เข้าสู่ระบบท่ามกลางเมืองใหญ่ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินเบียดเสียดกันไปมา
หงเหม่ยหลงยังคงเดินตระเวนไปรอบๆ อย่างไม่รู้ทิศว่าจะไปทางไหนดี
หญิงสาวสังเกตผู้คนที่เดินผ่านตนเองไป แต่ละคนมองนางหัวจรดเท้า บางคนทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรสักอย่างจากตัวนาง
หญิงสาวก้มลงมองตนเองจึงนึกขึ้นได้ว่าภายใต้ชุดสีน้ำเงินเข้มของตนนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต เพียงแต่ว่ามันมองไม่เห็นคราบก็เท่านั้น
กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเมื่อนางเดินผ่าน เป็นที่สังเกตของผู้คนต่างๆ หงเหม่ยหลงพลันคิดได้แล้วว่านางต้องทำอะไรซักอย่างกับกลิ่นพวกนี้
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หงเหม่ยหลงเดินมาตามทางเรื่อยๆจนเจอโรงเตี้ยมตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เมื่อหญิงสาวกวาดสายตามองเข้าไปข้างใน พบว่าด้านในของโรงเตี้ยมแห่งนี้นั้นคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย และเมื่อมองออกมาด้านนอกก็เห็นรถม้าคันคุ้นตาที่ตนนั่งมาจอดนิ่งอยู่
บุรุษผู้นั้นน่าจะพักอยู่ที่นี่สินะ หญิงสาวคิดในใจ พลางตัดสินใจเดินออกไปจากโรงเตี้ยมแห่งนี้
เนื่องจากนางสังเกตแล้วว่าจำนวนคนที่มากมายอย่างนี้ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าโรงเตี้ยมแห่งนี้น่าจะไม่มีที่ว่างหรือห้องว่างใดๆให้นางได้แอบเข้าไปได้แล้ว จำเพาะกลุ่มคนที่มากับบุรุษคนนั้นก็หลายคนอยู่
หญิงสาวจึงใช้เวลาเดินอีกครู่ใหญ่จนผ่านมาเจอกับโรงเตี้ยมอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อมองเข้าไปด้านในเห็นเป็นเพียงโรงเตี้ยมที่ค่อนข้างกว้างใหญ่กว้างขวางแต่สภาพเก่าแก่ทรุดโทรมจนแทบจะไม่มีผู้คน
หญิงสาวเพียงหรี่ตามองอย่างไม่แปลกใจแต่อย่างใด
นางไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโรงเตี้ยมแห่งนี้จึงไม่มีใครเข้ามาพัก
แม้นางจะเป็นเพียงแค่คนเร่ร่อนยังไม่อยากเข้าพักเลย
แต่ทว่าที่นี่ล่ะ เหมาะกับนางตอนนี้ยิ่งนัก
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว หญิงสาวจึงแอบเข้าไปด้านในในทันที
ทำอย่างไรได้ ก็นางไม่มีเงินติดตัวนี่นา ไหนเลยจะมีค่าที่พักให้
หงเหม่ยหลงแฝงกายเข้ามายังโรงเตี้ยมแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ นางเพียงเดินสำรวจห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง และอีกห้องหนึ่ง
ไม่มีใครเลย ห้องนี้ก็ไม่มี ห้องนี้ก็ไม่...
เหมาะยิ่งนัก...
หงเหม่ยหลงไม่รอช้า นางเพียงเลือกห้องๆหนึ่งก่อนแทรกตัวเข้าไป
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำในทันที
โดยภายในห้องอาบนี้แห่งนี้นั้นมีอ่างอาบน้ำที่ค่อนข้างใหญ่โตสมกับขนาดของโรงเตี้ยม เพียงแต่มันค่อนข้างจะเก่าแก่ทรุดโทรมเท่านั้นเอง แต่เรื่องนั้นก็หาได้เป็นปัญหาสำหรับนางไม่ เนื่องจากในอ่างอาบน้ำนั้นได้มีน้ำอุ่นอยู่เต็มอ่างเป็นที่เรียบร้อย
นางต้องทำอะไรซักอย่างกับกลิ่นเหม็นคาวบนตัวนาง
คิดได้แล้วหญิงสาวเพียงเดินไปพร้อมกับเกี่ยวเอาชุดคลุมที่แขวนอยู่แถวนั้นติดมือเข้าไปด้วย
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
หงเหม่ยหลงชำระร่างกายและแช่น้ำอุ่นจนพอใจจึงคิดจะลุกขึ้นออกจากอ่างน้ำไป พลันได้ยินเสียงคล้ายคนเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงเปลี่ยนใจนั่งแช่อยู่ในน้ำอุ่นต่อ
แสงเทียนภายในห้องถูกจุดขึ้นทีละเล่ม ทีละเล่ม จากบุคคลคนหนึ่งที่เข้ามาในห้อง จนมีแสงสว่างขึ้นมาเพียงนิดไม่ถึงกับมากนัก
หงเหม่ยหลงยังคงแอบอยู่ในห้องอาบน้ำ นางหลบอยู่ในอ่างน้ำอุ่นขนาดใหญ่ ดีที่ห้องอาบน้ำมีหมอกควันจำนวนหนึ่งจึงช่วยนางอำพรางตัวได้มากทีเดียว
ภายในตำหนักหลวงของแคว้นต้าหลี่..."สิบกว่าปีมานี่ หยางเอ๋อร์ของเรา ไม่เคยทำให้ผิดหวัง" หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นกับหงเหม่ยหลงที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงริมระเบียงของตำหนัก ชายหนุ่มยังคงประคองกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย ขณะกล่าวต่อเนิบนาบน้ำเสียงเรียบเรื่อย "หยางเอ๋อร์เคยบอกกล่าวแก่ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรับสนมเพื่อเสริมอำนาจแต่อย่างใด เพราะอำนาจเหล่านั้นเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้" สีหน้าภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายหนึ่งเดียวแสดงออกฉายชัดพร้อมๆกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยหงเหม่ยหลงที่เพียงนั่งฟังเงียบๆจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล "เป็นเพราะข้า หยางเอ๋อร์จึงต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะข้าเห็นแก่ตัว ซ่งหมิน...ความรักของเราเป็นดาบสองคม" หญิงสาวหยุดคำอยู่อึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "ปีนี้หยางเอ๋อร์อายุย่างเข้ายี่สิบห้าปีแล้ว เขายังคงครองตัวเป็นโสด ไม่สนใจอิสตรี ทำแต่ศึกสงคราม ไม่สนใจใคร สนใจแต่อำนาจ ทำตัวเหี้ยมโหดเย็นชา สร้างกำแพงให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเราผู้เป็นบิดามารดา"หลี่ซ่งหมินก้มหน้าน้อยๆยิ้มบางเบาใส่สตรีในอ้อมกอดก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ
"พวกเจ้า พวกเจ้า" เว่ยฟางเริ่มเอ่ยสิ่งใดไม่ถูกนางคล้ายจะเป็นลมจนสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องรีบเข้ามาประคองหยางเจียนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน "พวกเจ้าอายุเพียงแค่นี้ มันเร็วไปหรือไม่ที่จะด่วนตัดสินใจ" แต่เหมือนอิ้งลี่จะมิได้ฟังคำห้ามปรามใดๆ หญิงสาวเพียงวิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจแล้วตะบึงควบออกไปจากกลุ่มของหยางเจียนและเว่ยฟาง ซักพักเสียงถกเถียงกันจึงตามมา"ใครเป็นคนรักของเจ้า อิ้งลี่" เสียงนั้นเป็นเสียงของเฟิงหลินนั่นเอง หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งควบม้าให้หนีออกห่างจากการตามติดของอิ้งลี่ "ข้าก็แค่พูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า 5 ปี มิได้รึ" อิ้งลี่ตะโกนขึ้นพลางควบม้าไล่ตามเฟิงหลิน"ไม่ได้" "ทำไมเล่า"และเสียงถกเถียงกันของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยก็หายไปพร้อมกับคณะเดินทางขององค์ชายหลี่หงจินหยางท่ามกลางความสับสนงุนงงของผู้เป็นมารดาอย่างเว่ยฟางและหยางเจียนท่ามกลางร่มไม้ตรงทางเดินทอดยาวภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสโอบล้อมไปด้วยสายลมแผ่วเบา"เจ้าคิดว่าอย่างไร หลงเอ๋อร์" หลี่ซ่งหมินเอ่ยถามหงเหม่ยหลงขณะทั้งสองพากันเดินชมนกชมไม้ไปตามทางของอุทยานหลวง"ข้ารู้สึกกังวลเสียยิ่งกว่าการตั้งครรภ์ของตัวเองเ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดสามัญชนทั่วไปแต่ด้วยใบหน้าที่สะอาดหมดจดงดงามปานเทพเซียน และดวงตาคมกริบฉายแววกล้าแกร่งเกินวัย กำลังควบม้าตะบึงมาก่อนจะผ่อนเป็นเชื่องช้าเดิน เหยาะ เหยาะ เข้ามาหาผู้เป็นบิดาและมารดาที่ยืนรอตนอยู่ด้านตรงลานกว้างกลางพระราชวังราศีของผู้นำผู้มีอำนาจบารมีได้แผ่ออกมาจากตัวหนุ่มน้อยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงยืนมองหลี่หงจินหยางที่กำลังนั่งงามสง่าอยู่บนอาชาคู่ใจ ยามนี้ได้เวลาที่บุตรชายหนึ่งเดียวของพวกเขาจะได้ออกเรียนรู้การเป็นผู้นำที่แท้จริง ศึกครานี้หลี่หงจินหยางได้รับหน้าที่ให้ไปเปิดศึกเพื่อที่จะทำการปิดศึกให้ได้อย่างถาวรกับพวกแคว้นเว่ยที่ยังคงหลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าพวกแคว้นเว่ยนั้นจะยังไม่มีการจู่โจมหรือเปิดศึกใดๆ กับแคว้นต้าหลี่ แต่จากข่าวกรองที่หลี่ซ่งหมินได้รับนั้น มิใช่ว่าพวกแคว้นเว่ยจะรามือจากการแก้แค้นแต่อย่างใด พวกมันยังคงก่อตั้งกลุ่มกำลังและขยายเพิ่มอำนาจอย่างต่อเนื่องเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกมัน แต่การที่จะเป็นฝ่ายรอรับมิสู้เป็นฝ่ายรุกเสียก่อนยามที่
และเสียงดาบฟาดฟันประสานกันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาหงเหม่ยหลงเพียงนั่งชมภาพของสองพ่อลูกแลกหมัดประสานกระบี่กันไปมาอย่างนึกชื่นชม ยามนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะพยายามตั้งครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจบรรดาสนมนางใดอีกต่อไป แต่ถ้านางไม่สามารถมีลูกได้ดังใจหวังนางก็จะเป็นทุกอย่างให้บุตรชายหนึ่งเดียวของนาง หลี่หงจินหยางนั้น นางจะเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งสหายในทุกสถานการณ์ให้กับบุตรชายของนาง แต่การที่จะทำให้หลี่หงจินหยางอยู่ได้ด้วยหน้าที่อันหนักหน่วงในภายภาคหน้าได้นั้น การประคบประหงมย่อมเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เขาต้องเรียนรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายในตำหนักกลางบริเวณห้องรับประทานอาหารของครอบครัวสกุลหลี่ “ออกรบหรือเสด็จพ่อ” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นไปทางหลี่ซ่งหมินภายในตำหนักกลางหลังจากทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย“ถูกต้อง” หลี่ซ่งหมินรับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยต่อเพื่อขยายความ“ขณะนี้มีข่าวกรองเกี่ยวกับพวกของแคว้นเว่ยที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันสามารถสร้างขุมกำลังเอาไว้ในเขตแดนต้าไห่ ข้าอยากให้เจ้
นางช่างโง่งมจริงดังคำเขากล่าว“ซ่งหมิน... ข้า...” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด นางเพียงยืนก้มหน้าและเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น “หลงเอ๋อร์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิมเรียกนางจนนางต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตา “ข้าเองที่เห็นแก่ตัว” หลี่ซ่งหมินขยับเพียงนิดเพื่อดึงร่างบางของหงเหม่ยหลงเข้ามาโอบกอดอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยต่อ“ข้าเห็นแก่ตัวจนละเลยสิ่งที่ควรจะเป็นไปของเมืองหลวง และข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ข้าเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ ข้าเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ข้าย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม มีเพียงแต่เจ้า แค่เรื่องของเจ้า ที่ข้ามักจะเห็นแก่ตัว”ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มมองใบหน้าของนางยามนี้เขายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การตั้งครรภ์ การสร้างทายาท เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับสตรี ข้าย่อมเข้าใจ แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้แทนเจ้า มีเพียงเจ้า...”หลี่ซ่งหมินหยุดเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนดันร่างของหญิงสาวออกก่อนก้มหน้ามองนางและให้นางได้เงยหน้าสบตาหงเหม่ยหลงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไม่กล้ากล่าวสิ่งใดหลี่ซ่งหมินยังคงเอ่ยต
หลังจากที่หงเหม่ยหลงได้ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเห็นแก่ระบบเมืองหลวงตามกฎมณเฑียรบาลที่ควรจะเป็นเพื่อประโยชน์สูงสุดของหลี่หงจินหยางบุตรชายหนึ่งเดียวของนาง แต่ยามนี้ นางกลับทำใจไม่ได้ นางทำใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อนึกถึงภาพของหลี่ซ่งหมินกำลังร่วมรักอยู่กับสตรีอื่น ใจของนางเหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่หงเหม่ยหลงกำลังก้มหน้าก้มตากำหนดจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงแท่นที่นางกำลังนั่งหมกหมุ่นอยู่ เมื่อนางกำลังควบคุมสติและสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงทุ่มต่ำคุ้นหูของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าต้องการอย่างนี้หรือ”ทั้งน้ำเสียงและประโยคนั้นทำหงเหม่ยหลงถึงกับชะงักงันหันไปสบตากับเจ้าของเสียงในทันที“เจ้าต้องการอย่างนี้จริงๆใช่หรือไม่ หลงเอ๋อร์” ประโยคนั้นของหลี่ซ่งหมินแม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หงเหม่ยหลงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเจือจางผสมผสานอยู่“ท่าน...” หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านควรจะอยู่ตำหนักของสนมมิใช่หรือ” และประโยคนั้นของหญิงสาวก็ทำหลี่ซ่งหมินชะงันไปในทันทีเช่นกัน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองโดย







