หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว
รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ “คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี” เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?” “ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว” เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดาย เมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่อซึม แม้จะมีคนรับใช้ช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ใครแตะของคุณเปรมง่าย ๆ เมื่อทุกอย่างพร้อม อินหันไปมองรอบท่าเรือ กลับไม่เห็นคนรักของตน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินย้อนกลับไปตามทางเรือนไทย เสียงฝีเท้าของอินเงียบกริบเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณสวนด้านหลังเรือน แล้วก็พบเปรมยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าตอต้นไม้ดำคล้ำกลางพุ่มหญ้า เปรมไม่ได้ขยับ ไม่พูด ไม่แม้แต่จะหันมาเมื่อได้ยินเสียงเท้า อินเดินเข้าไปเงียบ ๆ ก่อนจะโอบเอวอีกฝ่ายจากด้านหลัง พร้อมแนบแก้มกับแผ่นหลังของเปรม “คุณเปรม...ทำไมมาอยู่ตรงนี้ครับ” เสียงของอินนุ่มนวลและแผ่วเบา เปรมถอนหายใจ ก่อนจะพูดโดยไม่หันมา “เจ้าจำต้นมะลิต้นนี้ได้รึเปล่า อิน...ต้นที่เคยหักโค่นในฤดูฝนเมื่อสองปีก่อน ข้ากับเจ้าอุตส่าห์ค้ำมันไว้ รดน้ำทุกวัน จนมันกลับมาออกดอกอีกครั้ง…” เปรมหยุดนิดหนึ่ง สีหน้าแฝงความผิดหวัง “แล้วดูสิ ตอนนี้…มันกลายเป็นตอไม้ดำ ๆ เพราะไฟจากการเผาเรือนคืนนั้น ข้ารู้สึกเหมือนเสียเพื่อนไปคนหนึ่งเลยอิน” อินเงียบ เขาเข้าใจความรู้สึกของเปรมดี เพราะเขาเองก็เคยเห็นอีกฝ่ายพูดกับต้นไม้ต้นนั้นเวลาต้องการสงบใจ เขาเอียงหน้าไปหอมแก้มเปรมเบา ๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าคุณเปรมเสียใจ ผมจะปลูกมันขึ้นมาใหม่ให้เองนะครับ ผมจะดูแลมันทุกวัน รดน้ำเช้าเย็น พูดกับมันเหมือนที่คุณเคยพูด ขอแค่คุณกลับมาอย่างปลอดภัย…ผมจะทำให้มันออกดอกทันรับคุณกลับบ้าน” เปรมหันมาในที่สุด ดวงตาสีเข้มนั้นมีแววสั่นไหว เขายื่นมือแตะใบหน้าของอิน ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น ซบใบหน้าลงบนไหล่เล็ก ๆ ของอินอย่างหมดแรง “อิน…เจ้ามันใจร้ายจริง ๆ” เปรมพึมพำ “ทำให้ข้ารักเจ้ามากขึ้นทุกวัน แล้วก็ปล่อยให้ข้าต้องจากเจ้าไปแบบนี้” อินหัวเราะเบา ๆ ในอ้อมกอด “ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ผมจะอยู่ที่นี่ รอคุณกลับมาเสมอ” เปรมถอนกอดช้า ๆ แล้วจูบอินอย่างอ่อนหวาน ลึกซึ้ง และยาวนาน จนแม้แต่ลมหายใจก็เหมือนหยุดลงช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะกระซิบลงบนริมฝีปากที่ยังชื้น “ฝากดูแลบ้านหลังนี้แทนข้าด้วย อิน…และฝากดูแลหัวใจของข้าด้วย” ตรงท่าเรือ ปิ่นแก้วยืนอยู่ก่อนแล้ว เธอรีบวิ่งเข้ามาหาเปรมผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะยื่นห่อผ้าข้าวสารและยาสมุนไพรให้ “คุณพี่เปรมเจ้าคะ ดูแลตัวเองด้วย อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมพักผ่อนล่ะ น้องจะดูแลบ้านนี้กับนายอินเอง” เปรมยิ้มบาง ๆ พลางลูบผมน้องสาว อินที่เดินมาส่ง ยกมือโบกเบา ๆ พร้อมตะโกนข้ามเสียงซัดกับน้ำของเรือ “รีบกลับมานะครับคุณเปรม ผมจะรอคุณทุกวันเลย!” เปรมยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคง “ข้าสัญญา อิน…รอข้าด้วย” เรือค่อย ๆ เคลื่อนออกจากฝั่ง ทิ้งเพียงเสียงกระซิบลอยตามลม และภาพของคนที่ยืนรออยู่ริมน้ำ...ด้วยหัวใจที่ยังคงรักมั่นไม่เสื่อมคลาย ยามเช้าของทุกวันเริ่มต้นด้วยเสียงนกกระจิบที่ร้องจิ๊บๆ อยู่บนยอดไม้หลังเรือน เสียงน้ำไหลเบาๆ จากคลองที่ไหลผ่านท้ายบ้าน กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของขนมที่เพิ่งออกจากเตาทำให้อินรู้สึกเหมือนโลกยังคงหมุนต่อไป แม้ว่าในใจเขาจะเหมือนนาฬิกาที่หยุดเดินไปตั้งแต่วันคุณเปรมลงเรือจากไปแล้วก็ตาม "ขนมมะพร้าวน้ำหอมกับนมสด...แปลกดีเนอะ" ปิ่นแก้วว่าพลางเอื้อมหยิบขนมก้อนนุ่มจากถาด "อย่าเพิ่งกินสิ ข้ายังไม่ได้โรยน้ำตาลเลย" อินรีบยื่นมือไปกันมืออีกคนไว้ พร้อมยิ้มบาง "ก็กลิ่นมันหอม ข้าหิว" นางย่นจมูก อินหัวเราะในลำคอ "เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่แบ่ง...เอานี่ครับ" เขาใช้ช้อนเล็กๆ ตักน้ำเชื่อมเคี่ยวเข้มใส่ลงบนขนม แล้วยื่นให้ปิ่นแก้ว โรงครัวเล็กๆ ของเรือนในยามเช้าอบอวลด้วยไอน้ำ และเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนสองคนที่ช่วยกันทำขนม คนงานในเรือนเริ่มชินกับภาพนี้เสียแล้ว หนุ่มขายขนมกับคุณหนูแห่งเรือนใหญ่ที่ดูจะสนิทกันเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือด เมื่อสายแล้ว อินจะขนขนมใส่หาบ เดินออกจากเรือนลัดเลาะไปยังตลาดใกล้บ้าน ทุกคนที่นั่นเริ่มจำหน้าเขาได้ บางคนเรียกติดปากว่า "ไอ้หนุ่มขนมแปลก" บ้างก็ว่า "ขนมเจ้าหนุ่มนั้นแปลกดี แต่โอย! หวานหอมซะจนลูกข้าขอทุกวัน" อินยิ้มรับกับคำพูดเหล่านั้นเสมอ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ชื่อที่เขาตั้งเองก็ตาม แต่ชื่อพวกนั้นมันช่วยให้ขนมเขาขายหมดก่อนเที่ยงอยู่ทุกวัน นั่นก็เพียงพอแล้ว “วันนี้ข้าใส่ดอกอัญชันลงไปด้วยล่ะ กลิ่นมันหอมเย็นดีนะป้าแจ่ม” อินว่าพลางยื่นขนมให้แม่ค้าเจ้าประจำ “ข้าเชื่อเจ้าแล้วละอิน ขนมเจ้าหอมยิ่งกว่าดอกไม้ในสวนข้าอีกแน่ะ ฮ่าๆ” หลังกลับจากตลาด อินมักจะเดินเลียบเรือนไปท้ายท่าน้ำ เพื่อไปรดน้ำต้นมะลิที่เขาเพาะใหม่ไว้ตรงใต้ศาลา ไม้เล็กๆ ที่กำลังแตกยอดใหม่ เงียบงันท่ามกลางสายลมเอื่อยในยามบ่าย มันยังเล็กนักแต่ก็มีชีวิต มีแรงสู้ เหมือนกับความหวังบางอย่างในใจเขา อินนั่งเงียบอยู่ที่ศาลานั้นบ่อยครั้ง บางวันก็นานจนแดดร่มถึงได้เดินกลับมาในครัว ทำขนมต่อ เตรียมไว้สำหรับวันถัดไป กิจวัตรเหล่านี้หมุนวนราวกับเข็มนาฬิกาในบ้านที่เดินไม่มีหยุด แม้หัวใจของเขาจะติดค้างอยู่ที่ท่าน้ำวันนั้นก็ตาม คืนแล้วคืนเล่า หมอนใบที่เคยนุ่มแน่นด้วยอ้อมแขนของใครบางคน บัดนี้กลับเย็นเฉียบ ไร้ไออุ่น อินมักจะกอดมันไว้แน่นทุกคืน หลับตาลงแล้วนึกถึงกลิ่นกายและเสียงหัวเราะของคุณเปรมจนกว่าจะหลับ แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเศร้านานเกินไปหรอก ทุกค่ำคืนก่อนนอน เขาจะเปิดกระป๋องไม้ที่เก็บเงินอัดจากการขายขนมไว้ แล้วนับมันด้วยมืออย่างระมัดระวัง “ไว้คุณเปรมกลับมา ผมจะยื่นมันให้ท่านเอง” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ ...แม้ว่าอีกคนจะเคยบอกให้เขาเอาเงินไปไถ่ตัวก็ตาม วันหนึ่ง...วันที่ดูเหมือนจะธรรมดาเหมือนทุกวัน อินหอบของขายกลับบ้านหลังตลาดวาย เดินเข้าประตูเรือนมาก็เห็นปิ่นแก้วนั่งรออยู่ตรงบันไดไม้ท่อนล่าง "วันนี้กลับช้านะ เจ้าแน่ใจรึว่ามีคนซื้อหมดจริง ไม่ได้แอบเดินเล่นแถวเรือนขนมตรงหัวมุมตลาดใช่มั้ย" นางว่า พลางยื่นแก้วน้ำมาให้ อินรับมา ดื่มรวดเดียวจนหมด "ไม่ใช่เสียหน่อย...ก็ข้าอยากหาซื้อใบตองเพิ่ม เอาไว้มัดขนมแบบใหม่" ปิ่นแก้วยิ้มก่อนจะล้วงจากแขนเสื้อเล็กๆ ของตน "เอ้านี่ เจ้าควรจะเปิดมันเดี๋ยวนี้นะ" อินรับมาอย่างแปลกใจ "นี่อะไรครับ?" "จดหมายน่ะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากอ่านมันทันทีไหม แต่ข้าแอบดูตราประทับแล้ว...มันของพี่เปรมน่ะสิ" แววตาของอินเปลี่ยนไปทันที มือที่จับกระดาษสั่นนิดหน่อย เขาค่อยๆ คลี่มันออกอย่างระมัดระวัง กลิ่นน้ำหมึกอ่อนๆ และลายมือที่เขาคุ้นตาจนแม้หลับตายังเห็น ทุกอย่างทำให้อกเขาแน่นขึ้นทันใด ก่อนเขาจะเริ่มอ่าน ปิ่นแก้วพูดทิ้งท้ายเสียงเบา "ข้าไม่แอบดูหรอกนะ แต่อ่านเสร็จแล้ว เจ้าควรยิ้มให้ตัวเองหน่อย ข้าว่า...เขาคงอยากเห็นเจ้าทำแบบนั้น" อินพยักหน้า แล้วหันไปหาทางศาลาริมน้ำสายตาเหม่อลอยนิดๆ เหมือนกำลังหาคนบางคนในเงาของต้นไม้ริมตลิ่ง {ข้อความในจดหมาย} ถึงอินของข้า ขณะที่เจ้ากำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ข้าก็เฝ้าคิดว่าเจ้าคงกำลังนั่งพิงเสาเรือน หรือไม่ก็อาจเพิ่งกลับมาจากตลาดพร้อมกลิ่นขนมใหม่หอมฉุยติดปลายชายเสื้อ กลิ่นที่ข้าจำได้ไม่เคยลืม ข้าหวังว่าเจ้าแข็งแรงดี กินอิ่มนอนหลับ และไม่ฝืนทำเกินแรงจนเกินไป ข้ารู้เจ้ามักไม่ค่อยฟังเมื่อใครบอกให้พัก แต่ข้าก็ยังอยากบอกอยู่ดี — เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะอิน เพราะถ้าเจ้าป่วย ไม่ว่าเจ้าจะเก่งแค่ไหน ขนมแปลกของเจ้าก็คงขายไม่หมดแน่ ข้าเป็นห่วง แล้วคุณปิ่นแก้วเล่า น้องสาวตัวดีของข้า หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง? ยังชอบแอบชิมขนมก่อนคนอื่นเหมือนเคยไหม หวังว่าเจ้ายังใจดีพอจะแบ่งแป้งให้แม่นางทดลองอยู่เสมอ ข้าคิดถึงเสียงหัวเราะของเจ้าสองคนที่ชอบล้อกันไปมา มันทำให้เรือนดูมีชีวิตชีวา และข้าก็อดรู้สึกอิจฉานางเล็กน้อย ที่ยังได้อยู่ใกล้เจ้าในแต่ละวัน สำหรับข้า... ราชการในครั้งนี้ช่างยืดเยื้อกว่าที่คิด บ้านเมืองทางนี้สงบ แต่ผู้คนยังมีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วยเหลืออยู่เสมอ ข้าได้พบแม่ค้าเร่ที่ทำขนมคล้ายเจ้า แต่พอได้ชิมก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะมันยังไม่ถึงครึ่งของฝีมือเจ้าเลย ข้ายังอดเอ่ยชื่อเจ้ากับเขาไม่ได้ว่า “ขนมของอินข้ารสละมุนกว่านี้นัก” …พูดจบเขาก็ทำหน้างง ๆ ไปตามเรื่อง 555 เจ้าสอนข้าว่าสมัยเจ้าขำใส่จดหมายกันเช่นนี้ใช่หรือไม แปลกดีที่ข้ายังพยายามเขินมันให้เหมือน กลางคืนที่เรือนพัก ข้ามักตื่นขึ้นเพราะเผลอเอื้อมมือไปคว้าหาหมอนที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว ข้าเคยชินกับเสียงเจ้าขยับตัวตอนดึก ๆ กับเสียงเจ้าพึมพำเวลาฝันประหลาด ตอนนี้ความเงียบมันช่างรบกวนใจจนข้าอยากกลับบ้านทุกวัน อิน... ข้าคาดว่าอีกไม่เกินสิบวันทุกสิ่งที่นี่น่าจะลงตัว และหากฟ้าฝนไม่ขวาง ข้าจะเร่งเดินทางกลับเรือนในทันที เจ้าอย่าเพิ่งทำกระป๋องไม้นั้นตกหล่นที่ใดล่ะ ข้าจะกลับมาเปิดพร้อมมือเจ้าด้วยกัน และหากเจ้าจะยิ้มให้ข้าเหมือนทุกครั้งที่พบกัน ข้าก็จะถือว่าสิ่งที่เหน็ดเหนื่อยทั้งหมดนี้ คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าทองคำ ด้วยคิดถึงมากกว่าคำใดจะเขียนได้ – เปรม หลังจากที่อ่านจดหมายในมือจนจบ อินก็นิ่งเงียบอยู่นาน สายตาเลื่อนลอยไปยังต้นมะลิที่ปลูกไว้ริมศาลาท้ายเรือน ใบเล็ก ๆ ที่เคยเหลืองซูบเพราะขาดการดูแล บัดนี้กลับผลิใบเขียวอ่อน ราวกับมันกำลังเติบโตขึ้นเพื่อรอใครสักคนกลับมา “มันเริ่มมีใบสีเขียวแล้วนะครับ…” อินพูดพึมกับตัวเองเบา ๆ ราวกับจะให้ดินฟ้าได้ยิน ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปหยิบดินสอแท่งเล็กและกระดาษเนื้อหยาบจากในห้อง เขานั่งลงกับพื้นไม้ ปลายนิ้วข้างหนึ่งลูบกระดาษไปมาเบา ๆ อย่างลังเล แต่เมื่อเริ่มเขียนถ้อยคำลงไป สีเข้มจากดินสอก็ไหลลื่นราวกับมันรู้ดีว่าหัวใจเจ้าของกำลังรู้สึกอะไร อินเขียนถึงเรื่องราวในเรือน บอกเล่าถึงคุณปิ่นแก้วที่ชอบชิมขนมก่อนใครเสมอ บอกว่าคนในเรือนยังพูดถึงคุณเปรมกันบ้างเป็นครั้งคราว รวมถึงบอกว่าเขาเองก็ยังทำขนมแปลกๆ ขายต่อไปในตลาดเหมือนเดิม แต่ก่อนจะพับจดหมาย อินก็เดินกลับไปหาต้นมะลิอีกครั้ง เด็ดใบเล็กๆ ที่สดที่สุดมาวางแปะลงบนกระดาษ แล้วเขียนต่อท้ายว่า "ตอนนี้มันเริ่มมีใบสีเขียวแล้วนะครับ อีกไม่นานคงมีดอกหอม ๆ ให้คุณเปรมดม" เขารดน้ำต้นมะลิด้วยมือเปล่าช้า ๆ อย่างอ่อนโยน จ้องใบไม้ที่สั่นไหวรับละอองน้ำด้วยความรู้สึกอุ่นวาบในอก ก่อนจะลุกขึ้นกลับเรือนไปเพื่อทำขนมร่วมกับคุณปิ่นแก้วที่กำลังรอด้วยตาเป็นประกาย วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อยเหมือนจะมีฝน อินเดินแบกหาบขนมออกจากเรือนตามปกติ ท่ามกลางเสียงนกร้องและกลิ่นไอดินหลังฝนโปรยเมื่อคืน ตลาดวันนี้ดูเหมือนไม่ต่างจากวันก่อน ผู้คนยังเดินขวักไขว่ เสียงเรียกขานซื้อขายดังทั่วทิศ แต่พออินเริ่มตั้งแผงขาย กลับสังเกตเห็นบางอย่างแปลกไป มีคนแปลกหน้าแต่งกายมิดชิดเกินเหตุ สวมผ้าคลุมหัวปิดหน้า ยืนปะปนในฝูงคนที่มุงดูขนม อินไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะกำลังตักขนมใส่ถุงให้เด็กสาวที่ยิ้มแป้นรออยู่ แต่พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับเห็นฝูงคนเริ่มซุบซิบ มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “เฮ้ย! ขนมนี่สกปรก! มีของเหม็นเน่าผสมอยู่!” สายตาทุกคู่หันมาที่อิน ใครบางคนชี้ไปที่ถาดขนมที่ตั้งไว้ด้านหน้า ซึ่งบัดนี้มีเศษของเน่าดำและกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาเบา ๆ อินหน้าชาวูบ หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม “ข้าไม่ได้ใส่ของแบบนี้นะขอรับ! ขนมพวกนี้ข้าทำเองทุกชิ้นในเรือน!” “ข้าซื้อของเจ้านานแล้ว ไม่เคยเจอแบบนี้เลย” แม่ค้าข้าง ๆ พูดขึ้น พร้อมกับคนอื่น ๆ ที่เริ่มพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ขนมของอินสะอาดเสมอ ข้ายืนยันได้” “คงมีคนแกล้งล่ะมั้ง ขนาดหน้าก็ยังปิดไว้ทั้งหัวทั้งหน้า ไม่ให้เห็นว่าเป็นใคร!” เสียงแม่ค้ารุ่นใหญ่อีกคนพูดเสริมขึ้น ทำให้บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนจากความหวาดระแวง เป็นความสงสัยต่อคนแปลกหน้าที่รีบเดินปะปนหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว ถึงชาวบ้านจะยังเข้าข้างเขา แต่เหตุการณ์วันนี้ก็ทำให้คนใหม่ ๆ ที่ตั้งใจมาซื้อลังเล ขนมครึ่งหาบยังเหลืออยู่ในตะกร้า อินได้แต่ยืนมองมันนิ่ง ๆ ขณะลมเย็นพัดเฉียดใบหู ขากลับเขาเดินช้ากว่าทุกวัน แววตาไม่สดใสเหมือนเก่า เขากลับถึงเรือนโดยไม่พูดอะไรมากนัก วางขนมลงไว้ข้างบันไดก่อนจะเดินไปหลังเรือน รดน้ำต้นมะลิอย่างเงียบ ๆ แต่ในใจกลับรอวันหนึ่งที่คุณเปรมจะกลับมา และยืนอยู่ตรงนี้ ข้างต้นไม้ต้นนี้กับเขาอีกครั้ง อินนั่งเงียบอยู่ริมระเบียงหลังเรือน ข้างตัวมีตะกร้าขนมที่ยังขายไม่หมดวางแน่นิ่ง กลิ่นมะลิจากต้นไม้ข้างศาลาโชยมาแตะจมูกบางเบา แต่ไม่อาจกลบกลิ่นหม่นในใจของเขาได้ สายตาของอินเหม่อมองไกล ราวกับจิตใจลอยละล่องไปยังคนที่อยู่ห่างออกไปหลายโยชน์ ในมือยังถือซองจดหมายฉบับเก่าไว้แน่น เหมือนมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีคนเชื่อใจอยู่ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากบันไดเรือน ก่อนที่คุณปิ่นแก้วจะเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ อย่างไม่รีบร้อน เธอไม่ได้พูดอะไรทันที เพียงแค่นั่งลงข้างอินเงียบ ๆ แล้ววางมือลงบนหลังมือของเขาเบา ๆ “เหนื่อยล่ะสิ...” เสียงเธอนุ่มเหมือนลมอุ่นตอนเย็น อินส่ายหน้าน้อย ๆ แต่ไม่กล้ามองตาเธอ “ข้าไม่ได้กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดหรอกครับ...” อินเอ่ยเบา ๆ “…แค่รู้สึกเหมือนความตั้งใจทั้งหมดที่มี ถูกเหยียบทับโดยคนที่ไม่รู้จักกันเลย” คุณปิ่นแก้วฟังเงียบ ๆ ยิ้มบาง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนจากชายเสื้อ มาซับเหงื่อบนหน้าผากของอินเบา ๆ ราวกับแม่ดูแลลูก “บางครั้งเจ้าก็เข้มแข็งเกินไปนะ อิน ไม่ใช่ทุกเรื่องต้องแบกไว้คนเดียวหรอก” อินยิ้มเศร้า ๆ พลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ถ้าคุณเปรมอยู่ด้วยก็คงดีนะครับ…” ปิ่นแก้วนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ “ไม่ต้องห่วงหรอก…คุณพี่เปรมของเจ้าน่ะ ภูมิใจในตัวเจ้ามากเสมอ” เธอเอื้อมมือมาลูบหัวเขาเบา ๆ “ข้าด้วยนะ อิน ข้าก็ภูมิใจในตัวเจ้าเหมือนกัน” เพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่หัวใจของอินกลับเหมือนได้รับการโอบกอดทั้งดวง เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาจริง ๆ เป็นครั้งแรกของวันนั้นหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า