ทุกคนนั่งล้อมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ ทั้งสามนั่งติดกันทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหมู่บ้าน ทางขวามือเป็นจางอี้เทาและซุนซูเย่กับสะใภ้ สำหรับภรรยาของซุนถงนั้นเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว เขาไม่คิดแต่งงานใหม่ให้มากความ สมาชิกทั้งหมดจึงมีเพียงเท่านี้
สำหรับอาหารวันนี้ก็เป็นดั่งที่จางอี้เทาแนะนำ โชคดีที่บ้านซุนมีฐานะดีกว่าจึงมีข้าวกิน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้าวคุณภาพดีเท่าบ้านจางในเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าธัญพืชหยาบเป็นไหน ๆ มื้อแรกของจางอี้หมิงในวันนี้จึงมีน้ำแกงเนื้อหนึ่งอย่างไว้กินกับข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับชาวบ้านธรรมดา
“ท่านแม่ น้ำแกงเนื้อวันนี้อร่อยมากเลยขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตักข้าวกินไปคำแรก เด็กน้อยรีบตักคำต่อ ๆ ไปเข้าปากตามไปติด ๆ
“แม่ก็ทำเหมือนเช่นทุกวันนะเย่เอ๋อร์ แต่วันนี้แม่เติมน้ำตาลผักที่ท่านอาอี้เทาเอามาฝาก” เจียวเม่ยหันไปตอบบุตรชาย
“ข้าชอบมากขอรับ ท่านแม่ทำให้ข้ากินทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหมิงเย่เอ่ยบอกมารดาทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยข้าว
“เย่เอ๋อร์ มันอร่อยมากเช่นนั้นหรือ” ซุนถงเอ่ยถามหลานชายด้วยความสนใจ ปกติแล้วหมิงเย่ไม่ค่อยกินข้าว ตัวถึงเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
“ขอรับท่านปู่ มันอร่อยกว่าทุกวันเลย ข้าชอบมากขอรับ”
“ดี ๆ ถ้าอร่อยเย่เอ๋อร์ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ และอ้วนขึ้นอีกนิด ปู่ปวดใจเหลือเกินที่หลานผอมแห้งเช่นนี้” ซุนถงถึงกับตบมือลงไปบนเข่าตนเองฉาดใหญ่อย่างถูกใจที่หลานชายของตนกินอาหารได้ เพราะครอบครัวซุนเป็นกังวลเรื่องที่หมิงเย่นั้นร่างกายเล็กเกินไปมานานแล้ว ถ้าเด็กชายเริ่มเจริญอาหาร เขาจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงและเติบโตได้ตามปกติ
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ แม่มีให้เย่เอ๋อร์กินอีกมาก” เจียวเม่ย มองดูลูกชายที่กินเอากินเอาแล้วก็ยิ้มเต็มใบหน้า
“ท่านพ่อ ลองดูขอรับ เย่เอ๋อร์บอกว่าอร่อย มันคงอร่อยจริง ๆ” ซุนซูเย่หันไปเอ่ยกับบิดาของตน
ซุนถงตักน้ำแกงพร้อมข้าวเข้าปาก เขาพินิจดูไปมาอย่างใคร่สงสัยว่าน้ำแกงธรรมดาจะอร่อยขึ้นมาได้อย่างไร แต่คิดไปก็ไม่อาจรู้ ดังนั้นเขาจึงอ้าปากกว้างกินเข้าไปเสียคำโต
“อืม น้ำแกงเนื้อถ้วยนี้อร่อยขึ้นจริง ๆ ด้วย มีความหวานเพิ่มขึ้นมา เมื่อนำมาตัดกับรสเผ็ดร้อนของเครื่องเทศทำให้ข้าชอบมันไม่น้อยเชียวล่ะ” ซุนถงถึงกับเอ่ยปากชมก่อนจะหันไปชวนซุนซูเย่ชิมอาหารตรงหน้า
“อาเย่ ลองกินดู”
“ท่านปู่ถง มันอร่อยเพราะว่าบ้านท่านปู่มีเกลือขอรับ แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีเกลือ แค่น้ำตาลผักนี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยอธิบายให้หัวหน้าหมู่บ้านฟัง เกลือหนึ่งจิน ราคาตั้งหกสิบห้าอีแปะ เกือบจะเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ที่สองร้อยอีแปะต่อวันแล้ว ชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่กินแน่
“ท่านลุงถงว่า ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ชาวบ้านจะชอบหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาลองเอ่ยถามหัวหน้าหมู่บ้านด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจมากนัก
“ทำออกมาขายเช่นนั้นหรือ เป็นความคิดที่ดีนะอาเทา เพราะอย่างที่รู้ น้ำตาลราคาแพงมาก ชาวบ้านยากจนเกินกว่าจะซื้อน้ำตาลมากิน แต่ว่าราคาน้ำตาลผักนี้จะมีราคาแพงหรือไม่”
“ไม่แพงขอรับ ข้าคิดว่าจะทำออกมาแจกให้ชาวบ้านในหมู่บ้านเราทดลองกินดูก่อน ถ้าผลตอบรับดี พวกข้าจะลองทำเอาไปขายในเมืองดูขอรับ”
“มันทำมาจากอะไร ทำยากหรือไม่” ซุนซูเย่ถามแทรกขึ้นมาด้วยความอยากรู้
“อาเย่ อย่าเสียมารยาท” ซุนถงตำหนิเบา ๆ “อาเทา ข้าขอโทษแทนลูกชายข้าด้วย อาเย่คงลืมไปว่าสูตรต่าง ๆ ของแต่ละบ้านมักเป็นความลับ”
“ไม่เป็นไรขอรับท่านลุงถง ครอบครัวของท่านลุงช่วยครอบครัวข้าไว้มากมาย เพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย เพียงแต่ว่ามันยังไม่ลงตัว รอให้มันลงตัวแล้ว ข้าจะตอบแทนบ้านซุนแน่นอนขอรับ”
“อาเทา อย่าคิดมาก พวกเราชาวบ้านอยู่ด้วยกันอย่างสงบ มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เห็นคนตกทุกข์ได้ยากมา ไม่ช่วยก็ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว”
“ท่านพ่อขอรับ พวกเรากลับไปทำน้ำตาลผักอีกเยอะ ๆ วันพรุ่งนี้ที่ท่านปู่ถงเรียกชาวบ้านมาสอบถามถึงการแลกเปลี่ยนแรงงานกับการสอนหนังสือ ก็ให้ท่านปู่ถงมอบน้ำตาลผักให้กับชาวบ้านไปลองชิมดูด้วยเลยสิขอรับ อีกสามวันเมื่อพวกเรามาฟังคำตอบ เราจะได้คำตอบทั้งสองเรื่องพร้อมกัน” จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าได้จังหวะจึงรีบแสดงความเห็น
“หมิงหมิงน้อยช่างฉลาดเสียจริง ทำเช่นนั้นก็ดียิ่ง” ซุนถงเอ่ยชม
“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงยิ้มรับหน้าบาน
เมื่อบรรลุความต้องการแล้ว จางอี้เทากับบุตรชายก็อยู่คุยกับบ้านซุนอีกไม่นานพวกเขาจึงขอตัวกลับ เพราะต้องขึ้นภูเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักเพื่อส่งมอบให้ชาวบ้านในวันพรุ่งนี้อีกจำนวนมาก
เริ่มแล้วสินะ หนทางแห่งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
จางอี้หมิงยืนมองขบวนเดินทางของท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องน้อยอีกสองคนจนขบวนหายลับไปจากสายตา เมื่อหลี่อ้ายแข็งแรงพอจะออกเดินทางแล้ว ครอบครัวจางจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านหลัวถงพร้อมกับป้ายวิญญาณของอดีตท่านผู้นำตระกูล เด็กน้อยถอนหายใจและหันหลังเดินกลับเข้าจวนไปด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ด้วยนี้เป็นครั้งแรกที่เขาต้องแยกจากบิดา มารดาและท่านย่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างของจางอี้หมิงคนนี้ เขามีโอกาสได้มีความสุขกับน้องชายน้องสาวเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่มิเป็นไรหรอกเมื่อเขาหมดภาระต้องตอบแทนบุญคุณแล้วจะกลับมายังแคง้นฉินก็ยังมิสายเกินไปความตั้งมั่นต่อสิ่งที่จะทำตั้งแต่ฟื้นคืนมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ภารกิจเหล่านั้นเขาทำมันได้สำเร็จทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็นการนำป้ายวิญญาณท่านปู่กลับไปที่หมู่บ้านหลัวถง การแก้แค้นตระกูลหลัก การมีอาชีพและฐานะที่ดีขึ้น การแบ่งปันความสุขและความสำเร็จต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เสร็จสิ้นไปทั้งหมดแล้ว ในแคว้นฉินนี้ เขามิมีสิ่งใดให้เป็นห่วงอีกต่อไป“น้องชายหมิง พวกเราออกเดินทางกันเถอะ สายมากแล้ว”เป็นอ๋องน้อยหนิงเทียนที่เดินเข้ามาวางมือลงไปบนบ่าเล็ก ๆ นั้นอย่างอ่อนโยน พร้
แต่สิ่งที่มิคาดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่จางอี้หมิงตะโกนเข้าไปรอบสอง หลี่อ้ายก็กรีดเสียงร้องดังออกมาถึงนอกห้อง ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมองทางประตูห้องคลอดอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย“อุแว้ อุแว้”เสียงเด็กร้องแผดขึ้นทันทีที่จางอี้หมิงเอ่ยจบ ราวกับว่าเด็กน้อยรีบลืมตามาดูโลกตามคำบอกของพี่ใหญ่หรือเพราะเกรงกลัวคำขู่ก็หารู้ไม่“คลอดแล้ว ท่านแม่ น้องหญิงคลอดแล้ว” จางอี้เทาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเดินไปชะเง้ออยู่หน้าประตูอีกครั้ง“อุแว้ อุแว้”“เอ๋! เสียงร้องมาจากไหนอีก” นางหูเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“หรือว่า มีเด็กสองคน”นั่นเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบ พวกเขารอจนกระทั้งผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หมอตำแยสองคนก็อุ้มห่อผ้าออกมาจากห้องคลอดจางอี้เทาเป็นคนแรกที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหมอตำแยอุ้มห่อผ้าเดินออกมาจากห้องคลอด จางอี้หมิงจึงเดินไปชะเง้อชะแง้มองห่อผ้าทันที“นายท่านจาง คุณชายน้อย เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ”หมอตำแยส่งห่อผ้าขาวสะอาดให้กับนายท่านจาง ผู้ที่เป็นบิดาของเด็กน้อยได้อุ้ม เขาน้ำตาไหลออกมาทันทีที่หมอตำแยยื่นห่อผ้าที่ข้างในนั่นมีบุตรชายของเขา ผู้เป็นบิดาโอบอุ้มเอาห่อผ้ามาถืออย่างทะนุถนอม บุต
ศพของฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน ถูกนำไปทิ้งที่ป่าท้ายเมือง หาได้มีการทำพิธีอันใดไม่ จางอี้หมิงมิได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ เพราะถ้ามิใช่ความเห็นแก่ตัวอยากทำร้ายครอบครัวของตนเองก่อน คงไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาจางอี้หมิงได้พบท่านตากับท่านยายแล้วเช่นกัน โดยหลี่อ้ายถือเอาวันพักผ่อนในสัปดาห์หนึ่งของทุกคนกลับไปเยี่ยมบิดามารดาของตนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เมื่อพ่อแม่ลูกได้กลับมาเจอกันก็เกิดภาพอันน่าประทับใจอย่างเหลือล้นหลี่อ้ายสวมกอดบิดามารดาด้วยความรักและคิดถึง ในขณะที่ท่านตาและท่านยายของอี้หมิงก็โอบบุตรสาวไว้อ้อมแขนอย่างห่วงหา ท่านทั้งสองแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนที่รู้ว่าหลี่อ้ายถูกขับไล่ให้ไปอยู่ชายแดนพร้อมสามีและลูกของนาง“นั่นใช่จางอี้หมิง หลานรักของยายใช่หรือไม่ เจ้าตัวโตขึ้นขนาดนี้แล้วหรือ” หญิงชราหันมามองเด็กชายที่หลบอยู่หลังหลี่อ้าย ซึ่งจางอี้หมิงก็พยักหน้ารับน้อยๆ“ขะ ข้าจางอี้หมิงขอรับ” เขาตอบกลับไปด้วยท่าทีเงอะงะโธ่...ก็คนไม่เคยมีตายายนี่นา จะทำตัวไม่ถูกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาในวันนั้นจางอี้หมิงถูกสวมกอดอยู่หลายหน เขาได้รับเสื้อผ้ามากมายจากท่านตาผู้เป็นคหบดีค้าผ้าในคราแรกก็คิ
เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวจางผ่านพ้นไป ตอนนี้จางอี้หมิงหายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้ง ท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนปักหลักอยู่ที่เรือนตระกูลจางเพื่อติดตามน้องชายที่เที่ยวไปตามตรอก ซอกซอยของเมืองหลวง โดยบอกท่านแม่ทัพซึ่งติดตามมาด้วยว่าเป็นการเรียนรู้เส้นทางการค้าตามที่หนิงอ๋องกำชับมาทว่าความจริงแล้วก็คือการเล่นซนตามประสาเด็ก เนื่องจากชีวิตในแคว้นเหลียงของอ๋องน้อยหนิงเทียนต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบเอาไว้มากมาย ทั้งการเล่าเรียนอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านบุ๋นและบู๋ เมื่อได้เดินทางห่างไกลบ้านและห่างไกลสายตาของพระบิดา จึงถือโอกาสปลดปล่อยความเก็บกดบ้างนั่นเองทางด้านจางอี้เทาก็ตามติดภรรยาอย่างมิเคยให้คลาดสายตา จนหลี่อ้ายถึงกับรำคาญและคาดโทษว่าหากมิปล่อยให้นางได้มีเวลาอิสระและชีวิตส่วนตัวบ้าง นางจะให้สามีนอนนอกห้อง จางอี้เทาจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดของตนเองลง“ท่านพี่ ข้าแค่ตั้งครรภ์นะเจ้าคะ ข้ามิได้ป่วย ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ท่านหมอก็แนะนำให้เดินและทำงานบ้าง จะช่วยให้คลอดง่าย” หลี่อ้ายโอดครวญไม่หยุด เมื่อจางอี้เทายังคงตามติดนางอย่างกับเงาตามตัว เขาไม่ไ
อีกด้านหนึ่งของจวน จางอี้หมิงที่ปลอดภัยจากพิษร้ายแล้วกำลังหวนคิดถึงความฝัน อาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดบริเวณท้องที่ร่างกายเล็ก ๆ นี้ทนไม่ไหว หรือเป็นเพราะยาระงับความเจ็บปวดที่อาลิ่วให้เขากินก็สุดจะรู้ สติสัมปชัญญะของเขาจึงดับวูบไปและได้ลอยละล่องกลับไปยังโลกใบเดิมที่เคยจากมาในฝันนั้น...เขารับรู้ได้ว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาเห็นแม่ครูกำลังถูกประคองด้วยรวิสา หญิงสาวที่เติบโตมาด้วยกันและยังเป็นรักแรกของเขา ทั้งสองคนเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอานนท์เห็นร่างของตนเองนอนอยู่บนเตียงคล้ายคนที่กำลังนอนหลับเท่านั้น ร่างของเขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแม่ครูเข้าไปถึงในห้องพักแล้ว พยาบาลที่ดูแลอยู่จึงหลบออกจากห้องเพื่อให้แขกที่มาเยี่ยมได้ใช้เวลาส่วนตัวกับคนไข้แม่ครูนั่งลงข้างเตียง ยกมืออันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบไปบนศีรษะของอานนท์อย่างรักใคร่ น้ำตาของหญิงชราเอ่อล้นออกมาจากดวงตา โดยมีรวิสาคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง“นนท์ เมื่อไหร่ลูกจะตื่นขึ้นมาเสียที อย่าทำให้แม่เป็นห่วงได้ไหม” แม่ครูเอ่ยกับร่างคนไข้บนเตียง ก็ไม่รู้ว่าคำบอกนั้นจะส่งไปถึงคนที่ฟังอยู่ได้หรือ
“ท่านแม่ทัพ นำยาชุบชีวิตติดตัวมาหรือไม่” อ๋องน้อยหนิงเทียนหันไปถามแม่ทัพที่ตนเองฝากตัวเป็นศิษย์ ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มกันตนเองตลอดการเดินทางมายังแคว้นฉิน“นำมาพ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพตอบ เขาเดินออกไปที่รถม้าไม่ถึงชั่วอึดใจก็กลับมาและยื่นยาชุบชีวิตให้กับท่านอ๋องหนิงเทียน“พวกเจ้ารีบนำยานี้ไปช่วยน้องชายข้าเร็วเข้า” อ๋องน้อยหนิงเทียนเอ่ยสั่งการพลางยื่นยาชุบชีวิตไปให้ อาลิ่วจึงเดินไปรับมา องครักษ์หนุ่มรีบนำยามาบดและป้อนให้กับคนป่วยบนเตียงยาเม็ดชุบชีวิตเป็นดั่งโอสถเทพ สมแล้วที่ใคร ๆ ต่างก็ไขว้คว้าอยากได้มาครอบครอง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงก็ลืมตาฟื้นขึ้นมา อาการปวดท้องหายไปเป็นปลิดทิ้ง การหายใจกลับมาสม่ำเสมอ ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มมีเลือดฝาด ริมฝีปากกลับมาเป็นสีแดงระเรื่อดังปกติถึงแม้ว่าจะมีอาการอิดโรยอยู่บ้าง แต่เมื่ออาลิ่วและอาปาเข้าไปตรวจดอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงกล่าวรายงานท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนด้วยความยินดี“อาการของท่านอ๋องน้อยอี้หมิงหายจากการถูกพิษแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักผ่อนและเสวยยาบำรุงอีกไม่กี่เทียบก็คงกลับมาแข็งแรงดั่งเดิมแล้ว” สิ้นคำของหน่วยองครักษ์เหลียงไป๋ จวนที่เคยเงียบเหง