แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียด
ทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้ง ข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก > “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ” เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ “รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พระนครแน่แท้แล้ว" จากนั้นเปรมก็หันหลังแทบในทันที ทิ้งงานทุกอย่างในมือยกให้คุณหลวงอีกคนทำหน้าที่ต่อพร้อมกับกบ่าวคำขอบคุณไว้ล่วงหน้า ก่อนจะรีบกลับเรือนหลวง เก็บข้าวของจำเป็น และควบม้าเร็วออกจากเมืองนั้นโดยไม่แม้แต่จะหยุดพัก… หวังแต่ว่า ขอให้เขาไปได้ทันเวลา แม้ว่ากำลังคนจะไปไม่ทัน เขาเองนี่แหละจะลงไปซัดกับคนสารเลวอย่างวิษณุเอง กลับมาที่พระนคร ภายในห้องเล็กๆ กลางเรือนด้านหลังตำหนัก บรรยากาศอึมครึม ราวกับเงาแห่งความหวาดหวั่นกำลังคลี่คลุมพื้นที่ ทุกสิ่งถูกปิดไว้ให้มืดมิดเพื่อลดอุณหภูมิภายในห้องให้เหมาะแก่ผู้ป่วย บนเตียงไม้เตี้ย อินนอนนิ่ง ใบหน้าแดงก่ำจากพิษไข้ที่รุมเร้า ลมหายใจหอบถี่อย่างยากลำบาก ผ้าห่มบางๆ ถูกคลี่ออกเผยให้เห็นแผลที่ถูกพันไว้แน่นหนา บริเวณนั้นยังมีร่องรอยของน้ำมันสมุนไพรที่ใช้บรรเทาพิษ สาย บ่าวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของคุณปิ่นแก้ว กำลังนั่งเช็ดตัวให้เขาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นที่เปลี่ยนมาแล้วหลายรอบ ส่วนอีกมุมหนึ่ง คุณปิ่นแก้วที่นั่งนิ่งแต่ไหล่สั่นไหว น้ำตาไหลพรากแม้พยายามกลั้นเอาไว้เต็มกำลัง “อือ...” เสียงครางเบาๆ ของอินดังขึ้น ดวงตาเขาลืมขึ้นช้าๆ มองเห็นภาพเลือนรางของหญิงสาวที่นั่งเฝ้าอยู่ “ผม...เป็นอะไรไปครับ...” เสียงเขาแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยิน ปิ่นแก้วเม้มปากแน่นก่อนจะตอบ “อิน...เจ้าโดนแทง” เสียงเธอสั่นพร่า นางขยับมือขึ้นจับมือเขาไว้แน่น “ข้าขอโทษ...ข้าไม่น่าให้ออกไปขายของวันนั้นเลย... ถ้าข้าห้ามเข้าไว้สักนิด...” น้ำตาหยดลงมาบนมืออินที่นางกุมไว้ อินกลืนน้ำลาย มันไม่ใช่ความผิดอะไรของหล่อนเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความใจกล้าของเขาที่เดินตามสัตว์ร้ายเข้าไปในถ้ำของมัน ทั้งๆที่รู้ว่ามันอันตรายมากแค่ไหน ร่างกายอ่อนแรงแต่เสียงของเขายังคงจริงใจ พูดปลอบหญิงสาว “มันไม่ใช่ความผิดคุณปิ่นแก้วเลยนะครับ...” เขาส่งยิ้มจางๆ แม้อ่อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน ปิ่นแก้วยิ้มกลับอย่างฝืนใจ น้ำตายังคงคลอเบ้า “หมอมาตรวจแล้ว เขาบอกว่าเจ้าโดนพิษ... ไม่ถึงกับร้ายแรงมาก แต่ก็รักษายาก ต้องใช้เวลา ต้องอดทนหน่อยนะอิน” อินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ทว่าก่อนที่สติจะเลือนหายไป เขากล่าวประโยคสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา “อย่าโทษ...ตัวเองเลยนะครับคุณปิ่นแก้ว” ปิ่นแก้วบีบมือเขาแน่นขึ้นอีกนิด เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้นในห้องเงียบงัน ขณะที่สายยังคงเช็ดตัวเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อินผล็อยหลับไปท่ามกลางความห่วงใยของสองหญิงผู้เป็นแสงสว่างในวันที่มืดมน... อินรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนานนักก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีเสียงใครเรียก ไม่มีแม้แต่เงาของคุณปิ่นแก้ว มีเพียงแสงแดดยามบ่ายแก่ที่เล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เข้ามาทาบทับพื้นห้อง และกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ จากบาดแผลที่ข้างลำตัว เขาชันตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ท่อนแขนซ้ายยันตัวขึ้นก่อนจะเอนหัวพิงกับหมอน เหงื่อเย็นชื้นที่ต้นคอเป็นหลักฐานว่าไข้ของเขานั้นเพิ่งซาไปไม่นาน บรรยากาศรอบตัวเงียบงันจนได้ยินเสียงนกกระจิบร้องไกลๆ อินปรายตามองรอบห้อง ก่อนจะลุกขึ้นยืน แผลที่ข้างลำตัวรั้งให้เขาเซไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังทรงตัวได้ดี เขาเดินไปใกล้หน้าต่างค่อยๆ เปิดมันออก กลิ่นดินเปียกกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิหลังเรือนลอยมาแตะจมูก สายลมพัดเอื่อย พัดยอดมะลิให้เอนไหวอย่างช้าๆ อินยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสีเข้มมีแววสงบนิ่งขึ้นมาชั่วขณะ กระทั่ง เสียงเปิดประตูดัง แอ๊ด ขึ้นด้านหลัง เขาหันกลับไปมอง เห็นคุณปิ่นแก้วยืนอยู่ตรงประตู มือถือถาดไม้ที่มีชามข้าวต้มกับยาน้ำวางเรียบร้อย “ตายแล้ว! เจ้าลุกขึ้นมาเองแบบนี้ได้ยังไง” เสียงปิ่นแก้วตกใจ พุ่งเข้ามาวางของบนโต๊ะก่อนจะตรงมาพยุงเขากลับไปนั่งที่เตียง “เจ้าบ้า! แผลยังไม่แห้งดีเลยนะ จะดื้อไปถึงไหน” หล่อนว่าเสียงขุ่น มือนิ่มดันไหล่เขาเบาๆ ให้นั่งลง อินนิ่ง ยอมทำตามแต่โดยดี “ขอโทษครับ” เขากล่าวเบาๆ เสียงแผ่วจนน่าสงสาร "ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่เฉยไม่เป็น แต่แผลยังไม่ปิดดีเลยนะ" ปิ่นแก้วเสียงสั่น นางยืนมองเขา สีหน้าเคร่งเครียดแต่แฝงความห่วงใยเต็มเปี่ยม อินก้มหน้า ก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ “ผมนอนไปนานแค่ไหนแล้วหรอครับ…” “สองวันเต็มๆ เลยเจ้าน่ะ… ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่คุณพระส่งมาช่วยไว้ ป่านนี้ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะตื่นมั้ย…” นางพูดไม่จบ น้ำเสียงเครือจนอินต้องเงยหน้ามองด้วยแววตาสำนึก หลังจากทานข้าวกินยา อินก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกล จนไปหยุดที่คำขู่ของหลวงวิษณุ “ถ้าแจ้งนครบาล เจ้าก็ลองคิดดูเล่นๆสิ ว่าระหว่างข้าโดนจับ กับศพนังปิ่นแก้วอะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน” อินกัดฟันแน่น คิ้วขมวดจนเป็นปม ความโกรธและความกลัวที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกของใจตื่นขึ้นอีกครั้ง มันร้อนรนจนต้องขยับตัว เขาตัดสินใจเดินลงเรือนมาช้าๆ แผลยังดึงรั้งทุกย่างก้าว แต่เขายังไปต่อ เขาเดินไปทางศาลาริมน้ำ ตั้งใจจะไปดูต้นมะลิให้ใจได้สงบอีกสักครั้ง แต่แล้ว เขากลับชะงักฝีเท้า ศาลาริมน้ำยามเย็นควรจะเงียบสงบ… ควรจะมีเพียงเสียงลมพัดอ่อนและกลิ่นหอมของมะลิแรกแย้มที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ทว่า...ภาพตรงหน้ากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใต้ชายคาเก่าเงาตะคุ่มของชายผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ เขาหมุนดอกมะลิขาวเพียงหนึ่งเดียวในปลายนิ้ว ลมหอบเอาเส้นผมยาวปรกหน้าผากของเขาปลิวไหว พร้อมกับรอยยิ้มจางที่ผุดบนริมฝีปากอย่างไม่ไยดีต่อโลก อินชะงัก เท้าที่ก้าวมาตรงริมรั้วศาลาแทบหยุดนิ่งในทันที ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลง แววตาแปรเปลี่ยนจากตื่นตระหนกเป็นแข็งกร้าว หลวงวิษณุ... ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ยามที่สายตาของเขาสบกับอินก็ฉายแววเย้ยหยันทันที ริมฝีปากแสยะยิ้ม “ดอกแรกของต้น... ข้าเด็ดมันมาแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ว่ากระไรหนา อิน” น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบ แฝงแววประชดประชันจนยากจะทานทน “หายดีแล้วนี่...อึดจริงๆ นะ เจ้าทาสชั้นต่ำ” อินไม่ตอบ ไม่มีถ้อยคำใดที่เขาเลือกใช้ในวินาทีนั้น มีเพียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้าไปใกล้…ช้าแต่หนักแน่น จนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าผู้ชายที่นั่งสบายราวกับเจ้าของเรือน “มาที่นี่ด้วยเหตุใด ข้าบอกแล้วว่าแค้นอะไรให้ลงที่ข้าคนเดียว” น้ำเสียงของอินมั่นคง เย็นและแน่วแน่ราวกับศิลาจารึก แต่ลึกในแววตากลับซ่อนคลื่นอารมณ์ที่ปั่นป่วน วิษณุลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ยังคงเล่นกับดอกมะลิในมือเหมือนมันไม่มีความหมายอะไรเลย เขาเหลือบมองอินครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไปทางเรือนด้านหลัง “แต่เหมือนเราจะโดนมองแล้วนะ?” เขาพูดคล้ายจะบ่น พลางชี้คางเล็กน้อยไปยังระเบียงไม้ของเรือน “ดูสิ...เหมือนเมียข้าจะคิดถึงข้านะ” อินหันขวับไปตามสายตาของอีกฝ่ายทันที แล้วหัวใจก็เหมือนหยุดเต้นไปชั่ววินาที คุณปิ่นแก้วยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ สีหน้าของหล่อนตกใจ ช็อก และสับสนอย่างถึงที่สุด เขากำหมัดแน่น ก่อนพูดเสียงกร้าว“เธอไม่ใช่เมียคุณหลวงแล้วขอรับ เลิกทำตัวไร้มารยาทแถวนี้เถอะ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอของวิษณุ เขาก้าวเข้ามาใกล้จนแทบจะยืนชิด แววตาคล้ายหมาป่าที่กำลังหยอกล่อลูกแกะ “ใจเย็นสิ ข้าแค่แวะมาทักทาย...” “ทักทายบ้าอะไร! นี่มันตั้งใจทำชัด ๆ!” อินคำราม ก่อนจะคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายแน่นจนเนื้อผ้าบิดงอ ใบหน้าเครียดขึงของเขาสะท้อนแสงแดดเย็นสีทองอย่างเกรี้ยวกราด แววตาของหลวงวิษณุแข็งค้างไปเพียงวูบเดียว...ก่อนจะฉีกยิ้มอีกครั้ง “ข้าว่า...เจ้าปล่อยข้าดีกว่านะ ลองมองข้างหลังตัวเองดูสิ” เสียงนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าแม่น้ำในคืนเดือนมืด อินชะงักเล็กน้อย หันขวับไปทางด้านหลัง แล้วหัวใจก็แทบหล่นวูบ...ที่ริมระเบียง คุณปิ่นแก้วถูกชายฉกรรจ์โพกผ้าจับล็อกตัวไว้อย่างแน่นหนา ใบมีดสั้นวาววับจ่ออยู่ใต้คางของนาง เพียงแค่มือไหว ก็พร้อมจะปลิดชีวิตได้ในเสี้ยววินาที “มะ...มึงทำบ้าอะไรของมึงวะ! อย่ายุ่งกับเธอนะเว้ย!!” อินตะโกนออกมา เสียงของเขาดังจนไหลย้อนขึ้นมาจากอก เสียดแทงใจตัวเองเสียยิ่งกว่าใคร เขาก้าวพรวดไปหมายจะเข้าไปจัดการกับคนร้ายตรงนั้นโดยไม่คิดถึงบาดแผลบนร่างเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงก้าวเดียว เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หู้ยๆ ขึ้นเสียงเชียว...แต่ทางที่ดี อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้เลยดีกว่า ถ้ายังอยากให้หล่อน...รอด” คำพูดนั้นลากยาว ราวกับข่มขู่โดยไม่ต้องใช้อาวุธ อินหยุดฝีเท้าทันที สายตาเหลือบไปเห็นปลายมีดที่จ่อเข้าใกล้เนื้อบาง ๆ ของคอคุณปิ่นแก้วจนแทบจะสัมผัสกัน มือของเขาสั่น ดอกมะลิที่เคยขาวสะอาดซึ่งถูกยัดใส่มือไว้เมื่อตะกี้เหมือนจะกลายเป็นสิ่งเย้ยหยันที่สุดในโลก ขาวสะอาด...แต่ถูกเด็ดขาด บริสุทธิ์...แต่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอันโสมม สายตาของอินสั่นไหวก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอีกครั้ง นี่ไม่ใช่แค่เกมของแค้น...แต่มันคือสงครามที่เดิมพันด้วยชีวิตคนบริสุทธิ์ ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดจนแม้แต่ลมหายใจก็ดูจะดังเกินไป เสียงปืนก็ปะทุขึ้นดั่งฟ้าผ่า — ปัง! เสียงสะท้านไปทั่วศาลาริมน้ำ ร่างของชายที่จับล็อกคุณปิ่นแก้วอยู่สะบัดราวกับหุ่นเชิด ก่อนจะล้มฟาดลงกับพื้นอย่างไร้สติ อินเบิกตากว้าง สมองเขายังไม่ทันประมวลผลดีว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนฉากในหนังบู๊ฉายซ้อนกับภาพตรงหน้า “ใครยิง…?” เขาพึมพำกับตัวเอง หัวใจเต้นรัวระส่ำ ยังไม่ทันได้ขยับตัว หลวงวิษณุก็หันขวับ เตรียมจะเผ่นหนีอย่างลนลาน แต่โชคไม่เข้าข้างเขาอีกต่อไป ร่างสูงที่คุ้นตาก็พุ่งเข้าหาอย่างว่องไว ราวกับเสือที่ซุ่มมานาน และ กระแทกหมัดแรกใส่กรามเต็มแรง ผัวะ! ผัวะ! เสียงชกไม่ปราณีกระหน่ำซัดใส่ใบหน้าและลำตัวของหลวงวิษณุอย่างไม่ยั้ง มืออีกข้างกระชากคอเสื้อให้เหยื่อไม่ทันได้ตั้งตัว อินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตาอย่างตะลึงเมื่อจำใบหน้าคนที่ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ “คุณเปรม!?” คนรักของเขา ชายที่ปกติสงบเสงี่ยม สุภาพเรียบร้อย กำลังแสดงออกถึงโทสะรุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เลือดไหลเป็นสายจากจมูกและปากของหลวงวิษณุเปื้อนอยู่เต็มกำปั้นของเปรม ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยแรงเกลียดชัง ความเคียดแค้นอัดแน่นจนแทบล้นออกมาจากดวงตา “พอแล้ว! คุณเปรม พอเถอะครับ!” อินรีบวิ่งเข้าไป คว้าแขนของเปรมไว้แน่น รู้ดีว่าหากปล่อยไว้อีกนิด อาจเกิดเรื่องที่ถอยหลังไม่ได้ เปรมหายใจฟึดฟัด เสียงหอบหนัก ๆ ของเขาสะท้อนความร้อนรุ่มภายใน อินไม่ได้พูดคำโต ไม่ได้ตำหนิอะไร เขาแค่เอื้อมมืออีกข้าง ดึงคนรักเข้ามากอดแน่น “พอแล้วนะ ผมไม่เป็นอะไร… ผมยังอยู่ตรงนี้…” เขากระซิบเบา ๆ พลางลูบแผ่นหลังอีกคนช้า ๆ อย่างอ่อนโยน เหมือนเวทมนตร์ถูกเสกใส่ เปรมเริ่มชะงักไปทีละน้อย กำปั้นที่เกร็งแน่นคลายออกตามแรงลูบของอิน หัวใจที่ฟาดรัวเพราะความโกรธ เริ่มกลับมาเต้นในจังหวะปกติอีกครั้ง เปรมซบหน้าลงกับไหล่ของอิน หอบหายใจออกยาวยิ่งกว่าทุกครั้ง เสียงอ้อมแขนที่กอดตอบกลับมาแน่นพอจะบอกว่าเขากำลังทิ้งตัวลงในพื้นที่ปลอดภัย เมื่อเปรมสงบลงจากพายุแห่งอารมณ์ เขาก็ตะโกนสั่งเสียงดัง ฟังชัด "จับกุมมันเดี๋ยวนี้!" เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารในเครื่องแบบเต็มยศดังเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่กลุ่มชายในชุดเครื่องแบบจะบุกเข้ามา ล้อมรอบร่างที่นอนนิ่งของหลวงวิษณุอยู่บนพื้นหญ้า เปรมยืนอยู่ในท่าทางนิ่งขรึม แม้ใบหน้ายังเปื้อนรอยโกรธ ทว่าแววตากลับเริ่มอ่อนลงเมื่อเขาหันมามองอิน อินมองอีกคนอย่างรู้สึกแปลกใจและหวั่นใจเล็กๆ เปรมในวันนี้ไม่เหมือนเดิม... ร้อนแรงจนแทบเผาได้ และแข็งแรงจนเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรล้มเขาได้ และยังคงเป็นคนที่อินรักไม่เปลี่ยน เปรมขยับเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ สวมกอดอินที่ตัวโตกว่าไว้แน่นแนบอก ราวกับต้องการยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง อินอยู่ตรงนี้… ปลอดภัย "ข้านึกว่าจะกลับมาไม่ทันเสียแล้ว" เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้แล้ว ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาหาอย่างไม่ลังเล จูบลงไปอย่างลึกซึ้งเต็มไปด้วยความโหยหาจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึงระหว่างสองเดือนที่ห่างหาย จูบที่ถามแทนคำว่า "เป็นยังไงบ้าง" และตอบแทนคำว่า "ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน" อินโอบกอดตอบ กอดแน่นเสียจนแทบกลืนอีกคนไว้ในอก ความรักของเขาเอ่อล้นออกมาในสัมผัสทุกจุด กลายเป็นช่วงเวลาที่แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้ก็เบาลงราวกับจะไม่รบกวน หลังจากกอดกันแน่นจนลมหายใจทุเลาลง ทั้งสองคนก็นั่งลงที่ศาลาริมน้ำที่เงียบสงบ เปรมทอดสายตามองไปที่ต้นมะลิที่อยู่ริมทาง ต้นไม้ที่เป็นเพียงตอไม้ไหม้ๆ แต่ตอนนี้กลับชูใบเขียวชะอุ่ม ทอดดอกขาวเล็กบานสะพรั่ง เขายิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวอินเบา ๆ อย่างเอ็นดู “ข้าขอบใจนะ ที่ดูแลมัน…จนกลับมายืนต้นได้อีกครั้งนะ” อินหลุบตาลงนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่ว “ผม…เสียดายที่เก็บดอกแรกไว้ให้คุณเปรมไม่ได้…” เปรมส่ายหน้า ยิ้มอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร เขาเดินเข้าไปใกล้ต้นมะลิ ก้มตัวลงท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่สาดลงบนไหล่ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับดอกมะลิช่อเล็กในมือ เขายื่นมันมาให้ พลางพูดด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นจับใจ “นี่ไง…ข้ากำลังดมมันอยู่ หอมมากเลยละ” อินมองอีกคนตาค้าง รอยยิ้มของเปรมในตอนนี้ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ความละมุนของช่วงเวลานั้นท่วมท้นจนน้ำตาแทบไหล เขาขยับเข้าไป ไม่พูดอะไรอีกต่อไป แล้ว อุ้มอีกคนขึ้นในอ้อมแขน หมุนเบา ๆ ด้วยแรงรักที่ระเบิดออกมาจากอก “ผมรักคุณเปรมจังครับ! รักที่สุดเลย!” อินว่า พลางฝังจมูกลงบนผมอีกคน ทั้งจูบ ทั้งหอม ทั้งยิ้ม ทั้งเสียงหัวเราะของคนสองคน… ลอยคลอไปกับกลิ่นดอกมะลิอ่อน ๆ …บางช่วงของชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรมาก แค่มีคนที่เรารัก ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มให้ก็พอแล้วหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า