๗
เด็กขี้อิจฉา
นานทีเดียวกว่าหลันเฟิงจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้ โจวฉือเหอเห็นเขานั่งนิ่งเงียบมาสักพักแล้วจึงได้เดินเข้ามาสนทนาด้วย
“เหล่าต้าอย่ารู้สึกแย่ไปเลย ข้าเองก็คิดไม่ต่างจากท่าน”
หลันเฟิงเงยหน้ามองโจวฉือเหอ เมื่อหันไปมองเกาจี้เฉินแล้วเขาพยักหน้าให้จึงทราบว่าไม่ใช่ตนเท่านั้นที่หลงคิดว่าลูก ๆ ของชุนเอ๋อร์มีความหมายตามตัว
“เมื่อครู่ข้าไปนับไก่ของเสี่ยวกูกุมา ขนาดเอาไปแจกเพื่อนบ้านแล้วยังมีตั้งสามสิบตัว ไม่ธรรมดาเลยสตรีคนนี้”
จางจงกว่านเดินเข้ามานั่งในเรือนร่วมกับสหาย เทชาลงถ้วยดื่มดับกระหาย ทว่าในตอนที่กำลังเป่าชาไล่ความร้อนกลับสัมผัสได้ว่าถูกสายตาสามคู่จับจ้อง เขาจึงวางถ้วยชาลงโต๊ะแล้วเอ่ย
“ทำไมหรือ”
มองขนาดนี้ใครจะดื่มลง
“จงกว่าน ตอนแรกเจ้าคิดว่าลูกของเสี่ยวกูกุคืออะไร” โจวฉือเหอเป็นฝ่ายถามแทนใจทุกคน
“อ้อ ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นน้องหมาน้องแมว แต่ใครจะไปคิดว่าเสี่ยวกูกุหมายถึงไก่”
เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้นเพราะติดหัวเราะ
“คิดไปแล้วก็แปลกดีเหมือนกัน เมื่อก่อนคนในพรรคบอกว่าข้าบ้าหรือเปล่าที่เรียกหมาแมวว่าน้อง มาตอนนี้ข้าว่าตัวเองไม่ได้ประหลาดคนแล้วนะ เพราะขนาดเสี่ยวกูกุยังเรียกไก่ว่าลูกเลย”
จางจงกว่านหัวเราะร่วน จนกระทั่งสังเกตเห็นสายตาของทุกคนจึงหยุดหัวเราะ
“เหตุใดมองหน้าข้าเช่นนั้น”
ที่เขาขนลุกที่สุดคือสายตาของหลันเฟิง ในใจคิด...นี่ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ
“เฮ้อ~เอาเถอะ! แล้วท่านแม่ล่ะ”
เป็นเขาเข้าใจผิดไปเอง หลันเฟิงจึงไม่อยากเอาโทสะไปลงที่คนอื่น ถามถึงมารดาตนแทนเรื่อง ลูก ๆ น้อง ๆ
“กำลังให้อาหารไก่อยู่ขอรับ”
“อ้อ”
หลันเฟิงรับคำสั้น ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกลับไปโรงเรือนที่ใช้ขังไก่ พอไปถึงก็ได้ยินเสียงมารดาร้องว่า...
“กุ๊ก ๆ ว่าไงจ๊ะ กุ๊ก ๆ”
“ท่านแม่”
หลันเฟิงเรียกมารดาเสียงเบา ใบหน้าผุดรอยยิ้มเมื่อได้ยินมารดาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ล่าสุดที่เขาได้ยินนางใช้เสียงลักษณะนี้ก็ตอนที่เขาอายุ 10 หนาว
“ท่านแม่”
ชุนเอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเรียกเพราะเสียงไก่กว่ายี่สิบตัวดังกลบ หลันเฟิงจึงเพิ่มระดับเสียง คราวนี้ทำร่างบางสะดุ้งตกใจ มือข้างที่ว่างยกขึ้นทาบหน้าอก
“เฟิงเอ๋อร์ แม่ตกใจหมดเลย น้องก็ตกใจด้วย ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ชุนเอ๋อร์เอ่ยเสียงหวานเชื่อมแล้วย่อกายลงไปรับลูกเจี๊ยบเข้าสู่อุ้งมือ
หลันเฟิงตัดพ้อเมื่อเห็นมารดาโอ๋ไก่ไม่โอ๋เขา กอปรกับเหตุการณ์เมื่อครู่จึงได้พรั่งพรูความในใจ
“ก็ใช่สิ! เฟิงเอ๋อร์ตัวโตมากแล้ว ท่านแม่ก็เลยไม่เอ็นดูเฟิงเอ๋อร์แบบเมื่อก่อน”
ชุนเอ๋อร์ชะงักเมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวเช่นนั้น นางค่อย ๆ ช้อนตามองหลันเฟิงจึงเห็นว่าเขาก็ตกใจในสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมาเช่นกัน
“เฟิงเอ๋อร์น้อยใจแม่หรือ”
“เอ่อ ท่านแม่ คือว่า…”
ชุนเอ๋อร์วางลูกเจี๊ยบลงที่เดิม จากนั้นก็เดินไปสวมกอดหลันเฟิงหลวม ๆ หากเป็นเมื่อก่อนเวลาที่นางกอดเขา นางจะชอบลูบศีรษะเขาเล่นทุกครั้ง แต่ยามนี้เขาตัวโตกว่านางมาก มือบางจึงได้ลูบที่แผ่นหลังของเขาขึ้นลงแทน
“ไม่ต้องน้อยใจไปหรอก เด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือตัวแทนของลูกทั้งนั้น เมื่อก่อนแม่อยู่คนเดียวไม่มีใครให้พูดด้วย เพื่อนที่ดีที่สุดของแม่รองจากท่านลุงเฉียนก็คือพวกเขานะ”
คำพูดไม่กี่ประโยคทำหลันเฟิงเปลี่ยนอารมณ์ น้ำเสียงที่แฝงความเศร้าหมองของนางทำให้ใจแกร่งคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเคล้น
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์ขอโทษขอรับ เฟิง…”
“ขอโทษแม่ทำไม”
ชุนเอ๋อร์ผละออกจากเขา สบตาบุตรชายอยากให้เขาได้เห็นสายตาแห่งความรัก
“ไม่มีอันใดให้ต้องขอโทษ หากย้อนเวลากลับไปได้แม่ก็ยังเลือกเส้นทางเดิม เพราะฉะนั้นอย่าได้โทษตัวเอง”
“ท่านแม่...”
หลันเฟิงเรียกมารดาเสียงอ่อน ชุนเอ๋อร์จึงสำทับอีกประโยค
“ลูกต้องทำงานคุ้มกันภัยมิใช่หรือ เมื่อมันสามารถเป็นอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของลูกได้ แม่ก็ดีใจแล้ว”
กล่าวให้เขาดีใจได้ก็คือท่านแม่ กล่าวให้เขาเสียใจได้ก็คือท่านแม่ ในยุทธภพนี้ไม่มีใครสามารถทำกับเขาแบบนี้ได้อีกแล้ว
“แดดตอนบ่ายเริ่มแรงขึ้นแล้ว เราเข้าเรือนกันเถิดขอรับ”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับ หลันเฟิงยื่นมือมาจับมือมารดาพานางเดินเข้าไปในเรือน ภาพแรกที่ดึงสายตาของชุนเอ๋อร์คือภาพของจางจงกว่านที่กำลังกัดผิงกั๋ว[1]ลูกใหญ่เข้าปาก
“เอี่ยวอูอุอาแอ้ว” (เสี่ยวกูกุมาแล้ว)
จางจงกว่านกล่าวเรียกชุนเอ๋อร์ทั้ง ๆ ที่ในปากยังมีเนื้อผิงกั๋วอยู่ จังหวะที่เขาพูดมีน้ำลายผสมน้ำผิงกั๋วกระเด็นออกมาจากปากด้วย เกาจี้เฉินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ รีบลุกขึ้นหลบแทบไม่ทัน
“เสี่ยวกว่าน กลืนก่อนก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
ชุนเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมของเกาจี้เฉิน
“เป็นเสี่ยวกูกุที่ไม่นึกรังเกียจเสี่ยวกว่าน”
ชุนเอ๋อร์ยิ้ม “เสี่ยวกูกุจะรังเกียจได้อย่างไร” จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาอย่างเอ็นดู ถ้านางยังมีสามีอยู่ นางก็อยากมีบุตรที่หน้าตาน่ารักแบบนี้อีกสักคนหนึ่งเหมือนกัน
“ท่านแม่!”
หลันเฟิงเรียกชุนเอ๋อร์เสียงดังจนนางสะดุ้งตัวโยน จางจงกว่านเองก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่ได้ตกใจเสียงหลันเฟิง แต่เขาตกใจสายตาที่มองมายังเขามากกว่า
“เฟิงเอ๋อร์ เรียกกันเบา ๆ ก็ได้ อยู่ห่างกันแค่นี้เอง”
หลันเฟิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนลมหายใจออกมา
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์มีอะไรจะคุยด้วยขอรับ”
กล่าวจบก็ไม่รอให้ชุนเอ๋อร์ตอบรับหรือปฏิเสธ เดินนำชุนเอ๋อร์ออกไปจากเรือนแล้ว
“ปกติเฟิงเอ๋อร์อารมณ์แปรปรวนแบบนี้ตลอดเลยหรือ”
ชุนเอ๋อร์ถามเหล่าสหายของบุตรชายอย่างข้องใจ ในความคิดของนาง เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ไม่เว้นแม้แต่หลันเฟิง
“ปกติเหล่าต้าไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรอกขอรับ แต่ช่วงนี้นับว่าแปรปรวนจริง ๆ” จางจงกว่านเป็นคนตอบคำถามแทนทุกคน
“งั้นหรือ” ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับจากนั้นก็เดินตามบุตรชายออกไป
จางจงกว่านเดินออกไปมองสองแม่ลูก เห็นแผ่นหลังของหลันเฟิงเดินเร็วไปกลางทุ่งนา ไม่ไกลกันนั้นมีชุนเอ๋อร์เดินตามออกไปติด ๆ
จางจงกว่านส่ายหน้าให้พวกเขาแล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
“ที่แท้ท่านประมุขก็เป็นเด็กขี้อิจฉา เห็นเสี่ยวกูกุเอ็นดูข้ามากกว่าก็เลยอารมณ์เสียใส่กัน พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
-_- โจวฉือเหอ
-_- เกาจี้เฉิน
[1] ผิงกั๋ว หมายถึง แอปเปิ้ล
๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง