เมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าสู่อยุธยา ขับรถเพียงชั่วโมงเศษก็เข้าสู่เขตอำเภอเมือง ถนนสองข้างทางเรียงรายไปด้วยวัดจำนวนมาก จังหวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องจำนวนวัดที่แทบจะอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าร้อยเมตร โดยเฉพาะในเขตเกาะเมืองที่เต็มไปด้วยวัดร้าง วัดเก่า และโบราณสถานคู่บ้านเมือง กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมสมศักดิ์ศรีเมืองมรดกโลก
ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าลานดินหน้าวัดแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างกว้าง บริเวณนี้มีหญ้าขึ้นแซมบาง ๆ ตัววัดถูกถนนสายหนึ่งตัดผ่านกลาง แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง ด้านหนึ่งเป็นโบสถ์เก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ผนังอิฐแดงเผยให้เห็นร่องรอยของเปลวไฟจากเหตุการณ์ถูกเผาทำลาย ด้านหน้าโบสถ์มีโต๊ะไม้สำหรับพระภิกษุและลูกศิษย์วัดจำหน่ายดอกไม้ ธูป เทียน และสังฆทานสำหรับผู้มาทำบุญ
อีกฟากของถนนลูกรังคือทางเดินเข้าสู่กุฏิไม้เก่า ๆ ที่ดูทรุดโทรมแต่เปี่ยมเสน่ห์แห่งกาลเวลา
ใบบุญและมนัสยายกมือไหว้พระภิกษุอย่างนอบน้อมก่อนก้าวเข้าไปในบริเวณโบสถ์ ซึ่งมีสองหลังตั้งอยู่ติดกัน โบสถ์หลังแรกประดิษฐานพระพุทธรูปสีขาว ส่วนอีกหลังไม่ไกลนักเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทององค์ใหญ่
ผนังของทั้งสองโบสถ์ประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่แม้จะเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ยังคงพอเห็นลวดลายเทพพนมและเรื่องราวทศชาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งนั่นคือภารกิจของทั้งสองซ่อมแซมและฟื้นคืนจิตรกรรมเหล่านี้ให้กลับมาใกล้เคียงต้นฉบับที่สุด
“งานค่อนข้างละเอียดเลยนะ” ใบบุญพึมพำขณะจดบันทึกข้อมูลเบื้องต้นลงในสมุดร่างแบบ ส่วนมนัสยาใช้กล้องถ่ายภาพเพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์ภาพและคำนวณการใช้สีอย่างแม่นยำ
หลังสำรวจเสร็จ ทั้งสองสาวแวะทำบุญไหว้พระอีกหลายวัดจนครบเก้าวัด ก่อนจะตัดสินใจพักรับประทานอาหารเย็นที่ร้านริมแม่น้ำใกล้วัดพนัญเชิง ถนนหน้าวัดสายนี้มีชื่อเสียงเรื่องร้านอาหารอร่อยและบรรยากาศชายน้ำที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
พวกเธอเลือกแวะร้านหนึ่งที่มีป้ายเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น มนัสยาเลี้ยวรถเข้าจอดข้างรถเก๋งสีดำป้ายกรุงเทพฯ ที่จอดอยู่ก่อนหน้า แม้จะสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
ในขณะที่สองสาวกำลังจะก้าวเข้าไปในร้าน ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มคนหนึ่งจับจ้องมาจากโต๊ะด้านใน...
ที่มุมหนึ่งของร้านอาหารริมแม่น้ำ รติภพ อัครพงษ์ นั่งอยู่ในชุดลำลองเรียบง่ายแต่ดูภูมิฐาน เขาเพิ่งกลับจากการศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเลขานุการโท ณ กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ หลังจากไม่ได้กลับประเทศไทยนานนับสิบปี
แม้จะอยู่ในบทสนทนากับเพื่อนร่วมงานชื่อปริตร ซึ่งพูดคุยกันเรื่องงานและการปรับตัวกับชีวิตราชการไทยหลังกลับจากต่างประเทศ แต่สายตาของเขากลับเบี่ยงไปยังประตูร้านที่เพิ่งมีสองสาวก้าวเข้ามา
เขาเห็นเธอทันที หญิงสาวร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กางเกงยีนส์ธรรมดา และรองเท้าผ้าใบ เรียบง่าย...แต่โดดเด่นราวกับแสงสะท้อนจากผิวน้ำในยามเช้า
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอ ดวงตากลมโตที่ทอดมองไปรอบร้านอย่างสนใจ และรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นขณะพูดกับเพื่อนร่วมทาง ทำให้รติภพลืมแม้กระทั่งคำถามสุดท้ายของปริตร เขาจ้องเธอราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า
“ภพ… นายฟังอยู่ไหม?”
เสียงของปริตรเรียกสติชายหนุ่มกลับมา รติภพละสายตาจากหญิงสาวทันที แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ แรงดึงดูดประหลาดที่เขาไม่อาจอธิบายได้
บางที… มันอาจไม่ใช่แค่ “ความสะดุดตา” แต่มันคือ “บางสิ่ง” ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
สองสาวต่างสไตล์แต่แต่งกายคล้ายกันอย่างมีเสน่ห์ รูปลักษณ์ที่แตกต่างของทั้งคู่กลับดึงดูดทุกสายตาได้อย่างลงตัว เมื่อเดินเข้ามาในร้านอาหารริมแม่น้ำ พวกเธอเลือกที่นั่งริมระเบียงด้านหน้า ทำให้รติภพมองเห็นชัดเจนจากโต๊ะของเขา
แม้จะอยู่ในวงสนทนา แต่สายตาของรติภพกลับจับจ้องไปยังหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มไม่ละวาง เขาไม่เคยสนใจใครขนาดนี้มาก่อน แม้จะมีสาว ๆ มากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งจากหน้าที่การงาน ฐานะ และรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นชายในฝันของใครหลายคน
แต่สิ่งที่สะกดเขากลับเป็นความมั่นใจของหญิงสาวคนนี้ ใบหน้าหวาน ท่าทางสงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาแทะโลมของเขา ยิ่งมอง ยิ่งน่าค้นหา
ใบบุญรู้สึกถึงสายตานั้นเช่นกัน แม้ไม่ได้แสดงออก เธอกลับไม่พอใจที่ชายแปลกหน้ามองเธอราวกับเป็นของเล่นน่าจับต้อง ใบบุญจึงลุกจากโต๊ะเพื่อเลี่ยงความรำคาญ ทว่าเส้นทางที่เธอต้องเดินผ่านคือหน้าชายหนุ่มผู้ไม่คิดจะหลบตาเธอสักนิด
รติภพลุกตามไปอย่างใจเย็น เขาไม่เร่งร้อน เพียงรอจังหวะที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนก้าวสวนเข้าไป “โดยบังเอิญ” จนร่างเพรียวบางเซล้มเข้าหาแผ่นอกกว้าง แขนแข็งแรงของเขาคว้าเอวเธอไว้แน่น เสี้ยววินาทีนั้นร่างเล็กตกอยู่ในอ้อมกอดโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้าง และก่อนที่สติจะตั้งหลักทัน ฝ่ามือใหญ่กลับแตะสัมผัสที่ไม่เหมาะสมราวกับตั้งใจหยอกเย้า
ทันทีที่รู้สึกถึงการแตะต้องที่ไม่ควร ใบบุญยกมือผลักอกชายหนุ่มเต็มแรง แต่ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันอย่างชัดเจน เธอจึงไม่อาจหลุดพ้นจากวงแขนเขาได้ง่าย ๆ ความโกรธและความตกใจหลอมรวมเป็นอารมณ์เดียวในวินาทีนั้น
และทั้งหมด...คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ไม่มีใครตั้งใจให้เกิด แต่ไม่อาจลบเลือนจากความทรงจำของทั้งสองฝ่ายไปได้ง่าย ๆ
ปริตรส่ายศีรษะเบา ๆ พลางนึกขำเพื่อนรักที่ทำตัวราวกับเด็กวัยสิบสี่อีกครั้ง ราวกับเป็นท่อนหนึ่งในเพลงดัง ความเพ้อฝันในสายตาของรติภพนั้นช่างชัดเจนเกินต้าน จนเจ้าตัวหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่ตั้งใจใครจะไปคิดว่า ผู้ชายที่สาว ๆ ทั้งไทยทั้งเทศหมายปองอย่างรติภพ จะลงทุนขับรถตามผู้หญิงไปจนรู้บ้านอย่างที่เพื่อนเขาทำในวันนี้หลังจากวันนั้น วันที่เขาตามสองสาวมาจนถึงหน้าบ้านไม้สองชั้นแสนน่ารักของใบบุญ รติภพก็ใช้วันหยุดทุกอาทิตย์ในการสืบข่าวของหญิงสาวที่เขาหมายปองเขาเริ่มต้นด้วยการทำตัวเป็นชายหนุ่มผู้แอบรัก และบอกใครต่อใครในละแวกนั้นว่าตนเองมีใจให้ใบบุญมานานแล้ว อยากทำทุกอย่างเพื่อให้เธอประทับใจ และต้องการเพียงโอกาสสักครั้งได้ใกล้ชิดกับเธอหนึ่งในแหล่งข่าวสำคัญที่เขาใช้เวลาจนสามารถตีสนิทได้ก็คือ “เจ๊แป๋ว” แม่ค้าส้มตำเจ้าเด็ดประจำปากซอย แม้ในตอนแรกจะมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นพวกโรคจิตที่ตามสะกดรอยใบบุญ แต่สุดท้าย เจ๊แป๋วก็ยอมเปิดใจให้วันนี้เขาก็ไม่พลาดที่จะมาเยือนอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มละลายใจ“หวัดดีครับพี่แป๋ว” รติภพทักทายด้วยรอยยิ้มละมุน“ตายจริง คุณภพ พี่กำลังคิดถึงอยู่พอดี ว่าวัน
เมื่อสองสาวอิ่มอาหารเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่ก็เลิกให้ความสนใจกับชายหนุ่มโต๊ะเยื้อง ๆ ที่ยังคงนั่งสนทนาอย่างสบายใจ พวกเธอเรียกพนักงานมาเก็บเงิน และรีบออกจากร้านโดยไม่ได้เอะใจเลยว่า ตนเองกำลังตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่มคนหนึ่งตลอดเวลาทันทีที่สองสาวลุกขึ้นและเดินออกจากร้าน รติภพก็รีบจ่ายค่าอาหารก่อนหันไปพูดกับเพื่อนอย่างรวดเร็ว“จะทำอะไรของแกวะ ไอ้ภพ?” ปริตรเอ่ยถามเสียงต่ำ“ก็ตามสาวไง ยังไงก็กลับกรุงเทพฯ เหมือนกันอยู่แล้ว” เขาตอบหน้าตาเฉย“แล้วถ้าเธอไม่ได้กลับกรุงเทพฯ ล่ะ แกจะทำยังไง?”“ไม่รู้โว้ย แต่ตอนนี้เธอต้องกลับแน่!”ปริตรได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ราวกับกำลังดูหนุ่มวัยรุ่นเพิ่งหัดจีบหญิง ทั้งที่รู้กันดีว่า รติภพไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่เคยเห็นเพื่อนของตนจะออกอาการตามติดผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อนโดยเฉพาะกับเด็กสาวที่ดูอายุน้อยกว่าน้องสาวของรติภพเสียอีก รริสา น้องสาวของเขาอายุห่างจากพวกเขาราวสามปี และหากจะให้เดา ใบบุญคนนั้นก็คงเด็กกว่ารริสาสักหนึ่งถึงสองปี ซึ่งหมายความว่า เธออาจเด็กกว่าพวกเขาราวสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างน้อยรติภพขับรถตามรถของมนัสยาในระยะห่างพอสมควร ทำให้สองสาวไม่ได้สังเกตเลยว่ามี
“ปล่อยฉันนะ”“ผมแค่กลัวว่าคุณจะล้มเท่านั้นเอง”เสียงทุ้มนุ่มคลอหัวเราะเบา ๆ ขณะค่อย ๆ คลายวงแขนที่โอบรัดร่างเล็กออกอย่างอ้อยอิ่ง รติภพรู้สึกเสียดายกลิ่นหอมละมุน และสัมผัสบางเบาจากร่างหญิงสาวที่เพิ่งผลักเขาเต็มแรงชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาเจ้าชู้ทอดมองอย่างหยอกล้อ ต่างจากสายตาของเธอที่วาวโรจน์ไปด้วยเพลิงโทสะ ราวกับเปลวไฟพร้อมเผาเขาทั้งเป็นเธอถามเสียงแข็งว่าเขาตั้งใจชนใช่ไหม เขาปฏิเสธหน้าตาเฉย พร้อมสวนกลับว่าเธอเป็นฝ่ายเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเสียเองท่าทางฮึดฮัดนั้นกลับยิ่งทำให้เขาเอ็นดู รติภพเผลอเรียกเธอว่า ‘ตัวเล็ก’ สรรพนามที่เขาเคยใช้กับน้องสาวเสมอ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับน่ารักเกินห้ามใจพอ ๆ กัน ดวงตาคู่สวยจ้องเขาอย่างไม่ยอมแพ้ จมูกรั้นที่เชิดขึ้นด้วยท่าทีขัดใจยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมกระทั่ง...“ใบบุญ มีอะไรกันเหรอ?”เสียงของมนัสยาเพื่อนสาวดังขึ้น เมื่อเธอเดินมาตามเพื่อนที่หายไปนาน และทันเห็นภาพที่เพื่อนรักของเธอกำลังยืนโต้เถียงกับชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มราวนายแบบต่างชาติใบบุญไม่ตอบ เธอรีบคว้าแขนมนัสยาแล้วเดินหนีออกจากบริเวณนั้นทันที สีหน้าบึ้งตึง บ่งบอกอารมณ์ได้ชัดเจ
เมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าสู่อยุธยา ขับรถเพียงชั่วโมงเศษก็เข้าสู่เขตอำเภอเมือง ถนนสองข้างทางเรียงรายไปด้วยวัดจำนวนมาก จังหวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องจำนวนวัดที่แทบจะอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าร้อยเมตร โดยเฉพาะในเขตเกาะเมืองที่เต็มไปด้วยวัดร้าง วัดเก่า และโบราณสถานคู่บ้านเมือง กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมสมศักดิ์ศรีเมืองมรดกโลกไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าลานดินหน้าวัดแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างกว้าง บริเวณนี้มีหญ้าขึ้นแซมบาง ๆ ตัววัดถูกถนนสายหนึ่งตัดผ่านกลาง แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฝั่ง ด้านหนึ่งเป็นโบสถ์เก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ผนังอิฐแดงเผยให้เห็นร่องรอยของเปลวไฟจากเหตุการณ์ถูกเผาทำลาย ด้านหน้าโบสถ์มีโต๊ะไม้สำหรับพระภิกษุและลูกศิษย์วัดจำหน่ายดอกไม้ ธูป เทียน และสังฆทานสำหรับผู้มาทำบุญอีกฟากของถนนลูกรังคือทางเดินเข้าสู่กุฏิไม้เก่า ๆ ที่ดูทรุดโทรมแต่เปี่ยมเสน่ห์แห่งกาลเวลาใบบุญและมนัสยายกมือไหว้พระภิกษุอย่างนอบน้อมก่อนก้าวเข้าไปในบริเวณโบสถ์ ซึ่งมีสองหลังตั้งอยู่ติดกัน โบสถ์หลังแรกประดิษฐานพระพุทธรูปสีขาว ส่วนอีกหลังไม่ไกลนักเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทององค์ใหญ่ผนังของทั้งสองโบสถ์ประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่แม
ครอบครัวของใบบุญ รุจิธารา เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีฐานะปานกลาง คุณนพคุณ ผู้เป็นบิดา รับราชการในกรมป่าไม้ ส่วนคุณบุหงา มารดา เป็นครูสอนระดับอนุบาลถึงประถมในโรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับวัด ด้วยความผูกพันจากวัยเยาว์ที่มารดามักพาไปตักบาตรเป็นประจำ ใบบุญจึงสวดมนต์ได้คล่องแทบทุกบท และเติบโตขึ้นในบ้านที่อบอวลด้วยความรักและความอบอุ่นปัจจุบันเธอสำเร็จการศึกษาด้านศิลปกรรม และทำงานอิสระในฐานะศิลปิน โดยเฉพาะงานวาดภาพเกี่ยวกับพุทธศาสนา เธอมีฝีมือจนได้รับความไว้วางใจจากกรมศิลป์ให้เข้าร่วมซ่อมแซมจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่าง ๆ เป็นประจำบ้านของใบบุญเป็นเรือนไม้สองชั้นสีครีม ขอบหน้าต่างและเชิงชายทาสีน้ำตาล มีสวนรอบบ้านปลูกไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ห้องนอนของเธออยู่ชั้นบนด้านหน้า มีระเบียงเล็ก ๆ พร้อมกระถางไม้ประดับจัดวางเป็นระเบียบ ภายใต้ร่มเงาจากต้นไม้ที่ปลูกไว้ติดกำแพง ซึ่งช่วยกรองแสงแดดยามสายได้เป็นอย่างดีทุกวันอาทิตย์ ใบบุญจะหยุดรับงาน เพื่อใช้เวลาไปวัดกับพ่อแม่เช่นที่เคยทำมาแต่เล็ก ส่วนวันพระ เธอจะไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น ถ้ามีงาน เธอจะกลับมาสวดที่บ้านในตอนกลางคืนแทนและเช้าวันนี้ หลังกลับจากวัด เธอมีนัดสำคัญก