เช้าวันใหม่ของมหานครเสวียนหยาง ท้องฟ้ากระจ่างใส ไอหมอกฝนที่อบอวลเมื่อวานนี้เลือนหายไปแทบหมดสิ้น เหลือเพียงความชื้นระเหยจากผืนดิน และสีเขียวสดของแมกไม้ที่ยิ่งขยี้ชัดเจนขึ้นหลังฝนปลายฤดูสวนดอกไม้ในเรือนฉาฮวาดูอิ่มเอมนัก ทั้งโบตั๋น กับกุหลาบหลากสี ไปจนถึงกล้วยไม้เข่งกับชูช่อเบ่งบาน แสงตะวันยามสายส่องประกายสะท้อนละอองน้ำบนกลีบใบเป็นเงาวาววับสวีเจียงหลัวถูกสองสาวใช้ประคองออกมานั่งยังเฉลียงด้านข้างเรือนรับแสงอรุณแรก ไม่นานกลิ่นใบชาดีก็ลอยกรุ่นในอากาศ หญิงสาวยกถ้วยน้ำชาขึ้นเป่าไล่ไอร้อนด้วยกิริยาสองมือประคอง“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าเข้าวังไปหรือยัง?”“เรียนคุณหนูใหญ่ ท่านโหวออกจากจวนตั้งแต่ปลายยามอิ๋นแล้วเจ้าค่ะ” เป็นเสี่ยวจิ่วที่รายงาน “อืม” สวีเจียงหลัวรับคำในลำคอ ก่อนประคองถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเนิบช้า ปลายลิ้นซึมซับรสชาติน้ำชา ส่วนสองมือสัมพัสไอร้อน อุ่นสองฝ่ามือ ขับไล่ไอเย็น สายตาทอดทองแปลงกุหลาบงามเบื้องหน้ากิริยาของนางสงบเยือกเย็น หากแต่ภายในใจของนางกำลังคาดหวัง เมื่อวานหลังหลันถิงกลับมารายงาน นางก็เบาใจไปแปดส่วน อีกสองส่วน นางมารอลุ้นผลเอาในวันนี้ ก็หวังเพียงนางจะส่งเสริมให้
“เจ้ารอก่อน เผื่อชินอ๋องมีความจะฝากเจ้ากลับไปหาคุณหนูใหญ่สวี”“เจ้าค่ะ”“มากับข้า”หลันถิงเดินตามฉวีกงกงไปยังศาลาข้างประตูตำหนัก ทิศบูรพา นางก็เดินตามไปอย่างระมัดระวังภายในห้องหนังสือส่วนตัวของชินอ๋องไป๋อี้หาน เขานั่งก้มหน้าอ่านเอกสารราชการด้วยสีหน้านิ่งขรึมตามเวลาปกติ เพียงเว่ยจงคุกเข่าลงด้านข้าง เอื้อมส่งจดหมายผืนบางขึ้นเหนือศีรษะ“หวางเยี่ย จดหมายจากคุณหนูใหญ่สวีพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋อี้หานทอดสายตามองนิ่งไปที่จดหมาย ก่อนจะรับมาช้า ๆ ริมฝีปากแกร่งคลี่รอยยิ้มรางเจือเย็น เขาเปิดจดหมายนั้นด้วยท่วงท่าไม่รีบร้อน ทว่าดวงตาใต้เงาขนตากลับลุกวาบด้วยประกายสนใจครู่หนึ่งเขาจึงเอื้อมมือไปรับมาจากเว่ยจง ปลายนิ้วเรียวพลิกซองจดหมายอย่างใจเย็นพอคลี่กระดาษออก กลิ่นอ่อนจางของหมึกใหม่และชาดหอมยังติดอยู่ลายมือสตรีบนจดหมายนั้นคมชัดทุกถ้อยคำไป๋อี้หานอ่านข้อความของสวีเจียงหลัวจบสายตาคมที่เย็นชาอยู่เสมอ กลับทอดแววอ่อนโยนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม เหลือบหัวเราะออกมาเบา ๆเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนชมเชย“นางผู้เดียวกลับเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสตรีครึ่งวังหลวงเสียอีก…” เขาสบตาเว่ยจงที่ยืนรอรับบัญ
พลันนั้น สวีเจียงหลัวก็ผ่อนลมหายใจยาว คล้ายใจพลันไหลย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อต้นยามอิ๋นที่ผ่านมา…ยามนั้นภายในห้องนอนของคุณหนูใหญ่แห่งเรือนฉาฮวา แสงเทียนไขถูกจุดขึ้นจนสว่างไหวส่องลูบไล้ผนังจนบังเกิดเงาวูบวาบไอเย็นหลังฝนห่าใหญ่เพิ่งซ่าไปยังอวลในอากาศ กลิ่นดินเปียกผสมกับกลิ่นบุปผาและหญ้าอ่อนลอยกรุ่นพาให้บรรยากาศความเงียบงันนี้ไม่หมองหม่นจนเกินไปค่ำคืนที่ผ่านมาหลังกลับจากเรือนหลีฮวา สวีเจียงหลัวแม้จะถูกสาวใช้ปรนเปรอทั้งล้างหน้า ป้วนปาก เปลี่ยนอาภรณ์จนเรียบร้อย ทว่าดวงใจกลับขุ่นมัวไม่คลายเมื่อนางทิ้งตัวลงบนเตียงแล้ว หลับตาได้เพียงครู่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความคิดในหัววุ่นวายราวสายฟ้าฟาดในที่สุด นางก็ยอมแพ้ต่อความกระวนกระวาย ขยับกายลุกขึ้นนั่งหลังตรงใต้ความมืดมิด แล้วสั่งสาวใช้เสียงหนักแน่นให้จุดเทียน เพื่อลุกขึ้นทำบางสิ่ง ทุกวันนี้ทกลมหายใจของนางล้วนเต็มไปด้วยแผนการ เพราะเกรงว่าตนเองเดินผิดเพียงก้าวเดียวก็มิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก“เสี่ยวผิง ช่วยข้าเปลี่ยนอาภรณ์หน่อย เสี่ยวจิ่วมาหวีผมให้ข้า” หลังแสงเทียนสว่างไหว นางก็เรียกสาวใช้คนสนิทมาแต่งกาย ไม่นานก็เรียบร้อย นางจึงให้ทั้งสอง
สวีเจียงหลัวคิดว่าตนเองปิดการขายได้งดงามแทบไม่มีที่ติ ได้กำจัดสวีเจียงหลีออกจากสกุลสวีก่อนที่นางจะทำร้ายคนในสกุล กับสอง นางรีบตัดโอกาสที่ไป๋อี้เฉินจะรวบรัดแต่งกับนาง นี่มิใช่แผนธนูดอกเดียวพิชิตนกทั้งท้องนภาหรือไร?นางกล่าวจบพลางกวาดตามองทุกคนช้าๆ เริ่มจากบิดา มารดา ท่านปู่ ท่านย่า และน้องชายคนเล็กที่นั่งนิ่งอยู่มุมห้องเงียบๆ แต่ละสายตาเต็มไปด้วยความห่วงหาและปวดใจที่มีต่อตัวนาง เพียงแค่นี้สวีเจียงหลัวก็พลันยกยิ้มชั่วร้ายอยู่ในใจ“ข้าเห็นด้วยกับต้าหลัว” ในที่สุดเสียงของสวีเหล่าไท่เย่ก็ดังหนักแน่นเหมือเหล็กกล้าขึ้น“จะให้ลูกหลานสวีต้องเสียศักดิ์ศรีเป็นอันขาด!”จวิ้นอันโหวเองก็กล่าวออกมาเช่นกัน “ท่านพ่อกล่าวไม่ผิด ต้องคำนึงถึงลูกหลานในเรือนที่ยังมิได้ออกเรือนด้วย หากข่าวเมื่อคืนนี้เล็ดลอดออกไป ใครจะรับผิดชอบความอัปยศ? และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เอ้อหลี จะต้องก้าวเข้าเป็นพระชายาอย่างสมเกียรติ!”“ถูกต้องเจ้าค่ะ ต่อให้เอ้อหลีของพวกเราเป็นบุตรสาวคนรอง แต่นางก็เกิดจากฮูหยินเอก จะให้คนนอกเหนียดยามศักดิ์ศรีของนางมิได้” สวีเจียงหลัวเสริมออกไปเสียงหนักแน่นสวีเหล่าไท่ไท่เอื้อมมืออ่อนแรงมากุมมือเจียงหล
สายฝนเมื่อคืน แม้จะซาเม็ดลงแล้ว หากแต่เงาหมองแห่งความอับอายยังปกคลุมทั่วจวนจวิ้นอันโหว มิอาจลบเลือนด้วยเพียงแค่รุ่งสาง ข่าวฉาวคาวโลกีย์ของเรือนหลีฮวาก็ได้แพร่สะพัดไปถึงสวีสายรองทั้งตระกูลในเวลาอันสั้นทำให้ท้องฟ้ายังไม่ทันกระจ่าง แต่ละจวนก็ส่งคนมาสอบถามความจริงจากสวีเหล่าไท่เย่เสียแล้วสวีเหล่าไท่เย่กับจวิ้นอันโหวไม่อาจทนปล่อยให้ชื่อเสียงลูกหลานต้องแปดเปื้อนในพายุฝนครั้งนี้พวกเขารวบรวมสติและความเด็ดขาด ตัดสินใจแน่วแน่แม้ใจจะสลายเพียงใดที่ต้องยอมให้สวีเจียงหลีรีบแต่งไปกับบุรุษเช่นองค์ชายสามไป๋อี้เฉิน...พวกเขาก็จำยอม ราวกับต้องกรีดเนื้อออกจากกาย แต่ยากจะเปลี่ยนเป็นอื่นไปได้ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว จะแก้ไขอันใดได้นอกจากปล่อยบุตรและหลานสาวไปแต่เรื่องนี้ จำต้องจัดการอย่างสมเกียรติ!แต่ก่อนจะไปเอาความคนนอกเช่นไป๋อี้เฉิน ยังมีอีกหนึ่งปมที่ต้องคลี่คลาย นั่นคือเรื่องการที่ชินอ๋องไป๋อี้หานมาอยู่ในจวนยามดึกแล้วยังมาร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์อัปยศอีกด้วย เรื่องนี้ถึงเมื่อคืนพวกเขาจะสงสัย ทว่ายังไม่ทันสอบถามกลับพบเรื่องใหญ่กว่า ดังนั้นพอผ่านไปแล้วทั้งสวีฉีฟ่านและสวีเฉาเฟยย่อมหวนกลับมาสอบส
เจียงหลัวมองภาพนั้นนิ่งงัน หัวใจปวดร้าวจับขั้ว ทว่าแววตากลับยังคงแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลง นางรู้ดีว่าวันนี้ต้องทำให้ทุกคนเห็นกับตา หากมิเปิดโปงสันดานต่ำช้าของเจียงหลีเสียแต่ต้น อีกไม่นาน คนทั้งจวนจะต้องสิ้นใจเพราะน้องสาวจอมเสแสร้งผู้นี้เช่นในอดีตอีกครั้งเป็นแน่นางสูดลมหายใจลึก กัดฟันกลั้นน้ำตาเอาไว้ ก่อนตัดใจเอ่ยเสียงเข้ม“พอเถิด เจียงหลี เจ้ายังไม่สำนึกหรือ? เจ้ายังสร้างความอับอายให้ท่านแม่ ท่านย่าไม่พออีกหรือ ลูกหลายสตรีสกุลสวีมิได้มีเจ้าเพียงผู้เดียวนะ องค์ชายสาม เชิญเถอะเพคะ”นางหันไปกล่าวกับไป๋อี้เฉินเสียงเด็ดขาด สีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าดุดันเกินต้านทาน จากนั้นจึงพยักหน้าให้หลันถิงกับเสี่ยวจิ่งเข้ามาช่วยแยกเจียงหลีออกจากแขนของไป๋อี้เฉิน ในที่สุดฝ่ายบุรุษทั้งสี่จึงสามารถก้าวออกจากห้องไปได้เสียทีบรรยากาศหลังจากนั้นตกอยู่ในความเงียบขรึม สวีเจียงหลัวเดินตรงไปซับน้ำตาให้มารดาด้วยความอ่อนโยน ก่อนโน้มตัวลงประคองไหล่เหล่าไท่ไท่ กระซิบเสียงแผ่วปลุกใจ“ท่านแม่ ท่านย่า... โปรดเข้มแข็ง ข้ายังอยู่ตรงนี้ ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่จะทำลายสกุลสวีได้อีกต่อไป”น้ำเสียงของนางมั่นคง อ่อนโยน ปลุกเร้าให้สอง