บทที่ 4
มารยาบทที่หนึ่ง...ตัวอ่อนเหมือนไม่มีกระดูก
อี้หยางเฉิงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก เขาดึงบังเหียนบังคับม้าของตัวเองให้เข้าไปรับตัวหญิงสาวที่ร่วงลงมาจากระเบียง มือแกร่งช้อนร่างอรชรของหญิงสาวเอาไว้แนบอก “เจ้าปลอดภัยแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับหญิงสาวที่ทิ้งตัวหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่เว่ยเว่ยกลับไม่ได้รีบเปิดตา หญิงสาวยึดแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ฟังแค่เสียงก็รู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องหน้าตาดีมากแน่ ๆ “แน่นะ” เว่ยเว่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังคงหลับตาแน่นและหายใจแรงเพราะความหวาดกลัวจากการตกและความตื่นเต้นที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่นางหมายมั่น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอก ทั้ง ๆ เป็นนางเองที่เป็นคนที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น มุมปากของอี้หยางเฉิงกระตุกยิ้ม “แน่ หากอยากมั่นใจก็ลืมตาขึ้นดูเสีย คนทั้งเมืองมองเจ้าหมดแล้ว” เว่ยเว่ยได้ฟังก็เร่งลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่คืบ ต่อให้มีหมวกเหล็กใส่อยู่ที่หัวของเขานางก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาได้ชัดเจน “ขอบคุณเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านข้าคง...” “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้าจะให้คนไปส่งที่จวน ข้าจะต้องไปเข้าเฝ้า” เว่ยเว่ยรีบเด้งตัวขี้นจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายพลางปัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และก็ไม่ลืมแอบแนบผ้าเช็ดหน้าที่ปักชื่อของตนเอาไว้กับชุดเกราะของชายหนุ่มด้วย เพราะสิ่งนี้จะนำพาให้นางได้มาเจอกับเขาอีกครั้ง “คุณหนู...คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” เว่ยเว่ยที่ได้ยินเสียงชิงเอ๋อร์เข้ามาใกล้ก็ขยับตัวออกจากชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ขาก็ทรุดลงไปที่พื้นอีกครั้งเหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรง จนแม่ทัพหนุ่มต้องประคองเอาไว้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งของคนตรงหน้า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไหว ขอบคุณท่านแม่ทัพอี้อีกครั้งนะเจ้าคะ หากครั้งหน้าได้เจอกันข้าจะตอบแทนท่านแม่ทัพเป็นอย่างดี หรือไม่เช่นนั้นท่านส่งคนมาที่จวนเจียงก็ได้ ท่านพ่อคงจะมีสิ่งของมีค่าตอบแทนท่านแม่ทัพที่ช่วยข้าเป็นแน่” แม้คำพูดเหล่านั้นจะดูแปลกประหลาดไปนิด แต่กลับไม่ได้ทำให้คนฟังรำคาญใจสักเท่าไร “ข้าต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยและขึ้นหลังม้าขี่ออกไป เว่ยเว่ยมองเขาจนลับสายตา คนแถวนั้นยังคงสงสัยว่าหญิงสาวเป็นอะไรหรือไม่ แต่เมื่อคนเริ่มจางและนางลุกขึ้นมาเดินได้เป็นปกติคนก็หมดความสนใจกับเรื่องตรงหน้า “คุณหนูทำให้ข้าจะเป็นบ้า หากคุณหนูเป็นอะไรไปนายท่านจะต้องฆ่าข้าแน่ ๆ” “ท่านพ่อไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า แล้วข้าก็ไม่เป็นอะไรด้วย”“เว่ยเอ๋อร์ เว่ยเอ๋อร์ มีคนมาบอกแม่ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บในตลาดวันนี้ แม่ให้คนไปเรียกหมอมาแล้ว เจ้าให้เขาตรวจดูเสียหน่อยดีหรือไม่”
เว่ยเว่ยที่เพิ่งเดินเข้าจวนมาก็ถูกมารดาลากไปยังเรือนพักและให้หมอตรวจ ได้แต่อ้าปากและ ปิดปากอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง นางพยายามจะอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนความเป็นห่วงของมารดาจะทำให้หญิงสาวแทบจะไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายก็เป็นชิงเอ๋อร์ที่เล่าทุกอย่างออกมา นางเล่าไปก็ร้องไห้ไป แต่ก็ชื่นชมแม่ทัพอี้ที่ช่วยเหลือคุณหนูของนางไปด้วย “เป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้าต้องเอาของไปขอบคุณแม่ทัพอี้นะลูก แต่จะไปจวนชายหนุ่มที่ยังไม่มีคู่หมายและตัวเจ้าก็ยังไม่มีคู่หมายดูจะไม่เหมาะ” “เหมาะสิเจ้าคะ” เว่ยเว่ยเถียงออกไปแต่ก็ได้รับสายตาดุ ๆ จากมารดา “เดี๋ยวแม่ปรึกษากับพ่อของเจ้าก่อนแล้วค่อยมาบอกเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก แม้ไม่ได้บาดเจ็บอะไรแต่ก็ได้รับการกระทบกระเทือน” สุดท้ายเว่ยเว่ยก็ยอมทำตามคำของแม่นางเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะช่วยจัดการอะไรให้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่ทันที่มารดาของนางจะลุกขึ้น บิดาก็หน้าตาตื่นเข้ามา “เว่ยเอ๋อร์มีคนบอกว่าเจ้าตกลงมาจากระเบียงเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยเว่ยแทบจะหลุดหัวเราะ พ่อแม่บ้านนี้ดูเหมือนจะรักบุตรสาวมากเลยทีเดียว “โชคดีได้ท่านแม่ทัพอี้ช่วยเอาไว้เจ้าค่ะ ข้าเลยไม่เป็นอะไร” “พ่อขอบคุณแม่ทัพอี้ไปแล้ว แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องไปขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะลูก” พอจบคำพูดของเจ้ากรมเจียง ฮูหยินข้าง ๆ ก็ตีแขนเขาเสียงดัง “ลูกเรายังไม่ได้ออกเรือน และยังไม่มีคู่หมายจะให้เข้าหาชายหนุ่มอย่างนั้นได้เช่นไร” คนเป็นพ่อทำท่านึกขึ้นได้ และแม้ว่าเว่ยเว่ยจะพยายามขัดทั้งสองอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอม “แล้วถ้าไปเจอกันที่งานต้อนรับล่ะเจ้าคะ” นายและนายหญิงของตระกูลเจียงหันมองบุตรสาว “เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าไปงานกับพ่อก็แล้วกัน เจ้าก็เข้าพิธีปักปิ่นไปแล้วได้ออกงานบ่อย ๆ ก็ดี จะได้มีคนมาสนใจเจ้าบ้าง” ฮูหยินตีแขนสามีอีกครั้ง “มิใช่ว่ามีคนมาสนแล้วท่านพี่ไม่ยอมให้เขาเข้าหาลูกสาวเราหรือเจ้าคะ” เว่ยเว่ยมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เกือบจะหลุดปากถามไปแล้วว่า ถ้าเป็นอย่างแม่ทัพอี้ท่านพ่อท่านแม่จะยอมไหม แต่นางคิดว่าเอาไว้ให้นางจีบอีกฝ่ายสำเร็จค่อยเริ่มเรื่องนี้ก็ไม่สาย รับรองถ้านางตกแม่ทัพอี้ได้ บิดามารดาต้องภูมิใจในบุตรสาวคนนี้บทที่ 5 อี้หยางเฉิงกลับมาที่จวนของตนหลังจากเข้าไปรายงานเรื่องต่าง ๆ กับฮ่องเต้แล้วเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเขาก้องไปทั่วโถงทางเดินของจวนแม่ทัพที่กว้างใหญ่ แต่กลับดูเงียบเหงา ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กสีดำที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากสนามรบเดินผ่านคนในจวนที่ออกมายืนรอต้อนรับเจ้านายของจวนเมื่อมาถึงเรือนชายหนุ่มก็เริ่มถอดเกราะหนัก ๆ ของเขาออกช้า ๆ เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ขณะที่เขาวางเกราะลงบนแท่นที่วาง กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกำยานช่วยปลอบประโลมความเหนื่อยล้าจากการศึกที่ยาวนาน ชายหนุ่มกำลังถอดเกราะชิ้นสุดท้ายออก ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนก็ร่วงหล่นลงออกมาจากด้านในอี้หยางเฉิงคว้าผ้าผืนนั้นเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะหล่นไปถึงพื้น เขาชะงักมองมันด้วยสายตาครุ่นคิด คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อผ้าไหมเนื้อดีที่ปักลวดลายดอกเหมยด้วยฝีมือประณีตผืนนี้อย่างไรก็คงไม่ใช่ของเขาแน่ ๆ “ต้องเป็นนางแน่ ๆ” อี้หยางเฉิงพึมพำเบา ๆ ใบหน้าคมเข้มฉายแววประหลาดใจ ภาพหญิงสาวที่ตกจากระเบียงโรงน้ำชาผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง มือแกร่งพลิกผ้าเช็ดหน้าดูอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ ปักอยู่มุมหนึ่ง "เว่ย" “เว่ยอย่างนั้นหรือ แต่นาง
บทนำ เว่ยเว่ยเป็นนักอ่านนิยายตัวยง ตามซื้อนิยายขายดีทุกเรื่อง เงินเดือนที่หามาได้ก็มาบำรุงบำเรอความสุขของตัวเองด้วยการอ่านนิยาย ในระหว่างที่อ่านนิยายเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองทะลุมิติมาเป็นนางร้ายในนิยายเรื่องที่กำลังอ่านอยู่ หากเป็นคนอื่นที่ทะลุมิติมาคงจะพยามยามให้ตัวเองไม่รักพระเอก และหาหนทางหนีจากเส้นทางของเนื้อของนิยาย แต่ไม่ล่ะ เธอจะไม่ทำแบบนั้น ก็พระเอกงานดีเสียขนาดนั้น พอได้รักกับนางเอกก็รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญนักเขียนได้บรรยายภาพอิมเมจของพระเอกเอาไว้ ดวงตาคมเข้มดุจราชสีห์ ผิวสีน้ำตาลแดงราวกับหินเหล็กชิ้นดี และประโยคสุดท้ายที่ทำให้เว่ยเว่ยสะดุดใจก็คือ เมื่อรักสตรีใดเขาจะรักนางเพียงผู้เดียวตราบสิ้นลมหายใจ มวนท้องมากแม่ นี่ล่ะคนที่เว่ยเว่ยต้องการ แล้วผู้งานดีขนาดนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร ในเมื่อเวลานี้พระเอกกับนางเอกยังไม่ได้รักกัน แล้วนางจะจีบพระเอกก่อนไม่ได้เชียวหรือ ไม่ได้เป็นมือที่สามเสียหน่อย เมื่อเขายังโสดไม่มีผู้ใดจับจองหัวใจ แล้วนางร้ายมือใหม่อย่างเว่ยเว่ยคนนี้จะไม่มีสิทธิ์ทดลองจีบเลยหรือไร หากลองแล้วไม่สำเร็จก็ค่อยว่ากัน นางร้ายอย่างเว่ยเว่
บทที่ 2 หลังจากไหลตามน้ำจนได้กลับมาถึงเรือนนอนของตัวเอง เว่ยเว่ยก็เริ่มรู้สึกว่าฝันนี้มันช่างยาว...และนาน...ยิ่งนัก จะบอกว่าเธอหลับข้ามวันข้ามคืนปกติก็ต้องมีตื่นบ้าง“หรือนี่ไม่ใช่ความฝันกัน” เว่ยเว่ยบ่นกับตัวเองแต่สาวใช้คนสนิทที่หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อชิงเอ๋อร์เพราะคนที่เป็นมารดาของนางเรียกก็ตอบให้ในทันที “ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ตื่นมาหลายชั่วยามแล้วด้วย”เว่ยเว่ยที่ได้ฟังคำของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าความสนิทสนมของสองนายบ่าวคงมีไม่น้อยจึงแกล้งถามออกไปเพื่อที่จะสอบถามข้อมูล“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน หรือข้าเป็นใครกัน บางทีเจ้าอาจจะเป็นมารแห่งความฝันก็ได้นะ” เพราะอ่านนิยายจีนโบราณมามากกว่าร้อยเล่มจึงไม่แปลกที่จะพูดจาสมัยนี้ได้อย่างคล่องปาก“โธ่...คุณหนูท่านน่ะชอบแกล้งข้าเสียจริง” เว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายู่ก็รู้สึกชอบใจ ยังทำท่านอนรอฟังและยิ้มขำสาวใช้ของตนอีกด้วย“ที่นี่เป็นแคว้นฉู่เจ้าค่ะ และคุณหนูก็อยู่ในจวนของเจ้ากรมการคลังเจียงเฉินผู้ยิ่งใหญ่เพราะคุณหนูซีเว่ยเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายท่านจ้าค่ะ ให้ข้าบอกมากกว่านี้อีกไหมเจ้าคะ” เว่ยเว่ยทำหน้านึกก่อนจะตกใจเ
บทที่ 3เว่ยเว่ยเดินไปทั่วทั้งตลาดและมั่นใจว่าตอนนี้นางคงทะลุมิติมาเป็นแน่ แม้จะน่าเหลือเชื่อแต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่นางเคยอยากให้เกิดกับชีวิต“งานลอยโคมอีกกี่วันหรือ” หญิงสาวถามสาวใช้คนสนิท ที่นางถามนั้นมีเหตุผลเพราะพระเอกของเรื่องนี้กลับมาก่อนเทศกาลลอยโคมเพียงสองวัน ทุกคนต่างบอกว่าเขานำความสุขกลับมาสู่แคว้น แต่ตอนนี้ยังคงไม่มีใครรู้เว่ยเว่ยมองเส้นทางที่น่าจะเป็นทางที่ขบวนของแม่ทัพอี้จะผ่าน แล้วก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อมองไปที่โรงน้ำชาที่ดูจะเป็นที่นิยม “งานโคมหรือเจ้าคะ...คุณหนู คุณหนูไปไหนแล้ว” ชิงเอ๋อร์ที่กำลังคิดคำตอบให้เจ้านาย หันมาอีกทีนางก็เดินเข้าโรงน้ำชาไปแล้วจนสาวใช้อย่างนางวิ่งตามแทบไม่ทันเว่ยเว่ยขึ้นไปที่ชั้นสองและมองซ้ายขวา เมื่อเจอโต๊ะที่ถูกใจก็บอกให้ชิงเอ๋อร์ไปบอกกับเถ้าแก่ของร้านว่านางจะจองโต๊ะนี้สองวันก่อนจะถึงงานลอยโคมโต๊ะที่จองเป็นจุดที่เว่ยเว่ยรู้ว่าขบวนของแม่ทัพจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวง และเป็นจุดที่เห็นทุกอย่างชัดเจนที่สุด หากเป็นตั๋วคอนเสิร์ตก็เรียกได้ว่า VVIP มือเรียวยกชาขึ้นดื่ม การรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าก็ดีอย่างนี้เอง เว่ยเว่ยคิด ตอนนี้ก็ร
บทที่ 5 อี้หยางเฉิงกลับมาที่จวนของตนหลังจากเข้าไปรายงานเรื่องต่าง ๆ กับฮ่องเต้แล้วเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเขาก้องไปทั่วโถงทางเดินของจวนแม่ทัพที่กว้างใหญ่ แต่กลับดูเงียบเหงา ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กสีดำที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากสนามรบเดินผ่านคนในจวนที่ออกมายืนรอต้อนรับเจ้านายของจวนเมื่อมาถึงเรือนชายหนุ่มก็เริ่มถอดเกราะหนัก ๆ ของเขาออกช้า ๆ เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ขณะที่เขาวางเกราะลงบนแท่นที่วาง กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกำยานช่วยปลอบประโลมความเหนื่อยล้าจากการศึกที่ยาวนาน ชายหนุ่มกำลังถอดเกราะชิ้นสุดท้ายออก ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนก็ร่วงหล่นลงออกมาจากด้านในอี้หยางเฉิงคว้าผ้าผืนนั้นเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะหล่นไปถึงพื้น เขาชะงักมองมันด้วยสายตาครุ่นคิด คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อผ้าไหมเนื้อดีที่ปักลวดลายดอกเหมยด้วยฝีมือประณีตผืนนี้อย่างไรก็คงไม่ใช่ของเขาแน่ ๆ “ต้องเป็นนางแน่ ๆ” อี้หยางเฉิงพึมพำเบา ๆ ใบหน้าคมเข้มฉายแววประหลาดใจ ภาพหญิงสาวที่ตกจากระเบียงโรงน้ำชาผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง มือแกร่งพลิกผ้าเช็ดหน้าดูอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ ปักอยู่มุมหนึ่ง "เว่ย" “เว่ยอย่างนั้นหรือ แต่นาง
บทที่ 4 มารยาบทที่หนึ่ง...ตัวอ่อนเหมือนไม่มีกระดูกอี้หยางเฉิงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก เขาดึงบังเหียนบังคับม้าของตัวเองให้เข้าไปรับตัวหญิงสาวที่ร่วงลงมาจากระเบียง มือแกร่งช้อนร่างอรชรของหญิงสาวเอาไว้แนบอก “เจ้าปลอดภัยแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับหญิงสาวที่ทิ้งตัวหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่เว่ยเว่ยกลับไม่ได้รีบเปิดตา หญิงสาวยึดแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ฟังแค่เสียงก็รู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องหน้าตาดีมากแน่ ๆ “แน่นะ” เว่ยเว่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังคงหลับตาแน่นและหายใจแรงเพราะความหวาดกลัวจากการตกและความตื่นเต้นที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่นางหมายมั่น หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอก ทั้ง ๆ เป็นนางเองที่เป็นคนที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น มุมปากของอี้หยางเฉิงกระตุกยิ้ม “แน่ หากอยากมั่นใจก็ลืมตาขึ้นดูเสีย คนทั้งเมืองมองเจ้าหมดแล้ว” เว่ยเว่ยได้ฟังก็เร่งลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่คืบ ต่อให้มีหมวกเหล็กใส่อยู่ที่หัวของเขานางก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาได้ชัดเจน “ขอบคุณเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านข้าคง...”“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้าจะให้คนไปส่งที่จวน ข้าจะต้องไ
บทที่ 3เว่ยเว่ยเดินไปทั่วทั้งตลาดและมั่นใจว่าตอนนี้นางคงทะลุมิติมาเป็นแน่ แม้จะน่าเหลือเชื่อแต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อนี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่นางเคยอยากให้เกิดกับชีวิต“งานลอยโคมอีกกี่วันหรือ” หญิงสาวถามสาวใช้คนสนิท ที่นางถามนั้นมีเหตุผลเพราะพระเอกของเรื่องนี้กลับมาก่อนเทศกาลลอยโคมเพียงสองวัน ทุกคนต่างบอกว่าเขานำความสุขกลับมาสู่แคว้น แต่ตอนนี้ยังคงไม่มีใครรู้เว่ยเว่ยมองเส้นทางที่น่าจะเป็นทางที่ขบวนของแม่ทัพอี้จะผ่าน แล้วก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อมองไปที่โรงน้ำชาที่ดูจะเป็นที่นิยม “งานโคมหรือเจ้าคะ...คุณหนู คุณหนูไปไหนแล้ว” ชิงเอ๋อร์ที่กำลังคิดคำตอบให้เจ้านาย หันมาอีกทีนางก็เดินเข้าโรงน้ำชาไปแล้วจนสาวใช้อย่างนางวิ่งตามแทบไม่ทันเว่ยเว่ยขึ้นไปที่ชั้นสองและมองซ้ายขวา เมื่อเจอโต๊ะที่ถูกใจก็บอกให้ชิงเอ๋อร์ไปบอกกับเถ้าแก่ของร้านว่านางจะจองโต๊ะนี้สองวันก่อนจะถึงงานลอยโคมโต๊ะที่จองเป็นจุดที่เว่ยเว่ยรู้ว่าขบวนของแม่ทัพจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวง และเป็นจุดที่เห็นทุกอย่างชัดเจนที่สุด หากเป็นตั๋วคอนเสิร์ตก็เรียกได้ว่า VVIP มือเรียวยกชาขึ้นดื่ม การรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าก็ดีอย่างนี้เอง เว่ยเว่ยคิด ตอนนี้ก็ร
บทที่ 2 หลังจากไหลตามน้ำจนได้กลับมาถึงเรือนนอนของตัวเอง เว่ยเว่ยก็เริ่มรู้สึกว่าฝันนี้มันช่างยาว...และนาน...ยิ่งนัก จะบอกว่าเธอหลับข้ามวันข้ามคืนปกติก็ต้องมีตื่นบ้าง“หรือนี่ไม่ใช่ความฝันกัน” เว่ยเว่ยบ่นกับตัวเองแต่สาวใช้คนสนิทที่หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อชิงเอ๋อร์เพราะคนที่เป็นมารดาของนางเรียกก็ตอบให้ในทันที “ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ตื่นมาหลายชั่วยามแล้วด้วย”เว่ยเว่ยที่ได้ฟังคำของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าความสนิทสนมของสองนายบ่าวคงมีไม่น้อยจึงแกล้งถามออกไปเพื่อที่จะสอบถามข้อมูล“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน หรือข้าเป็นใครกัน บางทีเจ้าอาจจะเป็นมารแห่งความฝันก็ได้นะ” เพราะอ่านนิยายจีนโบราณมามากกว่าร้อยเล่มจึงไม่แปลกที่จะพูดจาสมัยนี้ได้อย่างคล่องปาก“โธ่...คุณหนูท่านน่ะชอบแกล้งข้าเสียจริง” เว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายู่ก็รู้สึกชอบใจ ยังทำท่านอนรอฟังและยิ้มขำสาวใช้ของตนอีกด้วย“ที่นี่เป็นแคว้นฉู่เจ้าค่ะ และคุณหนูก็อยู่ในจวนของเจ้ากรมการคลังเจียงเฉินผู้ยิ่งใหญ่เพราะคุณหนูซีเว่ยเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายท่านจ้าค่ะ ให้ข้าบอกมากกว่านี้อีกไหมเจ้าคะ” เว่ยเว่ยทำหน้านึกก่อนจะตกใจเ
บทนำ เว่ยเว่ยเป็นนักอ่านนิยายตัวยง ตามซื้อนิยายขายดีทุกเรื่อง เงินเดือนที่หามาได้ก็มาบำรุงบำเรอความสุขของตัวเองด้วยการอ่านนิยาย ในระหว่างที่อ่านนิยายเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองทะลุมิติมาเป็นนางร้ายในนิยายเรื่องที่กำลังอ่านอยู่ หากเป็นคนอื่นที่ทะลุมิติมาคงจะพยามยามให้ตัวเองไม่รักพระเอก และหาหนทางหนีจากเส้นทางของเนื้อของนิยาย แต่ไม่ล่ะ เธอจะไม่ทำแบบนั้น ก็พระเอกงานดีเสียขนาดนั้น พอได้รักกับนางเอกก็รักเดียวใจเดียว ที่สำคัญนักเขียนได้บรรยายภาพอิมเมจของพระเอกเอาไว้ ดวงตาคมเข้มดุจราชสีห์ ผิวสีน้ำตาลแดงราวกับหินเหล็กชิ้นดี และประโยคสุดท้ายที่ทำให้เว่ยเว่ยสะดุดใจก็คือ เมื่อรักสตรีใดเขาจะรักนางเพียงผู้เดียวตราบสิ้นลมหายใจ มวนท้องมากแม่ นี่ล่ะคนที่เว่ยเว่ยต้องการ แล้วผู้งานดีขนาดนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร ในเมื่อเวลานี้พระเอกกับนางเอกยังไม่ได้รักกัน แล้วนางจะจีบพระเอกก่อนไม่ได้เชียวหรือ ไม่ได้เป็นมือที่สามเสียหน่อย เมื่อเขายังโสดไม่มีผู้ใดจับจองหัวใจ แล้วนางร้ายมือใหม่อย่างเว่ยเว่ยคนนี้จะไม่มีสิทธิ์ทดลองจีบเลยหรือไร หากลองแล้วไม่สำเร็จก็ค่อยว่ากัน นางร้ายอย่างเว่ยเว่