๖
ซีดแล้วซีดอีก
ตอนนี้ในหัวของหลันเฟิงมีแต่คำว่าลูก ๆ ลอยวนซ้ำ ๆ
เดิมทีเขาไม่คิดไปส่งมารดาในวันนี้ แต่พอทราบว่านางมีลูกรออยู่ที่หมู่บ้านก็ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะชวนทุกคนไปที่นั่น
ท่าทางของหลันเฟิงขึงขังเป็นอย่างมาก ชั่วขณะนั้นต่อให้ใครยังทานอาหารไม่อิ่มก็ต้องวางตะเกียบแล้ว
บนรถม้า...
เสียงการพูดคุยของชุนเอ๋อร์และจางจงกว่านดังอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เข้าหูของหลันเฟิงเลยสักนิด
ในหัวพลอยแต่คิดถึงภาพเด็กผู้ชายตัวอ้อนกลมกำลังนอนร้องไห้งอแงเพื่อรอมารดากลับมาให้นมที่เรือน
ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ เขากำลังคิดภาพของบุรุษที่ทำให้เด็กเหล่านั้นเกิดมา!
“เสี่ยวกว่านอายุ 23 แล้วหรือ เสี่ยวกูกุก็หลงคิดว่าเจ้าอายุเพียง 20 เท่านั้น”
“เสี่ยวเหอกับเสี่ยวเฉินก็อายุ 23 นะขอรับ”
ชุนเอ๋อร์เปรียบเทียบชายหนุ่มทั้งสามที่มีอายุเท่ากันเรียงคน จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่เกาจี้เฉิน
เขามีบุคลิกสุขุม นางจึงคิดว่าอีกฝ่ายอายุเท่ากับหลันเฟิง
โจวฉือเหอดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูสุภาพน่าเชื่อถือจนเกินอายุไปมาก เป
จางจงกว่านเสียอีกที่ภาพลักษณ์ภายนอกและนิสัยส่งให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มวัย 20 หนาว
“เสี่ยวกูกุกำลังบอกว่าเสี่ยวกว่านดูเป็นเด็กกะโปโลหรือขอรับ”
จางจงกว่านหน้าเหวอไปเลยเมื่อได้ยินคำพูดของโจวฉือเหอ ใบหน้าส่ายไปมาเพื่อแสดงว่าตนไม่ยอมรับในคำพูดของสหาย
เขาต้องการคำยืนยันจากคนอื่นเพิ่ม มองไปทางหลันเฟิงและเกาจี้เฉินก็ส่ายหน้าไปมา ในใจคิด...
ไม่! ถามสองคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เป็นเสี่ยวกูกุแล้วกัน
“ไม่จริงใช่หรือไม่ขอรับเสี่ยวกูกุ เสี่ยวเหอไม่ใช่เด็กกะโปโล”
ชุนเอ๋อร์นิ่งไปเพราะในใจย่อมคิดว่าเขาเหมือนเด็กกะโปโลจริง ๆ แต่จะให้พูดออกมาตามตรงก็เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
“เสี่ยวกูกุไม่ได้พูดนะ เสี่ยวเหอเป็นคนพูด”
โจวฉือเหอหลุดหัวเราะ เพราะประโยคนี้เป็นการยืนยันคำพูดในใจนางได้ดีที่สุด
จางจงกว่านสะบัดหน้าใส่โจวฉือเหอแล้วหันมางอแงกับชุนเอ๋อร์
“เสี่ยวกูกุ ท่านต้องตอบว่าไม่จริงสิขอรับ ข้าไม่ใช่เด็กกะโปโลนะ คนเรามีหลายด้าน จะมองด้านเดียวไม่ได้นะขอรับ”
โจวฉือเหอหัวเราะเสียงร่วน
“นี่! ถ้าเมื่อครู่เจ้ากระทืบเท้าด้วยจะไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้ว แต่จะเป็นเด็กสามหนาวแทน”
สิ้นคำพูดนี้ทุกคนก็พากันหัวเราะ แม้แต่เกาจี้เฉินยังแอบยิ้มมุมปาก แน่นอนว่าคนที่ไม่มีอารมณ์ขันให้กับเรื่องนี้เลยคือหลันเฟิง
“ท่านแม่ ลูก ๆ ของท่านแม่กี่หนาวแล้วขอรับ”
หลันเฟิงกลั้นใจถามชุนเอ๋อร์ออกไป แต่เมื่อได้ฟังคำตอบจากปากนาง ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดแล้วซีดอีก
“สองหนาว หากเฟิงเอ๋อร์ได้เห็นน้อง ๆ ต้องชอบแน่”
ชุนเอ๋อร์ตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร เพราะลูก ๆ ของนางอยู่ในวัยนี้จริง ๆ
เจ้ามาหัวขนนั่นเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน อีกทั้งยังเป็นฝาแฝดด้วย หึ! ข้าไม่มีทางชอบเจ้าพวกนั้นแน่
“ขอรับ”
หลันเฟิงตอบเสียงแผ่ว พยายามปั้นยิ้ม จากนั้นก็จมอยู่ในโลกของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว
เกาจี้เฉินเห็นนายของตนเป็นเช่นนั้นจึงได้สะกิดโจวฉือเหอให้ดูปฏิกิริยาของหลันเฟิง
“เหล่าต้ากำหมัดแน่นแล้ว”
โจวฉือเหอกล่าวขึ้นมาเบา ๆ เพียงเท่านี้ก็ทราบแล้วว่าเจ้านายอยู่ในอารมณ์ใด
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองชุนเอ๋อร์ ในใจคิด...
เสี่ยวกูกุต้องเสียใจมากเป็นแน่ เหล่าต้าไม่ปลื้มน้อง ๆ
ณ หมู่บ้านสาวสองพันปี
รถม้าที่หลันเฟิงจ้างมาสามารถเข้าได้เพียงปากทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ระยะทางที่เหลือต้องเดินไปต่ออีกหน่อย
เมื่อลงมาจากรถม้า ชุนเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นมาว่า
“ระยะทางที่เหลือเป็นทางเท้า ทุกคนตามเสี่ยวกูกู่มาได้เลย”
ชุนเอ๋อร์ตบหน้าอกตนเองเบา ๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินนำชายหนุ่มทั้งสี่ ตามที่ชุนเอ๋อร์รับรู้ การมีอยู่ของหมู่บ้านสาวสองพันปีไม่ได้เป็นความลับ แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก
สถานที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา ที่นี่มีทั้งทุ่งนา น้ำตก สมุนไพรนานาชนิด อุดมสมบูรณ์มากจนไม่ต้องออกไปจากหมู่บ้านเลยก็สามารถมีกินมีใช้ได้ตลอดทั้งชีวิต
วัน ๆ หนึ่งไม่ต้องใช้เงิน ใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนกัน เรือนนั้นมีผัก เรือนนั้นมีเนื้อ เรือนนั้นมีสมุนไพร เรือนนั้นมีผ้า อยากได้สิ่งใดก็เอาของตนเองไปแลกมา
ส่วนข้าวจะมีทุ่งนาไว้เป็นของส่วนรวม ทุกคนต้องช่วยกันทำนา เมื่อได้ข้าวมาแล้วจะเก็บข้าวไว้ที่ยุ้งฉางของหมู่บ้าน เมื่อข้าวหมดแล้วสามารถไปขอได้อีกเรื่อย ๆ
“ทุกคนอัธยาศัยดีมากเลยนะเด็ก ๆ ไม่ต้องเกร็งที่เป็นประชากรส่วนน้อยนะ”
ชุนเอ๋อร์เดินไป หันมาพูดกับสี่หนุ่มเป็นช่วง ๆ เพราะแบบนี้นางจึงเกือบสะดุดล้ม หลันเฟิงจึงคอยเดินระวังหลังให้
“ท่านแม่ระวังลื่นขอรับ”
“เฟิงเอ๋อร์วางใจ แม่ชินกับดินแถวนี้แล้ว อุ๊ย!” ยังไม่ทันขาดคำ ชุนเอ๋อร์ก็ลื่นดินต่อหน้าทุกคนแล้ว
“ท่านแม่ยังไม่ชินกับดินขอรับ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปจับแขนมารดาเผื่อนางเกิดลื่นอีกครั้ง
ชุนเอ๋อร์ยิ้มแห้งแล้วก้าวเดินต่อไป พอเดินไปลึกขึ้นก็เริ่มเห็นคนเดินสวนทางไปมา
ระหว่างทางชุนเอ๋อร์ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร สตรีเหล่านั้นก็ยิ้มและพูดคุยกับนางด้วยความเป็นมิตรกลับมาไม่แพ้กัน
“แม่นางชุนเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ครั้งนี้เฟิงเอ๋อร์กับสหายก็มาด้วย”
สตรีที่ถามชุนเอ๋อร์มองสำรวจผู้มาใหม่ทุกคน จากนั้นก็ยิ้มให้พวกเขาบาง ๆ
“หมู่บ้านสาวสองพันปียินดีต้อนรับ” เอ่ยเพียงเท่านี้ก็รีบเดินจากไป ไม่สนใจเสวนากับใครต่อ
จางจงกว่านเริ่มรู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้แปลก ๆ จึงได้ชะลอฝ่าเท้าลงจนเดินรั้งท้ายตีคู่กับโจวฉือเหอ
ดวงตาซุกซนกวาดมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครอื่นแล้วจึงได้ยกมือป้องปากกระซิบข้างหูสหาย
“เจ้าว่าหมู่บ้านแห่งนี้แปลกหรือไม่…ไม่สิ! เอาเป็นว่าสตรีที่เดินผ่านพวกเราไปก็แล้วกัน เจ้าสังเกตหรือไม่ พวกนางมองเสี่ยวกูกุด้วยความเป็นมิตร แต่พอมองพวกเรากลับยิ้มให้บาง ๆ แววตาเย็นชากว่าจี้เฉินเสียอีก”
โจวฉือเหอเงียบไป เขาเองก็รู้สึกว่าที่นี่แปลก ๆ
“เหล่าต้าเคยเล่าว่าสตรีที่นี่ล้วนเป็นสตรีที่ถูกบุรุษทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ คงไม่แปลกกระมัง หากพวกนางจะไม่ต้อนรับบุรุษ”
“แต่เหล่าต้าก็เป็นบุรุษที่เติบโตมาที่หมู่บ้านแห่งนี้นะ ข้าเห็นชัดเจนว่าพวกนางก็มองเหล่าต้าด้วยสายตาเช่นเดียวกับที่มองพวกเรา”
โจวฉือเหอไม่แสดงความคิดเห็นต่อ จางจงกว่านจึงเงียบไป
พวกเขาเดินตามชุนเอ๋อร์ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเดินมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่ล้อมไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่สูง มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ พอเดินเข้ามาในตัวเรือนก็จะเห็นผักนานาชนิดถูกปลูกเอาไว้ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด
“ถึงแล้ว ยินดีต้อนรับเด็ก ๆ ทั้งหลายเข้าสู่เรือน…เอ่อ ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรือน”
จางจงกว่านเปลี่ยนอารมณ์ในทันที ตอนแรกยังมีความกังวลอยู่บ้างแต่ถูกท่าทางเปิ่น ๆ ของชุนเอ๋อร์ทำลายสิ้น เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวเสี่ยวกวานช่วยคิดขอรับ”
“อ้อ รบกวนแล้ว”
เพราะรู้สึกอายหน่อย ๆ ชุนเอ๋อร์จึงคิดปลีกตัวเข้าไปในเรือนเพื่อต้มน้ำชงชาให้ทุกคน ทว่าได้โดนคำพูดของบุตรชายรั้งเอาไว้
“ท่านแม่ ไหนขอรับ ลูก ๆ ของท่านแม่”
ตั้งแต่เดินเข้ามา หลันเฟิงยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องไห้ของเด็กเขาจึงคิดว่ามารดานำไปฝากคนอื่นเลี้ยง
“เฟิ่งเอ๋อร์ร้อนใจถึงเพียงนี้ ตามแม่มา! แล้วเจ้าจะภูมิใจในตัวน้อง ๆ เหมือนที่แม่ภูมิใจ”
ว่าแล้วก็หันหลังหมุนตัวเดินจากไป นางจึงไม่ได้เห็นสายตามาดร้ายกับกำปั้นที่กำเข้าหากันแน่นของหลันเฟิง
ชุนเอ๋อร์พาทุกคนเดินออกห่างจากตัวเรือนมานิดหนึ่ง เรือนแห่งนี้ถูกคั่นไว้ด้วยแปลงผักและดอกเหมยกุ้ยฮวานานาสี
ถัดจากเรือนเป็นทุ่งนาขจี ภูเขาเขียวชอุ่ม ทุกอย่างในบริเวณนี้งดงามมากจนสามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้โดยไม่รู้ตัว
“น้อง ๆ ของเฟิงเอ๋อร์อยู่ในเรือนนี้ เปิดประตูเข้าไปดูสิ”
ชุนเอ๋อร์ยกมือทาบอกไว้ ตื่นเต้นมากเมื่อบุตรชายจะได้เห็นลูก ๆ ของนาง อารมณ์สวนทางกับหลันเฟิงที่ใบหน้ามืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ
เรือนนี้เป็นเรือนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เสียงที่ลอดออกมาฟังดูก็รู้ว่าเป็นไก่จนหลันเฟิงเริ่มตะหงิดใจ
“เปิดสิลูก”
ชุนเอ๋อร์ลุ้นจนตื่นเต้นไปหมดแล้ว บุตรชายก็ไม่เปิดประตูเข้าไปสักทีจึงได้กล่าวเร่งเร้าอีกรอบ หลันเฟิงจึงได้ผลักประตูสุดแรง
“กระต๊าก!”
เสียงไก่มากมายขันพร้อมกัน ด้านในไร้สิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ หลังจากกวาดตามองโดยรอบอย่างละเอียดแล้วหลันเฟิงถึงกับนิ่งไป
นิ่งจนชุนเอ๋อร์เป็นคนทำลายความเงียบด้วยการปรบมือ
แปะ แปะ แปะ!
ที่จริงชุนเอ๋อร์รอได้รับคำชมจากบุตรชาย แต่เมื่อเห็นเขายังนิ่งนางจึงได้ปรบมือให้ตัวเองที่สามารถขยายพันธุ์ไก่ได้มากมายเพียงนี้
“เป็นอย่างไรบ้างเฟิงเอ๋อร์ น้อง ๆ น่ารักหรือไม่ ปกติแล้วแม่จะให้น้อง ๆ อยู่เล้าไก่ธรรมดา แต่เพราะเมื่อวานเข้าไปในเมืองกับลุงเฉียน แม่เลยต้อนน้อง ๆ เข้ามาไว้ในเรือนนี้ก่อน กลัวน้อง ๆ จะไปเล่นซนที่อื่นแล้วไม่ยอมกลับเรือน”
หลันเฟิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วปิดประตูไว้เช่นเดิม จากนั้นก็เดินอย่างเหม่อลอยออกไปจากตรงนี้
ลูก ๆ ที่ว่าก็คือไก่สินะ
ที่บอกว่าร้องไห้งอแงไม่มีอะไรกินก็เพราะว่าหิวโหยจนต้องขัน สินะ...ท่านแม่!!
๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง