เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรง
บนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่าย เขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’ เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ "ยังมีบ้านให้กลับเสมอ" เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในความเศร้า ทันใดนั้น... เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ “คุณหลวงขอรับ มีเอกสารจากทางการมามอบให้ท่านขอรับ” เปรมละสายตาจากหน้าต่าง “เข้ามาเถอะ” คุณหลวงนครบาลในชุดครุยราชการเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารหนาหนักและสีหน้าเคร่งเครียด เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง พลางถอนใจยาว “ข่าวของหลวงวิษณุขอรับ” เขาเริ่มเสียงต่ำ “เราเพิ่งได้รับรายงานจากด่านหน้าทั้งเมืองจันทบุรี พระนครศรีอยุธยา และตะเข็บเมืองชายแดน ยังไม่พบร่องรอยใด ๆ ของขบวนการเคลื่อนไหว ไม่มีกลุ่มคาราวาน ไม่มีกองคารวะหรือคนสนิทที่ระบุได้ชัดว่าเป็นพวกของมัน” “แล้วเมืองหลวงล่ะ” เปรมถามนิ่ง ๆ ไม่ยิ้มอีก “นั่นล่ะขอรับ...ที่น่ากังวล” คุณหลวงก้มหน้าเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด “เราเกรงว่า... คนร้ายอาจยังแฝงตัวอยู่ในพระนครเอง โดยเฉพาะบริเวณเรือนของท่าน หรือผู้คนรอบข้างที่ใกล้ชิด” เปรมเงียบไปชั่วครู่ แววตานิ่งสนิทแต่คิ้วเริ่มขมวดแน่น ราวกับความกลัวที่ซุกไว้ใต้ความเข้มแข็งกำลังพุ่งขึ้นมาพร้อมกับความโกรธ “ไอ้หลวงวิษณุคนบาป...” เขากัดฟันพูดช้า ๆ น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับจะกลั่นออกมาจากเหล็กร้อน “มันจ้องจะแก้แค้นคนที่เรือนข้าไม่เลิกแน่ ...” คุณหลวงพยักหน้าเร็ว “เราจะเพิ่มหน่วยสายตรวจบริเวณเรือนของท่านทันทีในคืนพรุ่งนี้ขอรับ และหากท่านอนุญาต ข้าจะส่งคนเฝ้าตลาดที่อินไปขายขนม” “ทำเถอะ” เปรมตอบทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ “ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้คนในครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายแบบครั้งก่อนอีก…” คุณหลวงเว้นจังหวะ ก่อนจะเปิดแฟ้มอีกครั้ง ชี้ไปยังภาพวาดเหมือนของชายคนหนึ่งที่เคยเป็นขุนนางฝ่ายพระคลังมาก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ “เราสงสัยว่าเขาอาจได้รับความช่วยเหลือจากคนในระบบราชการขอรับ มีเบาะแสเล็กน้อยว่ามีการเคลื่อนย้ายเงินจำนวนหนึ่งจากพระคลังสู่บัญชีของคนในตลาดมืด และการหายตัวไปของข้าราชการสี่นายที่ทำงานร่วมกับหลวงวิษณุก่อนจะถูกตั้งข้อหากบฏ” เปรมพลิกดูภาพเหล่านั้นทีละใบอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาฉายชัดว่าไม่ปล่อยให้รอดไปแน่ “เตรียมกำลังไว้ที่ท่าเรือหลวงด้วย มันอาจหนีทางน้ำ” “รับทราบขอรับ” เปรมหลับตาลง พยายามระงับลมหายใจที่เริ่มถี่ เหมือนร่างกายของเขาจะฝืนไม่ไหวกับภาระที่ต้องแบกรับทั้งในหน้าที่และในใจ แต่เพียงนึกถึงรอยยิ้มในจดหมายนั้น ใบไม้น้อยแห้งในสมุด เขาก็ลืมตามองดาวอีกครั้ง "ขอให้มันจบสักทีเถอะ" เสียงขลุกขลักของหม้อทองเหลืองที่เดือดพอประมาณยังคงดังสม่ำเสมอในครัวเล็กๆ หลังเรือนใหญ่ อินในเสื้อผ้าธรรมดาแต่เรียบร้อย กำลังใช้ไม้พายคนแป้งขนมบนเตาอย่างใจจดใจจ่อ เขาขมวดคิ้วเพราะความร้อนผ่าวจากเตาไฟ บ่าวสาวสองสามคนช่วยกันจัดถาด ห่อใบตอง โรยมะพร้าว ท่ามกลางแสงตะเกียงที่สั่นไหวในยามค่ำคืน "นี่นายอิน ยังไม่เลิกอีกหรือ" เสียงหาวยาวของปิ่นแก้วดังขึ้นข้างหลัง เด็กสาวในชุดนอนผ้าไหมยกดอก ผูกผมหลวมๆ ยกมือป้องปากน้อยๆ แต่ยังเดินเข้ามาช่วยหยิบจับอย่างไม่ลังเล "คุณปิ่นแก้วควรไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะครับ" อินเอ่ยพลางเหลือบตามองคนพูดที่กำลังนั่งพับเพียบช่วยห่อขนมอย่างขันแข็ง "อินอย่าเจ้ามาขับไส! ข้าก็อยากช่วยนี่นา" "คุณว่าตัวเองเป็นกุลสตรีหรือกุลแสบกันแน่ล่ะขอรับ?" อินหลุดขำ ก่อนจะส่ายหน้าเอ็นดู “นี่ถ้าคุณอยู่ยุคผม คงเป็นฟองแมนๆเตะบอลแน่” เขาพึมพำ แม่ปิ่นแก้วแลบลิ้นให้อินอย่างทะเล้น ก่อนที่สาย บ่าวสาวหน้ากลมคนสนิทของนางจะเข้ามาจูงมือพาเจ้านายกลับไปพัก "ไปเจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวหน้าจะยับไปหมด" ครู่ใหญ่หลังจากนั้น อินกับแม่ครัวคนอื่นๆ ก็ทำขนมกันจนเสร็จ แพ็กลงหีบไม้เรียบร้อย จากนั้นอินก็ได้แจกเงินอัดแบ่งให้พวกนาง พร้อมรอยยิ้มอ่อนล้า "ขอบใจพวกเจ้ามาก ถ้าไม่มีพวกเจ้า ข้าทำคนเดียวถึงพรุ่งนี้เช้าไม่เสร็จแน่" "แหมๆ..ไออินเจ้าอย่ามาปากหวาน!” เสียงแซวบ่าวคนหนึ่งทำเอาทุกคนหัวเราะคิกคัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน อินจึงเดินมาที่ตลิ่งข้างเรือน ถอดเสื้อเช็ดเหงื่อ แล้ววักน้ำล้างหน้าช้าๆ น้ำเย็นจัดช่วยปลอบความเหนื่อยล้าได้บ้างในยามที่จันทร์สาดแสงกระจ่าง ทว่า... เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังลั่นออกมาจากเรือนใหญ่! อินชะงักขันน้ำค้างในอุ้งมือหล่นลงพื้น สายตา เบิกกว้างก่อนจะหันวิ่งพรวดขึ้นฝั่ง พุ่งเข้าเรือนโดยไม่สนว่าผ้าจะเปียกหรือพื้นจะลื่น "คุณปิ่นแก้ว!" อินผลักบานประตูห้องเปิดออกแรงจนเสียงดังปัง ภาพที่เห็นคือแม่หญิงปิ่นแก้วกำลังกอดสายแน่น ร่างทั้งคู่สั่นเทิ้มอยู่บนพื้น ก้อนดินเปรอะโคลนแตกกระจายอยู่ใกล้ๆ “มัน...มันปาเข้ามา...” แม่หญิงพูดเสียงสั่น สายที่ตั้งสติได้เร็วกว่ารีบเล่า“ขะ...ข้ากำลังหวีผมให้คุณหนูอยู่เจ้าค่ะ แล้วได้ยินเสียงคนเดินวนเวียนใต้ถุน ข้าจึงไปส่องหน้าต่างดู...แต่ไม่เห็นผู้ใดเลย กลับมานั่งต่อได้ครู่หนึ่ง...เสียงนั้นกลับมาอีก” แม่หญิงปิ่นแก้วพูดแทรก เสียงเครือ“ข้าโมโห ข้าก็เลยเดินไปดูเอง...ไม่ทันถึงหน้าต่าง...ก้อนดินมันก็พุ่งเข้ามา!” อินกำมือแน่น ดวงตาวาววับ เขาเดินไปหยิบก้อนดินแตกๆ ขึ้นมาอย่างระวัง ก่อนจะสังเกตว่ามีเศษกระดาษขยำปนอยู่ข้างใน “กระดาษ?” เขาค่อยๆ คลี่มันออก ช้าๆ ละเมียดละไม หมึกจางๆ เปรอะดิน แต่ยังอ่านได้ชัดเจน... "มีความสุขกันเข้าไปเถอะ ข้าจะฆ่าให้หมด...ดูสิ มันจะไปรักใครได้อีก" อินหน้าชาไปวูบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึงขัง “เฮ้ย! เรียกบ่าวผู้ชายทั้งหมดมาที่นี่! ให้กระจายกันตรวจรอบเรือน ใต้ถุน รั้ว ซอกต้นไม้ แม้แต่รูงูข้าก็จะให้พวกเจ้าดู!” เสียงฝีเท้าเร่งรีบเริ่มกระจายออกจากเรือน ขณะที่สายช่วยพยุงแม่ปิ่นแก้วไปพัก อินกำก้อนกระดาษแน่นแล้วหันมองหน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง สายลมยามดึกพัดผ้าม่านบางๆ ปลิวช้าๆ...อากาศเย็น แต่หลังเขาเปียกเหงื่อราวโดนน้ำร้อนราด “ไม่น่าใช่...มันไม่ควรจะเป็นหมอนั้นสิวะ” อินพึมพำ แล้วหันไปปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนา คืนนี้...ไม่มีใครในเรือนนอนหลับสนิทรวมถึงอิน ที่หัวใจเริ่มร้อนรุ่มด้วยความกลัวปนโกรธ ไม่ใช่แค่แม่หญิงที่ตกเป็นเป้า แต่ดูเหมือน...ศัตรูในเงามืดนั่น "มันหมายหัวทุกคนที่คุณเปรมรักเป็นแน่" หลังจากเหตุการณ์ชุลมุลเมื่อคืน อินไม่อาจข่มตาหลับได้เลยสักนาทีเดียว ความรู้สึกกลัว ประหม่า และแค้นเคืองตีวนอยู่ในอกไม่ต่างจากพายุฟ้าคะนองที่ยังไม่ทันโหมมา อินนั่งเหม่ออยู่ข้างตะกร้าหาบขนมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก จวบจนคุณปิ่นแก้วเดินเข้ามาพร้อมน้ำขิงอุ่นๆ กับแววตาเป็นห่วงเป็นใย “นายอิน... ถ้าขายไม่ดี อย่าอยู่นอกบ้านนานนะ” นางพูดเสียงเบาแต่จริงจัง “ ถึงจะนอนไม่ค่อยหลับ แต่ข้าก็ยังฝันร้าย ใจคอไม่ดีเลย” อินยิ้มจางๆ ฝืนใจไม่ให้แสดงความวิตกออกมา "ไม่เป็นไรครับ คุณปิ่นแก้วพักผ่อนอยู่ที่เรือนกับสายนะครับ เดี๋ยวผมรีบกลับมา เขาพูดกลบเกลื่อน แล้วหาบขนมขึ้นบ่าด้วยสีหน้าที่ไม่ได้มั่นใจอย่างที่ปากว่า แม้อินจะพยายามทำตัวตามปกติ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดงุ่นง่านจากการอดนอน ดวงตาแดงก่ำและหนังตาหนักอึ้ง เขาทำงานอย่างสะเปะสะปะ ถอนเงินผิดบ้าง ทอนผิดบ้าง โชคยังดีที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นขาประจำ จึงคอยตักเตือนด้วยความเอ็นดู “วันนี้เจ้าไม่ค่อยสดใสนะอิน ระวังจะทำเงินตกหายนะ” ป้าขายผักที่อยู่ใกล้ๆ เตือนพร้อมหัวเราะเบาๆ อินยิ้มแห้งพลางพยักหน้ารับ ก่อนจะตัดสินใจว่าถ้าอีกไม่กี่ชั่วโมงยังขายไม่หมด เขาจะกลับก่อนบ่ายเสียเลย หรือไม่ก็เอาขนมไปแจกเด็กๆ ที่วิ่งเล่นแถวลานวัดเหมือนเคย แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของตลาด เสียงที่เหมือนแฝงไปด้วยเหล็กแหลมของความเจตนาอันดำมืด “ขายดีหรือเปล่า... เจ้าอิน” เสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแผ่วเบาพอให้รู้สึกเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู อินชะงักมือทันที หัวใจเต้นกระหน่ำ เขาหันขวับไปตามต้นเสียงอย่างไม่รอช้า แล้วก็พบ... ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงาเพิงไม้ ผ้าสีคล้ำปิดบังใบหน้าจนเหลือเห็นเพียงนัยน์ตาคมดุที่เหมือนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แค่เพียงสบตา อินก็จำได้ทันทีว่าคนคนนั้นเป็นใคร....หลวงวิษณุ คนสารเลวที่เคยพรากชีวิตอันสงบสุขของคุณปิ่นแก้วไปด้วยการแต่งงานจอมปลอม จนนางกลายเป็นขี้ปากใครต่อใครว่าเป็นเมียกบฏ คนที่ทำให้คุณเปรมเสียหายทั้งกายใจและทรัพย์สิน อินกำหมัดแน่น กำลังจะอ้าปากด่า ทว่าอีกฝ่ายกลับชูนิ้วแตะริมฝีปาก ตำแหน่งนิ้วเป๊ะราวกับซ้อมมาอย่างดี แล้วกระซิบเสียงต่ำจนแทบไม่ต้องขยับปาก “ที่นี่คนเยอะ... ตามข้ามาสิ” ก่อนที่อินจะตอบอะไร หลวงวิษณุก็หันหลังแล้วเดินหายเข้าไปในตรอกด้านข้างของตลาด ซึ่งมืดทึบ และมีควันลอยคลุ้งจากเตาถ่านของร้านข้าวต้มเก่าที่ปิดไปแล้ว กลิ่นชื้นของตะไคร่น้ำและดินเปียกตีจมูก อินลังเลเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของอย่างลวกๆ แล้วรีบสาวเท้าตามไป เมื่อเขาเดินเข้าไปในตรอก ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีอย่างไม่ทันตั้งตัว เมฆฝนเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดอย่างฉับพลัน อากาศเย็นยะเยือกจนรู้สึกได้ถึงไอน้ำค้างตามต้นไม้ริมทาง พื้นหินเปียกแฉะด้วยร่องรอยฝนที่เพิ่งหยุดไป ตะไคร่น้ำขึ้นตามผนังกำแพงสูง มีกลิ่นฉุนอับของของเน่าเก่าและแมวเร่ร่อน อินหยุดยืน สูดหายใจเข้าลึก แล้วตะโกนออกไป “หลวงวิษณุใช่ไหมขอรับ! แสดงว่าเมื่อคืนก็เป็นฝีมือของคุณใช่มั้ย!?” เสียงสะท้อนก้องกลับมาจากกำแพงสูงรอบตัว เหมือนกับใครหลายคนซ้อนเสียงกันไว้ในเงามืด ครืด... เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากอีกด้านของตรอก ก่อนร่างของหลวงวิษณุจะโผล่ออกมาจากหลังซุ้มประตูร้าง รอยยิ้มของเขาเจ้าเล่ห์เกินทน ดวงตาคล้ายงูเห่าจับจ้องเหยื่อที่กำลังหวาดหวั่น “ฉลาดดีนี่... ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กล้าตามมาเสียอีก” อินกัดฟันแน่น ดวงตาลุกวาว “สารเลว... คุณต้องการอะไร!” “อะไรกัน อิน... หรือควรเรียกเจ้าว่า ‘บ่าวสุดแสนรักของคุณพี่เปรม’ ดีล่ะ” หลวงวิษณุแสยะยิ้ม " ดูสิไม่ได้เจอกันเสียนาน สูงใหญ่น่ากลัวเหมือนเคย" อินกัดฟันดังกรอด " อย่ามาเล่นลิ้นครับ เลิกยุ่งกับคุณเปรมและคุณปิ่นแก้วสักทีเถอะ!" “แหมๆ...” หลวงวิษณุเดินวนรอบตัวอินอย่างเชื่องช้า " ข้ายังไม่ทันได้ทำกะไรเลยอิน แค่แวะไปทักทายเพียงแค่นั้น "ถ้าโกรธถ้าเกลียดก็มาลงที่ผมสิครับ! ทำไมต้องไปยุ่งกับคนอื่นด้วย" อินข่มใจสู้ " ลงกับเจ้ารึ..ใช้ว่าข้าไม่ทำแต่เพราะทำหลายต่อหลายครั้งแล้วเจ้าก็ยังคงเป็นที่รักของคุณพี่เปรมอยู่ดี เสียงของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก " ในเมื่อตรอกนี้ไม่มีผู้ใด งั้นเรามาเล่นกันเสียหน่อย..ข้าคันไม้คันมือ " "อยากฆ่าเจ้าอยู่เต็มกระทง! " อินยังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นกลับเปลี่ยนเป็นจังหวะเร่งเร้า... หลวงวิษณุพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ราวกับอสรพิษที่ซุ่มรอเหยื่อมาแต่ต้น ปลายมีดสั้นสะท้อนแสงมัวๆ จากฟ้าครึ้ม กระชากเข้าชายโครงของอินอย่างแม่นยำ ฉึก! ความเจ็บปวดพุ่งแล่นเข้าสมองเหมือนฟ้าผ่าลงตรงจุดเดียว อินร้องไม่ออก ได้แต่เบิกตากว้าง ขาแทบทรุด แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดยังทำงาน เขากำหมัดแน่น แล้วซัดหมัดสวนกลับไปเต็มแรง จนร่างของวิษณุเซถลาไปชนกำแพงหินเสียงดัง อินก้มลง ดึงมีดออกจากเนื้อของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหวี่ยงมันทิ้งไปโดยไม่เหลือเยื่อใย เลือดอุ่นๆ ไหลทะลักจากแผล มือของเขากดไว้แน่นเพื่อหยุดมัน แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ หายใจไม่ทัน ความหนาวเย็นจากฝนเก่ารอบตัวคล้ายจะซึมผ่านผิวหนังเข้าไปถึงกระดูก เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้นจากชายที่เพิ่งถูกชกไปเต็มแรง วิษณุลุกขึ้นช้าๆ ปาดเลือดจากมุมปากด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นเยียบ “วันนี้ขอแค่นี้พอก่อนละกัน อิน... ข้าอยากให้เจ้ารู้สึกทรมานเสียก่อนจะตาย” เสียงเขาชัดเจนทุกถ้อยคำเหมือนใบมีดอีกเล่มหนึ่ง “และอย่าแม้แต่จะคิดไปแจ้งใคร... ลองคิดดูดีๆ ระหว่างทางการส่งคนจากพระนครมาจับข้า กับศพของนังปิ่นแก้วที่อืดอยู่ข้างถนน... อะไรจะเกิดก่อนกัน?” อินหน้าซีดเผือด จังหวะหัวใจเต้นแรงแต่กลับเหมือนอ่อนแรงลงทุกขณะ แผลที่ดูเหมือนจะไม่ลึกนัก กลับเริ่มแผ่ความร้อนวาบและความชาไปทั่วตัว “เจ้า... ทำอะไร...” เขาพึมพำ เสียงพร่า วิษณุยิ้มมุมปาก ก่อนโน้มตัวลงมากระซิบเย้ยหยันข้างหู “มีดนั้นน่ะ... ข้าชุบยาพิษสูตรพิเศษมาให้เจ้าโดยเฉพาะเลยนะอิน~" " เจ้ารู้มั้ย อิน พิษมันจะไม่ฆ่าเจ้าในทันที แต่มันจะค่อยๆ ลามไปทีละนิด ให้เจ้าได้รู้ว่า... ความตายแบบช้าๆ มันน่ากลัวเพียงใด” แล้วทันใดนั้น—วิษณุก็ตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วยขอรับ! มีคนถูกแทง!!” เสียงตะโกนแทรกผ่านตรอกแคบๆ ดึงความสนใจของคนบางกลุ่มจากอีกฝั่งตลาด ขณะที่ชายร้ายวิ่งหนีหายไปท่ามกลางเสียงฝนเริ่มโปรยปราย อินทรุดลงไปกับพื้นอย่างช้าๆ หูเริ่มอื้อ ตาเริ่มพร่า ร่างกายหนักอึ้งจนแทบยกไม่ขึ้น เสียงรอบข้างจมหาย เหลือเพียงเสียงลมหายใจตนเองที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ก่อนที่สติจะดับวูบไปในความมืดที่กำลังกลืนกิน...หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า