Share

ลางสังหรณ์

Author: jalix-ren
last update Last Updated: 2025-05-17 22:46:59

แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้ง

เปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิม

อินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย

“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน

“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”

อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับ

เปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ

“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ และการใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ... มันต้องมีจุดจบ”

เขาขยับมือมากุมมือของอินไว้ บีบแน่นพอให้รับรู้ถึงความมั่นใจที่เขามี

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเขาเคยนั่งมองพระจันทร์ใต้ต้นมะลิแบบเจ้าไหม"

"แต่ข้าแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นค่าความสงบอย่างแท้จริงเลยแม้แต่วันเดียว”

อินไม่ตอบ แต่เอนตัวลงพิงอีกฝ่าย สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่สม่ำเสมอ แนบอยู่ข้างขมับ

เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปรมจะพูดขึ้นใหม่ด้วยเสียงเบากว่าครั้งก่อน

" ให้มันจบเสียบ่วงกรรมที่เคยทำร่วมกันมา"

คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดปนความเศร้าเล็ก ๆ ที่ยากจะกลั่นกรอง ความทุกข์ของการเป็นคนที่ต้อง ‘ลงดาบ’ แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘ควร’

อินขยับมือมากอดอีกคนแน่นขึ้น พูดเสียงต่ำ

" คุณเปรมทำถูกแล้วครับ"

และในห้วงเวลาเงียบงันนั้น ความอบอุ่นจากร่างกายของกันและกันคือสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบโยนหัวใจที่แข็งแกร่งและเปราะบางไปพร้อม ๆ กัน

ต่อมาในวันที่แสงแดดไม่ได้ร้อนจัด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของปิ่นแก้วดังก้องสะท้อนภายในห้องขังชื้นเย็นที่มีกลิ่นอับของเหล็กขึ้นสนิมประสมกลิ่นไม้ผุเก่าแก่ หล่อนยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้เคยเรียกขานว่า “ผัว” ดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายความเชื่อมั่นในรัก ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง สั่นไหว และน้ำตา

คุณเปรมยืนอยู่หน้าประตูขัง เงียบเชียบ ไม่ได้เดินตามเข้าไป แต่แววตาเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง มองตามน้องสาวผู้แกร่งกล้าแต่ก็เปราะบางยิ่งกว่ากระจกบางเฉียบ

หลวงวิษณุนั่งอยู่ตรงมุมมืด ใบหน้าซูบซีด ขอบตาดำคล้ำจากการถูกจองจำ ดวงตายังคงเย็นชา แต่ไม่กล้าเงยหน้าสบตาหญิงตรงหน้าเลยสักวินาทีเดียว

“คุณพี่ยังเป็นคนอยู่หรือไม่เจ้าคะ…” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา ปนสั่นเครือ น้ำตาไหลรินโดยไม่สนใจจะเช็ด

“ข้าเคยคิดว่าท่านคือฟ้าหลังฝนของชีวิต… แต่แท้จริงท่านเป็นเพียงพายุที่ทำลายทุกอย่างที่ข้ารักไปจนหมด”

หล่อนเดินเข้าไปใกล้อีกนิด สายตาแน่วแน่ ไม่อ่อนข้อให้แก่ความรักเก่า

“ข้าไม่เสียใจเลยที่วันนี้ท่านต้องมาอยู่ในกรง… ข้าเสียใจเพียงอย่างเดียว ที่ตัวข้าเอง…เคยยืนอยู่ข้างท่านมาเนิ่นนาน โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่านกำลังเหยียบคนอื่นขึ้นไปเพื่ออำนาจ!”

เสียงสะอื้นหลุดออกมาเพียงนิดเดียว ก่อนหญิงสาวจะสูดลมหายใจเข้าลึก พูดต่ออย่างสง่างามราวกับเจ้านางในวัง

“หากมีชาติหน้า…อย่าเกิดมาในฐานะคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่าเมตตาเลย เจ้าค่ะคุณพี่วิษณุ”

" ข้า..ขอโทษ " เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมาจากปากที่แห้งกร้าน

หล่อนหันหลังให้เขาโดยไม่รอคำขอโทษใด ๆ ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ เพราะทุกคำมันสายเกินไปแล้ว

เมื่อประตูไม้ถูกผลักออกอีกครั้ง ปิ่นแก้วก็เดินออกมาอย่างช้า ๆ น้ำตายังไหลเป็นทาง แต่แววตาของนางสงบนิ่งกว่าทุกครั้งที่เปรมเคยเห็น

“เป็นอย่างไรบ้าง...” เปรมถามเสียงเบา

ปิ่นแก้วพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มบาง เช็ดน้ำตาและพูดเสียงเบาแต่แน่น

“ข้าคุยจบแล้วเจ้าค่ะคุณพี่เปรม… ข้ารู้แล้วว่าข้ารักตัวเองมากกว่าที่ข้าเคยคิด”

เปรมพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะเดินเคียงข้างน้องสาวออกจากคุกแห่งนั้น ราวกับพากันพ้นจากบ่วงกรรมที่เคยรัดแน่นอยู่ในหัวใจ

หลังจากออกมา ทั้งสามคนเดินเล่นตลาดยามบ่าย แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดเงาใบไม้ เสียงผู้คนเจื้อยแจ้ว กลิ่นหอมของปลาหมึกย่าง ขนมเบื้อง และน้ำอบจากร้านขายเครื่องหอมคลุ้งไปทั่ว

อินเดินอยู่ด้านหลัง เหลือบตามองปิ่นแก้วเป็นระยะ ด้วยความห่วงใยที่ไม่กล้าพูดตรง ๆ สังเกตเห็นว่าชาวบ้านเริ่มส่งยิ้มให้หล่อน บางคนพยักหน้า บางคนหลีกทางให้อย่างเคารพ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ใคร ๆ ก็ต่างหันหลังให้เธอด้วยความสงสัยและรังเกียจ

" ในที่สุด ละครก็มาถึงจุดแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วสิน้า" อินพึมพำกับตัวเอง

เมื่อเดินผ่านแผงขายดอกไม้ ปิ่นแก้วหยุดลง พลันหันไปเจอกับ แม่บุหลัน และ แม่จันทร์ เพื่อนสาวผู้เคยหัวเราะเคียงข้างกันมาหลายปี

เสียงเรียกชื่อกันด้วยความดีใจลั่นขึ้น แม่จันทร์เปิดแขนรอรับการกอดจากเพื่อนเก่า ปิ่นแก้ววิ่งเข้าไปกอดทันที น้ำตาที่เคยแห้งไปกลับมาเอ่อขึ้นด้วยความคิดถึงและปลื้มปิติ

“คิดถึงเจ้าจะแย่!” เสียงแม่บุหลันว่า

“ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะปิ่นแก้ว~”

“เปลี่ยนสิ… ข้าเปลี่ยนไปแล้ว… เปลี่ยนเป็นคนที่รู้จักรักตัวเอง” ปิ่นแก้วพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะหันมาบอกเปรม

“คุณพี่เปรมเจ้าคะ น้องขอเดินกับพวกนางหน่อยนะ”

เปรมยิ้มออกมาครั้งแรกในวันนั้น พยักหน้าเบา ๆ “ไปเถอะ” เขารับไหว้หญิงสาวทั้งสองก่อนที่พวกนางจะเดินไป

เมื่อหลังของหญิงสาวสามคนเดินห่างออกไกลสายตา เปรมจึงได้โอกาสเดินกันสองคนกับอินท่ามกลางตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คน เขาเหลือบมองรอบตัวเห็นสายตาหลายคู่หันมามอง คล้ายจะจับตามองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบ่าวหนุ่ม

เปรมเอ่ยเสียงเบา ขณะเดินช้า ๆ

“วันนี้คนเยอะเสียจริง…”

อินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่กำลังจะเดินแยกห่าง เปรมก็เอื้อมมือไปจับชายเสื้อของตัวเอง แล้วยื่นให้คนตัวโตกว่าด้านหลัง

“งั้น…เจ้าจับแบบนี้แทนก็แล้วกัน เดี๋ยวหลง”

อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างกลั้นไม่ไหว มือหนาจับชายเสื้อผ้าไหมอย่างเบามือ แล้วก้มหน้าซ่อนรอยเขินไว้

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเปรมดังขึ้น พลางเดินต่อไปข้างหน้าอย่างสงบ คนหนึ่งนำทาง คนหนึ่งเดินตาม พร้อมใจผูกกันไว้ด้วยเศษผ้า… และความรักที่ไม่ต้องอวดให้ใครเห็น แต่จู่ๆ ความรู้สึกหายใจติดขัดราวกับจมน้ำ และอาการแน่นหน้าอกมันก็ทำให้อินที่เดินอยู่หยุดชะงัก

" ห..หายใจอึก.." มือกดหน้าอกตัวเองแน่น ใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้น

" เจ้าเป็นกะไรไป อิน " สายตาหันไปมองคนด้านหลังทันทีที่เสื้อโดนกระตุก

เปรมรีบจับไหล่สบตากับคนรักที่หน้าซีดจนเหมือนจะเป็นลมตรงนั้น

" ผม..ไม่เป็นอะไรแล้วครับ " อินรีบตอบแบบปัดๆ พอรับรู้ได้ว่าพวกเขาเริ่มเป็นจุดสนใจ เปรมที่ทั้งเป็นห่วงอิน แต่ก็เข้าใจว่าสถานการณ์ตรงนี้คงไม่สะดวกคุยกันแบบสนิทสนมเกินนายบ่าว

อินที่ปลีกตัวขอไปยืนนิ่งพิงผนังของร้านหนึ่งที่ปิดอยู่ พร้อมกับเปรมที่ยืนสังเกตการอยู่ห่างๆ หลังจากอาการดีขึ้น อินก็เดินมาพูดให้คนที่รอหายกังวล ก่อนจะพากันเดินเล่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

" กลับเรือนดีกว่ามั้ย เหมือนเจ้าจะจับไข้หนาอิน "

" ผมไม่เป็นไรครับ "

" หรือพิษที่ปิ่นแก้วเล่าให้ข้าฟัง? มันยังไม่หายดีรึ! ? "

" เอาเถอะหน้า คุณเปรมครับ ไปกันต่อเถอะ ผมแข็งแรงดี "

ใบหน้าเปรมเป็นกังวลไม่หาย แต่ก็ยอมเดินเล่นต่อในตลาด พรางมองสังเกตคนรักที่เดินตามหลังเป็นระยะ

ณ ลานกว้างหน้าศาลากลางเมือง วันที่ต้องตัดสินโทษของหลวงวิษณุก็มาเยือน ฟากฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงแดดยามสาย ผู้คนมากหน้าหลายตาพากันมามุงดูเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงซุบซิบดังคลอไปทั่วท่ามกลางบรรยากาศที่อัดแน่นไปด้วยความกดดันและความสงสัยในใจของชาวเมืองทุกคน

ปิ่นแก้วยืนเคียงข้างพี่ชายและอินในชุดเรียบสุภาพ สายตาแน่วนิ่งของหล่อนมองไปยังเวทีไม้เบื้องหน้า สถานที่ซึ่งอีกไม่กี่อึดใจจะกลายเป็นเวทีแห่งความยุติธรรมสำหรับใครหลายคน และเวทีแห่งความสูญเสียสำหรับบางคนเช่นกัน

อินยืนอยู่ถัดหลังเปรมเล็กน้อย มือของเขากำชายเสื้อของคุณเปรมไว้แน่นตามคำแนะนำ ดวงตาสั่นไหวขณะเฝ้ามองภาพเบื้องหน้า ราวกับต้องต่อสู้กับความรู้สึกขัดแย้งในใจ

“หากกลัว ก็บอกข้า จะพาเจ้ากลับบ้านก่อน” เสียงคุณเปรมเอ่ยขึ้นเบาๆ ข้างหูบ่าวรัก

อินส่ายหัวช้าๆ ดวงตานั้นยังคงจับจ้องไปยังเวทีไม้ “ผมไม่เป็นไร แต่อาจจะต้องหลับตาบ้าง...ตอนจังหวะสำคัญ”

" หรือถ้ามีอาการเหมือนวันนั้นอีกก็รีบแจ้งข้าเสีย " เปรมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่อินจะพยักหน้ารับ ยกนิ้วโป้งให้อีก จนเปรมต้องส่ายหน้าและกลับไปสนใจในลาน

เสียงระฆังใบใหญ่ดังกังวานขึ้นหนึ่งครั้ง เป็นสัญญาณเริ่มต้น พิธีกรแห่งพิธีปรากฏตัวออกมากล่าวประกาศโทษของหลวงวิษณุ และบรรดาผู้ร่วมขบวนการกบฏ สายลมพัดผ่าน นำกลิ่นอายของไม้เก่าและฝุ่นจากพื้นดินให้ลอยอบอวลคล้ายจะเตือนใจทุกคนถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้

เพชฌฆาตในชุดดำก้าวขึ้นมาข้างหลังนักโทษผู้ถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา เสียงเพลงบรรเลงด้วยเครื่องสายแบบโบราณดังขึ้น เงียบงันและเย็นชา ปลุกเร้าให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้าน

อินเผลอหลับตาลงในจังหวะที่เพลงบรรเลงถึงท่อนสุดท้าย ขณะที่ปิ่นแก้วยืนสงบนิ่ง ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟายอีกแล้ว ใบหน้าหล่อนมีเพียงแววว่างเปล่าปนเหนื่อยล้า เปรมเองก็มองเหตุการณ์ด้วยสายตานิ่งเรียบ มือหนึ่งข้างของเขาขยับไปแตะไหล่อินอย่างแผ่วเบา เป็นทั้งการปลอบใจและให้กำลังใจในเวลาเดียวกัน

เสียงหนักแน่นของดาบดังขึ้น เพียงครั้งเดียว แล้วทุกสิ่งก็เงียบลงในพริบตา

ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีความโกลาหล ทุกคนในลานเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนเสียงลมหายใจและความเคลื่อนไหวจึงค่อยๆ กลับมา ผู้คนเริ่มแยกย้าย หลายคนพนมมือ บางคนถอนใจเงียบๆ กับชะตากรรมที่ถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว

อินเงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อเสียงเพลงสิ้นสุด เห็นใบหน้าของคุณเปรมที่ยังคงสุขุมและมั่นคงอยู่เช่นเดิม แม้จะมีบางอย่างในแววตานั้นที่ดูเศร้าเล็กน้อย ปิ่นแก้วขยับตัวมาหาพวกเขา เงียบๆ แต่ในดวงตานั้นกลับมีแววสว่างขึ้นคล้ายคนที่ได้วางบางสิ่งบางอย่างลงในหัวใจเรียบร้อยแล้ว

"จบแล้ว"

นางเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินนำทั้งสองออกจากลานประหาร ท่ามกลางแดดสายที่เริ่มแรงขึ้น — ความยุติธรรมอาจไม่ใช่แสงสว่างอันงดงาม แต่มันคือแสงที่ส่องลงมาให้คนที่ถูกทำร้ายได้เห็นหนทางเดินต่อไปข้างหน้า

ค่ำคืนนั้น ท้องฟ้าปกคลุมด้วยม่านเมฆสีเทานวล ลมเย็นพัดเอื่อยผ่านลานบ้าน เสียงจักจั่นเรไรยังไม่หลับใหล และแม้เหตุการณ์ในยามสายจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเงาของความรุนแรงยังหลงเหลืออยู่ในหัวใจของใครบางคน

เรือนไม้สงบเงียบ มีเพียงแสงตะเกียงน้ำมันที่ส่องนวลอยู่ตามมุมเรือน คุณเปรมเดินช้าๆ เข้ามาในห้องนอนหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กลิ่นอบอุ่นของไม้กฤษณาที่เขาใช้ทาผิวลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ พอเปิดประตูห้องออกมาก็เห็นอินนั่งอยู่ปลายเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้เหมือนคนที่ยังตกค้างกับอะไรบางอย่างในใจ

คุณเปรมไม่ได้พูดอะไรทันที เขาเดินเข้ามาช้าๆ แล้วนั่งลงข้างๆ บ่าวคนรัก นิ้วเรียวลูบหลังอินเบาๆ ในความเงียบ อินเอียงหัวซบลงที่ไหล่ของเขาอย่างอ่อนแรง

“เจ้ายังกลัวอยู่หรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ลมหายใจนั้นอุ่นจนแทรกเข้าไปในซอกคอของอิน

"เปล่าครับ..แค่ภาพมันติดตา" อินพูดเสียงแผ่วปลายตามองคนรัก

คุณเปรมยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างทะนุถนอม ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ขมับ “หากแม้ใจเจ้าหวั่น ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ ไม่ว่าเมื่อใด ไม่ว่าที่ใด”

อินค่อยๆ หันหน้ามองคุณเปรม ดวงตาคู่นั้นยังแดงเรื่อ แต่ก็เต็มไปด้วยความไว้ใจและรักอย่างล้นใจ

“คืนนี้...ผมนอนกอดคุณเมียได้มั้ยครับ”

คุณเปรมยิ้มกริ่ม พรางยกมือขึ้นประคองใบหน้าของอินให้แหงนขึ้นรับจุมพิตอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากของเขาแนบลงอย่างนุ่มนวลและแน่วแน่ ความอบอุ่นค่อยๆ แทรกผ่านไหล่ผ่านอกจนอินรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกต่อไป

เสียงหายใจแผ่วเบาสลับกันเป็นจังหวะ มือของคุณเปรมค่อยๆ เลื่อนแตะผิวเนื้อของคนรัก คล้ายจะปลอบโยนแต่ก็ท้าทายอย่างแสนอบอุ่น

“วันนี้เจ้าเก่งมากนะ อิน... แม้จะหวาดกลัว เจ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นได้”

“เพราะคุณอยู่ด้วย... ผมเลยไม่กลัวไง” อินตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ดวงตาฉ่ำวาวมองคนที่ตนรักเหนือสิ่งใด

คุณเปรมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมอบจูบอีกครั้ง ทว่าคราวนี้จูบของเขาไม่เพียงแค่ปลอบใจ หากแฝงไว้ด้วยความร้อนแรงที่ค่อยๆ คลายลงเป็นไฟลามช้า

จูบที่ไม่ได้มีการลุกล้ำใดๆ สัมผัสที่หนักแน่นกดลงไปทาบลงอวัยวะเดียวกันก่อนจะทิ้งไว้สักพักและถอยออกมา ปากอิ่มไล่จุมพิตตามแก้มและหน้าผากหม่น ของคนรักอย่างอ่อนโยน

สายตาออดอ้อนของอินจ้องมองคุณเปรมที่เขารักสุดหัวใจ ก่อนสวมกอดเอวบางแน่นจนร่างแนบชิดกัน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง พร้อมการดึงผ้าผืนบางขึ้นมาคลุมไว้ที่เอว

" ผมรักคุณเปรมจังเลยครับ..รักที่สุด " ปลายจมูกคมกดลงสูดดมกลิ่นกายของอีกคนที่ไหปลาร้าก่อนจะจุมพิตลงเบาๆ

" ข้าก็รักเจ้า..รักเจ้ามากเช่นกันนะอิน"

ในห้องนอนที่มีเพียงเสียงลมหายใจอุ่นสลับกันไปมา คุณเปรมและอินยังคงนอนตะแคงเผชิญหน้ากัน ใกล้กันเสียจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ความรักถูกถักทอผ่านปลายนิ้วที่เกลี่ยแก้มกันเบาๆ และสายตาที่ไม่ต้องมีคำพูดใดอีกแล้ว เพราะแค่เพียงยิ้มให้กัน หัวใจก็เต้นดังพอจะได้ยิน

แต่วินาทีต่อมา ทุกอย่างกลับเงียบงันในแบบที่ไม่ควรจะเป็น

คุณเปรมขมวดคิ้ว จ้องมองอินด้วยแววตาที่เริ่มเต็มไปด้วยความหวั่นไหว เขาลุกพรวดขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จา ดวงตาเบิกโพลงและมือก็เอื้อมมาแตะร่างของอิน ซึ่งสัมผัสได้น้อยลงเรื่อยๆ

ขนาดเดียวกันความรู้สึกเจ็บแปล๊บ ที่หน้าอกมันก็กลับมา พร้อมกับอาการหายใจติดขัด อินหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ไม่สู้คนตรงหน้าที่ใบหน้าจะดูตกใจจนซีดเซียว

“อิน…” เสียงเขาแผ่วราวกับลมหายใจสุดท้าย

“เจ้า… ทำไมเจ้าถึง… โปร่งใสแบบนี้…”

อินสะดุ้ง ตกใจเมื่อเห็นคุณเปรมสีหน้าซีดขาวราววิญญาณ และคำพูดนั้นก็เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงกลางใจ เขายกมือขึ้นดู แล้วสิ่งที่เห็น… ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น

มือของเขา… กำลังเลือนราง

โปร่งใสราวกับภาพเงาในกระจก แสงจากตะเกียงทะลุผ่านผิวหนังราวกับเขาเป็นเพียงม่านหมอก อินเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตาคุณเปรมที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้าแล้ว ใจของเขาร่วงลงพื้นเหมือนหินถ่วงกลางทะเล

ทั้งคู่โผเข้าหากันกอดแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจที่สั่นระรัว แขนของคุณเปรมโอบรัดไว้ไม่ยอมให้หลุดแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าหากคลายออก อินอาจจะหายไปตลอดกาล

“ข้า… ข้าไม่เข้าใจ…” คุณเปรมเสียงสั่น ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อพูดออกมา “อิน… เจ้าอย่าหายไปนะ อย่าเพิ่งหายไป…”

" ผม..ห..หายใจไม่ออก..คุณเปรม "

ได้แต่กอดตอบกลับแน่น ดวงตาเริ่มร้อนผ่าวเหมือนมีเปลวไฟแลบผ่านเบื้องหลังหัวใจ ความกลัว ความสงสัย และความรู้สึกไม่อยากพรากจากพัดเข้ามาพร้อมกันจนพูดอะไรไม่ออก

แล้วอยู่ๆ ร่างกายของอินก็กลับมาเป็นปกติ เต็มเนื้อเต็มตัวเหมือนเดิม ราวกับทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา อาการที่รู้สึกเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้ง จนหน้าแปลก

คุณเปรมร้องไห้ออกมาทันที กอดอินแนบอกแน่นกว่าครั้งไหนๆ น้ำตาของเขาเปียกบ่าของอิน ทั้งที่เป็นชายผู้เข้มแข็ง เยือกเย็น และไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้ใดมาก่อนในชีวิต

“อย่าทิ้งเป็นอะไปนะอิน..ฮึก อยู่กับข้าก่อนสิ” น้ำเสียงนั้นทั้งอ้อนวอน ทั้งปวดร้าว

อินยกมือสั่นๆ เช็ดน้ำตาให้คุณเปรม แล้วประคองใบหน้าของเขาให้สบตา แววตาของเขาสับสนเต็มไปด้วยคำถามนับร้อยที่ไม่รู้จะหาคำตอบจากที่ใด

ทำไมร่างถึงโปร่งใส? ร่างนี่ของนายอินกำลังจะบอกอะไรกันแน่ ..ความรู้สึกเจ็บปวดที่เหมือนโดนมีดกรีดหัวใจและถูกกดน้ำพร้อมกันแบบนี้มันคืออะไรกัน..พิษหรอ? ไม่สิ เขาว่าตัวเองหายดีแล้วนะ ไม่เห็นแสดงอาการอะไรเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมถึงมาเป็นเอาป่านนี้ละ

หัวใจของอินแน่นและอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น กำหมัดที่สั่นแล้วพูดด้วยเสียงแน่นคอ

“ไม่เป็นไรครับ… ผมยังอยู่ตรงนี้แล้ว…อยู่กับคุณนะครับ”

คำพูดนั้นคล้ายจะปลอบอีกฝ่าย แต่แท้จริงแล้วมันคือการพยายามปลอบใจตัวเองไปด้วย

" พรุ่งนี้เช้าข้าจะเรียกหมอมาดูเจ้า..ได้โปรดอดทนรอก่อนนะ "

และในยามค่ำคืนนี้ พวกเขานอนแนบกันไว้แน่น แม้ความสงบจะกลับมา แต่ใจของทั้งสองกลับไม่เคยวุ่นวายเท่านี้มาก่อนเลย...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บัญชารักคุณหลวง   ข้ามาหาแล้วหนา

    หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต

  • บัญชารักคุณหลวง   หวงกลับคืน

    ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน

  • บัญชารักคุณหลวง   ลางสังหรณ์

    แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ

  • บัญชารักคุณหลวง   น้ำเดือดที่ดับไฟกองเล็ก

    แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ

  • บัญชารักคุณหลวง   ภาระที่ต้องแบกรับ

    เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา

  • บัญชารักคุณหลวง   ฝากดูแลแทนข้าที

    หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่

  • บัญชารักคุณหลวง   ขอสักทีก่อนไป

    ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี

  • บัญชารักคุณหลวง   บุคคลต้องสงสัย

    พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช

  • บัญชารักคุณหลวง   กลับมาเฉิดฉาย

    แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status