ธีรัชในร่างอิน ยืนตัวแข็งอยู่กลางตลาดน้ำที่จอแจด้วยผู้คน เขากลืนน้ำลายลงคอพลางหันซ้ายหันขวาอย่างกระวนกระวาย เชี่ยแล้ว ตอนนี้..เขาหลงกับคุณเปรมและแม่หญิงปิ่นแก้วแล้วจริงๆ
รอบตัวเขาคือภาพของตลาดน้ำสมัยโบราณที่ดูสมจริงยิ่งกว่าฉากในละครพีเรียดที่เขาเคยดู มันมีชีวิต มีเสียง มีสีสัน และมีกลิ่นที่อบอวลไปหมด กลิ่นหอมของขนมไทยอย่างทองหยิบ ฝอยทอง ลอยปะปนมากับกลิ่นปลาย่างและข้าวใหม่หุงร้อนๆ ใกล้ๆ กันคือร้านขายสมุนไพรไทยที่วางขมิ้น ตะไคร้ และเครื่องเทศแห้งส่งกลิ่นหอมฉุน แม้จะคึกคัก แต่ทุกอย่างล้วนเป็นของที่เขาไม่คุ้นเคยในฐานะ คนยุคเจนซีที่เติบโตมากับห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ อินยกมือขึ้นปาดเหงื่อ พยายามรวบรวมสติ เอาไงดีวะ เรามาเดินกับคุณเปรมแถวร้านขายเครื่องประดับนี่หว่า แต่พอหันไปมองรอบตัวแล้วกลับพบว่าร้านที่เขาเดินผ่านเมื่อครู่ดูคล้ายกันไปหมด ร้านค้าทำจากไม้ไผ่และใบจากถูกตั้งเรียงรายอยู่บนโป๊ะริมน้ำ บ้างตั้งขายบนเรือพายที่จอดอยู่ริมท่า ในแม่น้ำมีพ่อค้าแม่ค้าแจวเรือไปมา เสียงเจรจาการค้าดังแข่งกันจนแทบจับใจความไม่ได้ “ไอ้หนุ่ม! จะมายืนเกะกะตรงนี้ทำไม ถ้าไม่ซื้อก็ไปยืนที่อื่น!” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งตวาดใส่ อินสะดุ้งก่อนจะรีบพยักหน้าหงึกๆ “ขะ...ขอโทษครับ” เขารีบถอยออกมาจากแผงขายของ แต่กลับชนเข้ากับหญิงชาวบ้านที่ถือถาดขนมหวานจนขนมร่วงพื้น “ตายแล้ว! ตาฝ้าตาฟางหรือไงกันวะเองอิ?” หญิงวัยกลางคนเอ็ด อินยกมือไหว้ปะหลกๆ “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาด้วยสายตาแปลกใจนิดๆ “เป็นบ่าววัดไหนรึ?” “หะ?!” อินอ้าปากค้าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในร่างทาสหนุ่ม เสื้อผ้าที่เขาสวมก็เป็นเพียงผ้าผืนเดียวพันรอบเอวแบบคนใช้แรงงาน ต่างจากชาวบ้านคนอื่นที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านกว่า แม่งเอ๊ย ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นแค่ทาสในยุคนี้ อินรีบโค้งหัวให้หญิงคนนั้นแล้วเดินหนีออกมาโดยไม่กล้าหันกลับไป แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปในตลาด ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยกลิ่นและเสียงที่ไม่คุ้นเคย มีพ่อค้าจีนยืนเคร่งขรึมอยู่หน้าแผงลอย ขายเครื่องลายครามและผ้าไหมสวยงาม ในขณะที่พ่อค้าชาวอินเดียเสนอขายเครื่องเทศและกำยาน กลิ่นหอมฉุนแตะจมูกจนอินเผลอจามออกมา มีเด็กน้อยวิ่งเล่นไปมาบนสะพานไม้ เสียงหัวเราะของพวกเขาเจือไปกับเสียงคนเร่ขายของ และเสียงพายเรือกระทบผิวน้ำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีเสียงของคุณเปรมและแม่หญิงปิ่นแก้ว อินเริ่มร้อนใจ หรือกูจะเป็นไอ้ทาสที่ถูกเจ้านายทิ้งไว้กลางตลาดจริงๆ วะ?! เขากวาดตามองหาใครสักคนที่อาจพอให้เบาะแสได้ แต่ทันใดนั้นเอง ขณะที่เขาหมุนตัวมองไปรอบๆ หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นบางอย่าง เงาดำวูบหนึ่งในตรอกเล็กๆ ข้างร้านขายผ้าไหม อินหยุดชะงัก รู้สึกถึงลางสังหรณ์ประหลาด ใครบางคนกำลังแอบมองมา ชายฉกรรจ์ในชุดดำคนนั้นรีบหันหลังเดินหายเข้าไปในซอย อินขมวดคิ้วก่อนจะรีบก้าวตามไปอย่างไม่รู้ตัว หากแต่ทันทีที่พ้นจากสายตาผู้คน อะไรบางอย่างก็ตวัดรัดรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว! อินถูกจับตัวไปแล้ว! ตรอกมืดในตลาดน้ำ อินดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อชายฉกรรจ์ในชุดดำตวัดแขนล็อคตัวเขาแน่น ร่างของเขาถูกลากถอยเข้าไปในตรอกแคบๆ ที่มีกลิ่นอับของขยะเน่าและโคลนตม กลางวันแสกๆ แบบนี้ ใครจะไปคิดว่าจะโดนฉุด! ชายปิดหน้าปิดตาคนนั้นกดมีดสั้นจ่อลำคอเขา ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมแสดงออกถึงความผิดหวังชัดเจน “แค่ทาสกระจอกงั้นรึ?” มันพึมพำ ก่อนจะกระชากคอเสื้อเขาแรงขึ้น “แล้วหลวงพิชิตเดโชอยู่ไหน?! บอกมา!” อินขมวดคิ้วแน่น หลวงพิชิตเดโช? ใครวะ? “มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!” โจรตะคอก ดวงตาวาวโรจน์ “บอกมาว่าหลวงพิชิตเดโชไปทางไหน!” อินรู้ดีว่าต่อให้ตัวเองบอกว่า ไม่รู้ ไปเป็นร้อยรอบ พวกมันก็คงไม่เชื่อ เขาหายใจลึกๆ ระงับความตื่นตระหนก แล้วเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเซลส์แมนตามสัญชาตญาณ “โถ่พี่ชาย พี่ใจเย็นก่อน พี่คิดว่าผมเป็นใครกัน?” อินปรับโทนเสียงเป็นเป็นมิตร “ผมเป็นแค่ทาส เดินตามเจ้านายไปมา ขนาดข้าวแต่ละมื้อยังต้องรอเขาให้กินอิ่มก่อน ผมจะไปรู้เรื่องของคนชั้นสูงอย่างหลวงพิชิตเดโชได้ยังไง?” ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว หรี่ตามองอย่างจับผิด “งั้นเอ็งก็คงได้ยินมาบ้างว่าหลวงพิชิตเดโชจะไปที่ใด” ไอ้เวร! อินสบถในใจ แต่สีหน้ายังคงแต้มรอยยิ้มบางๆ “ก็อาจจะเคยได้ยินมา... แต่พี่จะให้ผมบอกทั้งที่ไม่มีอะไรตอบแทน มันก็กระไรอยู่นา” โจรชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล “ไอ้ทาสนี่แปลกนัก” มันพูดเสียงขุ่น “ทำไมไม่กลัวตายรึ?” อินยิ้มเจื่อน ก็กูตายไปแล้วรอบนึงไง! แต่ไม่ได้พูดออกไป โจรขยับมีดเข้าใกล้คอมากขึ้น อินรีบแถไปต่อ “เอางี้! ผมอาจพอช่วยพี่ได้ แต่ขอเวลาผมไปสืบก่อนสิ ผมอยู่กับพวกเจ้านายทั้งวัน ถ้าผมได้ยินอะไรเกี่ยวกับหลวงพิชิตเดโช ผมจะส่งข่าวให้พี่” ดวงตาของมันฉายแววลังเล ก่อนที่มันจะพยักหน้าเหมือนกำลังชั่งใจ และจังหวะนั้นเอง! อินอาศัยเสี้ยววินาทีที่มันเผลอ กระชากแขนออกแล้วถีบเข้าเต็มท้อง! “อั่ก!” โจรล้มลงไปกระแทกพื้นเสียงดัง อินไม่รอช้า รีบหมุนตัววิ่งไปทางออกของตรอก แต่ทันทีที่โผล่ออกมา กลับเจอโจรอีกคนยืนขวางทางอยู่แล้ว แม่ง! โดนล้อมซะแล้ว! เขาหันหลังกลับ แต่โจรคนแรกที่เพิ่งโดนถีบก็ดันยันตัวขึ้นมาแล้ว อินกำหมัดแน่น เหงื่อไหลอาบแผ่นหลัง ทำยังไงดีวะ กูไม่ใช่ตัวเอกนิยายกำลังภายในนะ! “หมดทางหนีแล้วไอ้ทาส!” โจรแสยะยิ้ม ก่อนที่พวกมันจะขยับเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลงมือ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นจากปลายตรอก ตามมาด้วยเสียงตะโกน “ไอ้ชาติชั่ว!” เสียงนี้คุ้นหูอินเหลือเกิน และวินาทีถัดมา เขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่งกระโจนเข้ามาอย่างว่องไว คุณเปรม! อินยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร คุณเปรมก็พุ่งหมัดซัดเข้าที่กรามของโจรคนหนึ่งอย่างแม่นยำ! ผัวะ! โจรเซล้มกระแทกกำแพง ก่อนที่ชายหนุ่มจะตวัดเท้าเตะโจรอีกคนจนมันกระเด็นไปนอนกองกับพื้น อินยืนอ้าปากค้าง ตกใจในฝีมือของเจ้านายตัวเอง คุณเปรมสะบัดข้อมือ นัยน์ตาดุดันกวาดมองโจรทั้งสองที่ครางโอดโอยอยู่บนพื้น ก่อนจะหันมามองอินที่ยังยืนนิ่ง “เจ้าไปโดนจับตัวมาได้ยังไง?” อินอ้าปากพะงาบๆ “ผม...คือ...” คุณเปรมถอนหายใจ สีหน้าเคร่งเครียด “พวกมันคงถูกจ้างมาเพื่อฆ่าฉัน” อินสะดุ้ง “ฆ่าคุณเปรมเหรอครับ!?” “อืม” คุณเปรมพยักหน้า มองโจรทั้งสองที่นอนหมดสภาพ “แต่พวกมันช่างปัญญาน้อยนัก รู้แค่ยศหลวงพิชิตเดโช แต่กลับไม่รู้ว่าข้าคือใคร” อินเบิกตากว้าง เดี๋ยวนะ... หลวงพิชิตเดโช ก็คือ เขาหันไปจ้องหน้าคุณเปรมอย่างตกตะลึง “คุณเปรมเป็นหลวงพิชิตเดโชเหรอ!?” คุณเปรมเหลือบตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “เจ้าพึ่งรู้รึ?” อินอยากจะเป็นลม กูพูดกับโจรเมื่อกี้ว่ากูไม่รู้จักหลวงพิชิตเดโช! นี่มัน... กูขายเจ้านายตัวเองแล้วไม่รู้ตัว! “เอาเถอะ” คุณเปรมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่” อินพยักหน้ารัวๆ รีบเดินตามคุณเปรมออกจากตรอก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม นี่กูโดนพาไปยุคโบราณ แล้วดันเป็นทาสของขุนนางใหญ่ที่มีคนหมายหัวอีกเหรอ!? ชีวิตวัยรุ่นที่พึ่งจะประสบความสำเร็จ กับหน้าที่การงาน และทรัพย์สินเงินทอง ของเขากำลังจะกลายเป็นอะไรไปแล้ววะเนี่ย! อินเดินตามหลังคุณเปรมออกจากตรอกแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับของขยะเน่าและความชื้นของคลองน้ำใกล้ ๆ เขาเผลอยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมตามขมับ หัวใจยังเต้นระรัวจากเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ แต่พอเหลือบตาไปมองคุณเปรมที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เขาก็ต้องขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ คุณเปรม… ตัวเล็กกว่าที่คิดแฮะ ในตอนที่พบกันครั้งแรกของอิน คุณเปรมเป็นคนสง่างาม มีบารมี และท่วงท่ามั่นคงจนดูเหมือนสูงใหญ่ แต่พอเดินตามหลังใกล้ ๆ แบบนี้ กลับรู้สึกว่าเจ้านายของเขาดูเล็กกว่าที่จินตนาการไว้ หรือไม่ก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่สูงเกินไปในยุคนี้ สูงจนเป็นจุดเด่นท่ามกลางฝูงชนเสียมากกว่า “คุณเปรมครับ...” อินเอ่ยขึ้น พลางมองเหลือบไปทางตรอกมืดด้านหลัง “แล้วพวกโจรเมื่อกี้จะทำยังไงกับมันครับ?” คุณเปรมปรายตามองเขา ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “เดี๋ยวนครบาลก็มาลากตัวพวกมันไปเอง ข้าแจ้งไปแล้ว” อินพยักหน้าอย่างโล่งอก แต่พอหันกลับมาเห็นสีหน้าของคุณเปรมที่เรียบนิ่งแต่แฝงความเคร่งขรึมอยู่ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก “แล้วท่านหายไปไหนมา?” อินถามต่อ “แม่หญิงปิ่นแก้วล่ะครับ อยู่ที่ไหน?” คุณเปรมถอนหายใจนิด ๆ ราวกับเหนื่อยใจกับคำถามของเขา “ฉันพาแม่ปิ่นไปหาพวกพ่อค้าจีนที่เป็นคนรู้จัก เสร็จธุระแล้วก็ออกมาตามหาเจ้า แล้วดูสิกลับต้องมาเจอเจ้าถูกโจรจับตัวไปเสียก่อน” อินแค่นหัวเราะแห้ง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ! แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากแก้ตัว คุณเปรมกลับหยุดเดินกะทันหัน แล้วหมุนตัวมาจ้องหน้าเขานิ่ง ๆ “แล้วเจ้าล่ะ?” อินกระพริบตาปริบ ๆ “ครับ?” “เหตุใดเจ้าถึงถูกโจรพวกนั้นลากตัวไปได้?” “เอ่อ...” อินอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไงดี ก็เพราะพวกมันเข้าใจผิดคิดว่าฉันรู้จักหลวงพิชิตเดโชน่ะสิ! แต่ถ้าพูดแบบนั้นไปมันจะดูโง่เกินไปหรือเปล่า? คุณเปรมหรี่ตามองเขา ก่อนจะถามต่อ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงหนีฉันไปละ?” “หา?” อินอ้าปากค้าง “ผมไม่ได้หนี! ผมแค่เดินดูตลาด แล้วเผลอหลงเฉย ๆ!” “เหรอ?” คุณเปรมเลิกคิ้วขึ้น “หรือเจ้าคิดจะเป็นทาสหนีเจ้านายกันแน่?” อินสะดุ้ง รีบส่ายหน้ารัว ๆ “โธ่ท่าน! ผมเป็นทาสที่ไหนกัน ผมแค่—” “แล้วทำไมเจ้าถึงสูงขนาดนี้?” คุณเปรมพูดแทรกขึ้นมากะทันหัน น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่นั้นมองเขาอย่างพิจารณา อินชะงักไปกับคำถามไม่คาดคิด “หา?” “เจ้าสูงเกินไป” คุณเปรมกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “สูงเกินหน้าเกินตา สูงเสียจนเป็นจุดเด่น ใครเห็นก็จำได้” อินเม้มริมฝีปาก “...ก็สูงมาแต่เกิดแล้วครับ จะให้ทำยังไง?” “ทำตัวให้ต่ำลงเสียหน่อยก็ดี” คุณเปรมว่า ก่อนจะยกมือขึ้นโบกเบา ๆ เป็นเชิงให้เขาเดินตามไปต่อ “ไปกันได้แล้วไอยักใหญ่” เอ๋ ยักใหญ่คุณเปรมว่าเขาหรอ!? อินได้แต่ถอนหายใจ จะให้ฉันทำตัวให้ต่ำลงยังไงในเมื่อฉันตัวสูงกว่าคนยุคนี้ทั้งตลาด! แต่สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามคุณเปรมไปแต่โดยดี แม้ในใจยังคงเต็มไปด้วยความสับสน ชีวิตทาสในยุคนี้มันลำบากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่