เห็น
หวงไห่หลางคำรามลั่น วิ่งพุ่งเข้าใส่ชายผู้กล้าเข้ามาขวางแผนการ ราวกับตัวเขาเป็นวัวกระทิง ฉับพลันที่เสียงกระแทกหมัด เสียงสวนหมัด และเสียงลมหายใจฮึดฮัดของสองร่างที่สู้กันเรียกให้ผู้คนจากที่ไกลๆ เริ่มวิ่งเข้ามา
การต่อสู้ไม่ได้ยืดยาว ฝุ่นดินกระจายได้ไม่ถึงเค่อก็บางเบาลง
ด้วยเพราะหลี่โต๋วเปานั้นมีฝีมือเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามหลายขั้น ชายหนุ่มใช้เพียงสามกระบวนท่า หนึ่งกวาดแข้ง สองบิดข้อมือ และสามหมัดลั่นเข้าชายโครง หวงไห่หลางก็ลงไปนั่งพับอยู่บนพื้นอย่างหมดรูป ร่างของหวงไห่หลางถูกคุมตัวด้วยพลังจิตที่บางเบา แต่ก็มากพอที่จะกันไม่ให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาอีก
“ข้าบอกว่าอย่ายุ่งกับผู้หญิงของข้า” หลี่โต๋วเปากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าของเขานิ่งจนน่ากลัว ไม่ยินดี ไม่โมโห เป็นเพียงแค่การปกป้องฉินอี้หนิงเท่านั้น
ตอนนี้ชาวบ้านหลายคนเดินมามุงดู ทุกคนต่างได้ยินประโยคนั้นของชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างชัดเจน บางคนซุบซิบ บางคนยังตกอยู่ในความตื่นตะลึง แต่ไม่นานเสียงฝีเท้าอีกคู่ก็ดังเข้ามาเรื่อยๆ อย่างรีบร้อน
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงเล็กแหลมของชายวัยกลางคนเจ้าของฝีเท้านั้น ดังมาแต่ไกล
พอฉินอี้หนิงหันไปมอง จึงพบว่าเป็นหวงต้าอู้ หรือก็คือหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบัน เขาเป็นผู้นำหมู่บ้านตามคำแต่งตั้งของนายอำเภอซานเหอ ชาวบ้านฮุ่ยฟางจึงให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก
พอกึงเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงเป้าหมาย ดวงตาคู่นั้นก็ทอดมองภาพบุตรชายที่เพิ่งพ่ายแพ้ให้แก่ชายแปลกหน้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ ไม่มีวาจาตำหนิหรือสีหน้าโกรธเคืองหลี่โต๋วเปา มีเพียงถ้อยคำหนักแน่นเบาๆ ที่เอ่ยใส่บุตรชายผู้มักทำให้เขาเหนื่อยหน่ายนักหนา
“เจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีก”
“โอ้ย! ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาก็ดีแล้ว เพราะเจ้าลูกชายท่านมันพยายามจะฉุดอี้หนิง” ป้าเกาเป็นคนเอ่ยขึ้นมาคนแรก ตามด้วยเสียงกร่นด่าของชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์
“ดีนะที่คนรักของนางมาช่วยทัน”
พอรู้เรื่องราว หวงต้าอู้ก็ตำหนิบุตรชายคนโตของตนอีกครั้ง
“หากความรักของเจ้ามันต้องมาพร้อมการข่มขู่และการทำให้สตรีเสียเกียรติ มันก็มิใช่รักหรอก แต่มันคือเงาของเด็กที่ยังไม่โตพอจะเข้าใจใคร!”
“ท่านจะไปเข้าใจอะไร!? ข้าหลงรักน้องอี้หนิงมานาน ตอนนี้นางถึงวัยออกเรือน ข้าอยากได้นางมาเป็นเมีย ข้าก็แค่ทำสิ่งที่บุรุษต้องทำ นั่นคือการสืบสายเลือดวงศ์ตระกูล”
“เจ้าบ้า! รีบหุบปากเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปมองหน้าผู้อาวุโสฉินอย่างไรหากเจ้ารังแกนาง! ครอบครัวใครบ้างจะอยากส่งลูกสาวไปแต่งงานกับบุรุษที่ขืนใจลูกตนเอง เจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่?!”
คำตำหนิจากบิดา และจากคนรอบข้างทำให้หวงไห่หลางไม่อาจโต้แย้งต่อได้อีก เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างฝืนๆ แล้วยอมเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ เพราะถึงสู้กันต่อเขาก็คงสู้บุรุษที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของฉินอี้หนิงได้อยู่ดี
“อี้หนิง ข้าต้องขอโทษแทนเจ้าลูกไม่ได้เรื่องคนนั้นจริงๆ”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่ต้องมาขอโทษแทนเขาหรอกเจ้าค่ะ เพราะท่านไม่ใช่คนกระทำผิด” ฉินอี้หนิงตอบ ภายในใจยังคงโกรธเคืองฝ่ายนั้นอยู่มากโข “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” กล่าวจบนางก็จูงมือหลี่โต๋วเปาจากไปทันที โดยไม่รอฟังคำพูดมากมายจากท่านหัวหน้าหมู่บ้าน
“จบเรื่องแล้วๆ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำงานเถอะ”
สิ้นเสียงนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ทว่าประเด็นหลักของการสนทนาในวันนี้ กลับเป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่พวกเขาแทบจะไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลานั่น ก็เหมาะกับฉินอี้หนิงมากทีเดียว จึงเห็นว่าเหมาะสมแล้วที่นางจะออกเรือนไปกับบุรุษแปลกหน้าคนนี้
พอเดินออกมาไกลจากผู้คน ฉินอี้หนิงก็ปล่อยมือจากมือใหญ่ในทันที ทว่ามาหรือที่หลี่โต๋วเปาจะยินยอมปล่อยมือนางง่ายๆ เพราะเขายังคงกุมมือเล็กของนางไว้ หญิงสาวจึงหันมาประจันหน้ากับหลี่โต๋วเปาเพื่อรอฟังบางอย่าง
เนิ่นนานหลายเค่อ ที่ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงยืนสบตากันอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป