หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่98 มังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์

แชร์

บทที่98 มังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 12:46:35

"ภายในม่านมิติเต็มไปด้วยศาสตราวุธ เคล็ดวิชาล้ำค่า โอสถระดับสูงหายาก เตาหลอมโอสถระดับวิญญาณและสิ่งของวิเศษอีกมากมายยากที่จะคาดเดาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะได้ครอบครองสิ่งใด ด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพียงหนึ่งชั่วยามในการเข้าไปในม่านมิติพิเศษนี้ หากมีโชควาสนามากเพียงพอ เขาย่อมได้รับการยอมรับจากเตาหลอมโอสถวิญญาณอย่างแน่นอน..."

"จะว่าไปข้าไม่คิดเลยว่าด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือน ศิษย์ผู้นี้ก็ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถระดับสามได้เสียเเล้ว ความก้าวหน้าเช่นนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าเจ้าโจวเซินศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่งนัก...." ซุนเกาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม

บรรดาลูกศิษย์ของเหวินหวู่เเต่ละคนล้วนมากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปและได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ให้แก่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งกับหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์คนล่าสุด ก่อนหน้าเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับจากนักปรุงโอสถฝึกหัดเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ภายในวันเดียวกันก็สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ กล่าวว่าครั้งนั้นชื่อเสียงของเด็กหนุ่มได้เป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่นักปรุงโอสถและสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถน้อยใหญ่ต่าง ๆ มากแล้ว

หากว่าอีกฝ่ายสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสามได้สำเร็จเเล้วละก็ ด้วยคุณสมบัติที่เด็กหนุ่มมีอยู่ย่อมส่งเสริมฐานะนักปรุงโอสถให้มั่นคงเป็นอย่างมาก เพราะทอดสายตาไปทั่วทั้งมหาทวีปบูรพาเเล้ว นักปรุงโอสถระดับสามที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้คงไม่ปรากฎในรอบหลายร้อยปีคงไม่เกินจริงไปนัก...

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายมากไปด้วยพรสวรรค์และความมุ่งมั่น หากเทียบกับนักปรุงโอสถในช่วงอายุเดียวกันเเล้ว กล่าวได้ว่าอยู่เหนือกว่าไปหลายขั้นเลยทีเดียว..." ไป๋เหลียนฮวาตอบกลับไปตามสิ่งที่ตนคิด ตลอดเส้นทางนักปรุงโอสถสิบกว่าปีที่ผ่านมานางยังไม่เคยพบเจอนักปรุงโอสถระดับสามที่อายุน้อยเช่นนี้

"ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขาเเล้วในวันหนึ่งย่อมสามารถปรุงโอสถในตำนานที่ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งเป็นผู้คิดค้นได้อย่างแน่นอน..." ซุนเกาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ประโยคในส่วนท้ายคล้ายคลึงกับว่าเป็นการพูดคุยกับตนเองเสียมากกว่า

"ข้าก็เชื่อว่าศิษย์น้องทำได้เช่นกันเจ้าค่ะ..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ก่อนที่หนึ่งสตรีหนึ่งชายชราจะยังคงพูดคุยถามไถ่ในความเป็นไปและการเตรียมตัวของศิษย์คนอื่น ๆ เนื่องจากว่าอีกเพียงไม่กี่เดือนศิษย์ในตำหนักศาสตร์จะต้องออกเดินทางตามกฎของตำหนักเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากนี้...

ม่านพลังอาณาเขตอันเกิดจากอักขระเวทย์ที่ถูกถักทอเป็นโครงข่ายของมหาค่ายกลขนาดใหญ่ที่ถูกกางป้องกันไว้ให้มวลพลังปราณลึกล้ำบริสุทธิ์เช่นนี้มิเล็ดลอดออกไปที่ใดได้ คล้ายกับว่ามีพลังปราณที่ล้ำลึกสายหนึ่งพัดผ่านกระตุ้น

เมื่อลืมตาขึ้นหนิงอ้ายก็เห็นว่าพื้นที่โดยรอบนี้ปราศจากไร้ซึ่งสรรพสิ่งอื่น อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันกลิ่นอายของปราณฟ้าดินที่มีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพลังลมปราณศักดิ์สิทธิ์จากอดีตกาลที่ยังคงไหลเวียนมาจนถึงปัจจุบัน

'พลังปราณฟ้าดินในม่านมิติแห่งนี้มีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก สมกับเป็นที่เก็บรักษาสิ่งของวิเศษระดับสูงเสียจริง...'

'คิดไม่ถึงว่านอกจากมหาค่ายกลด้านนอกเเล้ว ภายในนี้ยังเต็มไปด้วยมหาค่ายกลอีกมากมายนับร้อยนับพันที่ต่างสอดประสานกันอย่างสมดุลได้เช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับสูงก็ไม่อาจจะทะลวงเข้ามายังที่เเห่งนี้ได้โดยง่าย...'

สิ่งที่ได้รับรู้มาจากเนตรเเห่งสวรรค์ ได้ทำให้หนิงอ้ายพอที่จะรับรู้ข้อมูลได้บางส่วนเเต่เขาก็ไม่ได้เเปลกใจสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะมหาค่ายกลถูกเขียนด้วยอักขระเวทย์โบราณที่มีความซับซ้อนยิ่งอีกทั้งแต่ละมหาค่ายกลเหล่านี้ต่างถูกเสริมด้วยพลังลมปราณจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งรวมไปถึงอดีตเจ้าสำนักเป็นระยะเวลาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา

นอกจากนั้นแล้วหนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าของวิเศษระดับต่าง ๆ รวมไปถึงเตาหลอมโอสถวิญญาณที่เป็นจุดหมายหลักในการมายังที่เเห่งนี้ต่างอยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้ กล่าวได้ว่ามีมากมายเสียยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเสียด้วยซ้ำ เพียงเเต่ว่าทุกสิ่งอย่างเหล่านี้ไม่สามารถหยิบขึ้นมาเเบบสุ่ม ๆ ได้เนื่องจากต่างมีจิตวิญญาณ สติปัญญานึกคิดทั้งสิ้น

'แม้จะมากมายไปด้วยของวิเศษจนนับไม่ถ้วน เเต่กลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายสักเท่าไหร่นักที่จะได้มาครอบครอง...'

'กล่าวได้ว่าในพื้นที่เเห่งนี้ไม่สามารถวัดได้ด้วยสิ่งใดทั้งสิ้น วาสนาสวรรค์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดสิ่งที่เป็นไปทั้งสิ้นว่าท้ายที่สุดเเล้วผู้ที่เข้ามาจะได้ครอบครองสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้หรือไม่??'

ท้ายที่สุดแล้วเขาจะได้ครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณหรือไม่ หรืออาจจะได้ครอบครองสิ่งใดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตานำพาทั้งสิ้นอยู่เเล้ว หนิงอ้ายจึงทำตามคำแนะนำที่ได้รับมาก่อนหน้าจากผู้อาวุโสซุนและศิษย์พี่ไป๋ โดยที่เขาค่อย ๆ หลับตาลงพร้อมกับตั้งสมาธิให้มั่นคง

วิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของปราณสุริยะธาตุ อันแข็งแกร่งที่มากไปด้วยกลิ่นอายอหังการ ทอันเข้มข้นบริสุทธิ์ด้วยพลังแห่งสายเลือด รวมไปถึงญาณสัมผัสอันลึกล้ำเอกลักษณ์เฉพาะของนักปรุงโอสถระดับสองของหนิงอ้ายได้ถูกปลดปล่อยออกมาในทั่วบริเวณ ดวงตาคู่งามจากเดิมที่เป็นสีฟ้าดั่งอัญมณีอันล้ำค่า ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองสว่างที่ยิ่งส่งเสริมให้รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มในยามนี้คล้ายกับเทพเซียนในเรื่องเล่าคงไม่เกินจริงไปนัก

เนตรเเห่งสวรรค์ตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้น ยามที่เรียกใช้งาน เขาสามารถมองทะลุการปลอมเเปลงรวมไปถึงสามารถสร้างภาพมายาได้ อาจจะไม่สามารถใช้ได้กับผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณเหนือไปกว่าสองขั้นใหญ่ก็จริง เเต่เพียงเท่านี้ก็ถือได้ว่าสามารถช่วงชิงความได้เปรียบมาได้ไม่น้อยแล้วเช่นกัน

สิ่งที่ปรากฎขึ้นในยามที่หนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์ในม่านมิติ ทำให้เด็กหนุ่มได้รับรู้ว่าสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนถูกดูเเลอีกชั้นโดยค่ายกลป้องกันระดับสูง แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่าสิ่งตรงหน้าเป็นศาสตราวุธ เป็นโอสถ เป็นเคล็ดวิชาหรืออาจจะเป็นเตาหลอมโอสถวิญญาณหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรแล้วจุดสังเกตสำคัญนั่นคือกระเเสพลังงานลี้ลับในยุทธภพปริมาณมหาศาลที่อยู่โดยรอบไปของวิเศษเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ชี้วัดได้ว่าล้ำค่ามากเพียงใด

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปเเล้วเนิ่นนานเท่าไหร่ในความรู้สึกเเต่หนิงอ้ายไม่ได้เป็นกังวลใจสักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสซุนได้แจ้งให้เขาได้ทราบเเล้วว่าหลังจากเข้ามาในม่านมิติแห่งนี้เเล้ว ไม่ว่าเขาจะได้รับเลือกให้ครอบครองสิ่งใดหรือไม่หากครบกำหนดเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วม่านมิติเเห่งนี้ก็จะปิดตัวลง

ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่หนิงอ้ายยิ่งสังเกตได้ว่าตลอดสองทางเดินของเขานั้นจำนวนสิ่งของวิเศษต่าง ๆ ได้ลดลงไปเรื่อย ๆ ทางกลับกันเเสงสีทองที่เป็นกระเเสพลังงานเหล่านี้ยิ่งสุกใสส่องสว่างมากขึ้นหลายเท่า ให้ความรู้สึกเหมือนกับเขาได้เดินอยู่ท่ามกลางเเสงอาทิตย์ก็ไม่ต่างไปนัก แต่ก็ที่หนิงอ้ายจะสังเกตสิ่งใดไปมากกว่านี้ก็ได้มีเสียงบางอย่างดังก้องขึ้นไปทั่ว

'นานมาเเล้วที่ไม่มีผู้ใดก้าวล้ำมายังพื้นที่เเห่งนี้ได้ เจ้ามีนามว่าหวังหนิงอ้ายใช่หรือไม่??'เสียงของบุรุษชราปริศนาที่เต็มไปด้วยพลังอันเเข็งแกร่งได้กดทับหนิงอ้ายเสียจนหายใจไม่ออกเลยทีเดียว

อากาศโดยรอบมีลักษณะบิดเบี้ยวราวกับว่าได้ถูกบางสิ่งที่ทรงพลังกระทำอยู่จนเห็นได้ชัด หมอกควันสีขาวเงินที่ไม่ทราบที่มาได้ปรากฎขึ้นไปทั่งบริเวณนี้ กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตโบราณศักดิ์สิทธิ์ได้สาดคลื่นความกดดันนี้ไปทั่วจนทำให้หนิงอ้ายที่ลืมตาอยู่ถึงกับต้องหลับตาลงไป หนิงอ้ายลืมตาขึ้นก็ได้พบว่าบริเวณโดยรอบจากเดิมที่เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยของวิเศษนั้น ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นผืนป่าสว่างไสวไกลสุดลูกหูลูกตา

'ยินดีที่ได้พบเจ้าในนามของผู้ที่ถูกเลือก ผู้ที่อยู่เหนือชะตาฟ้าลิขิต...' เสียงของบุรุษชราปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง แม้ตรงหน้าจะยังไม่ปรากฎสิ่งใด เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายได้ยกมือประสานพร้อมกับโค้งตัวคำนับตามวิถีมารยาทของผู้ฝึกตนที่พึงกระทำ

'หนิงอ้ายขอคารวะผู้อาวุโสขอรับ...'

'เรียกข้าว่าผู้อาวุโสซีซวน...' สิ้นเสียงดังกล่าวจบลง ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายพลันปรากฎเป็นเงาร่างขนาดใหญ่คล้ายกับมังกรชนิดหนึ่งที่มีปีกคล้ายกับผีเสื้อที่มีลวดลายแปลกตา ก่อนที่เพียงชั่วครู่ตรงที่เดียวกันนั้นเงาร่างมหึมาจะหายไปก่อนปรากฎขึ้นเป็นชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง

"สัตว์วิญญาณมังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์!! เป็นข้าที่มารบกวนผู้อาวุโสหรือไม่ขอรับ??" เนตรเเห่งสวรรค์ได้ปรากฏข้อมูลหนึ่งให้หนิงอ้ายได้รับรู้จนแทบเสียสติ ก่อนที่จะรวบรวมสมาธิพร้อมกับถามไปด้วยความสงสัย

อย่างที่ทราบกันดีว่า สัตว์อสูรระดับสูงหาได้ยากยิ่งที่จะพบเจอได้โดยง่าย กระทั่งเจียวซิ่น สัตว์อสูรในพันธะของหนิงอ้ายนั้นจะเป็นถึงสัตว์อสูรตำนานที่ไม่ปรากฎขึ้นในมหาพิภพแห่งนี้นับร้อย นับพันปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ ตัวตนของสัตว์อสูรวิญญาณหรือสัตว์อสูรบรรพกาลให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากคำเปรียบเปรยที่ว่า รับรู้ว่ามีสิ่งนี้ดำรงอยู่แต่ไม่อาจพบเจอได้ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวดวงจิตก็ตาม

เนตรแห่งสวรรค์ทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้ว่าผู้อาวุโสที่ปรากฏตรงหน้านั้น เป็นถึงสัตว์อสูรวิญญาณระดับสูงเผ่าพันธ์มังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์ที่ครั้งหนึ่งเผ่าพันธ์นี้มีความยิ่งใหญ่ไปไม่ต่างไปจากเผ่าพันธ์มังกรเสียด้วยซ้ำ หากสามารถปลุกพลังทางสายเลือดได้สำเร็จ นับว่าไม่ใช่เรื่องยากที่สัตว์อสูรเผ่าพันธ์นี้จะเป็นถึงสัตว์อสูรบรรพกาลได้เลยทีเดียว

'ข้าเพียงเเต่สนใจเจ้าเพียงเท่านั้น เอาละ!! จงดูดซับเสี้ยวดวงจิตนี้ของข้าเสียเถอะ อย่างไรถือว่าเป็นโชคชะตาสวรรค์กำหนดเสียแล้วกัน...' ชายชรานามว่าซีซวนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าทางฝั่งของหนิงอ้ายที่ได้ยินกลับรู้สึกไม่ยินดีเท่าไหร่นัก

'เเต่ว่า...'

'เจ้าคงเป็นลูกหลานของตาเฒ่าหวังเว่ยใช่หรือไม่?' ผู้อาวุโสซีซวนเอ่ยถามกลับเด็กหนุ่มไป

'ข้าไม่รู้จักผู้อาวุโสนามว่าหวังเว่ยขอรับ ข้าถือได้ว่าลูกหลานของตระกูลหวังคนหนึ่งเช่นกัน ไม่แน่ใจว่าเป็นตระกูลหวังเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสซีซวนสอบถามมาหรือไม่นะขอรับ...' หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับครุ่นคิดแผนผังรายชื่อตระกูลหวัง ด้วยเพราะในบรรดารายชื่อของตระกูลหวังทั้งสายหลักและสายรอง ตามที่ท่านตาของตนได้ให้ข้อมูลมาก่อนหน้านั้นไร้ซึ่งนามหวังเว่ยปรากฎในการรับรู้

'เป็นเช่นนั้นหรอกรึ?? อย่างไรไม่ช้าความลับทางสายเลือดและต้นตระกูลของเจ้าย่อมได้รับการเปิดเผยในสักวัน ข้าเหลือเวลาไม่มากเเล้ว เจ้าจงดูดซับเศษเสี้ยวดวงจิตของข้าไปเสีย สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นผลดีแก่เจ้าได้อย่างมหาศาล...' ผู้อาวุโสซีซวนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันร่างเงาที่ปรากฎของอีกฝ่ายก็ได้เลือนลางเป็นอย่างมากคล้ายกับว่าใกล้หมดเวลาตามที่อีกฝ่ายได้บอกกับเด็กหนุ่มไป

'หากเป็นความต้องการของผู้อาวุโสแล้ว ข้าหนิงอ้ายยินดีกระทำตามขอรับ...' หนิงอ้ายตอบกลับไปอีกครั้งแม้ในใจจะรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย

ฉับพลันชายชราตรงหน้าได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือกระดูกวิญญาณที่เกิดจากเสี้ยวของดวงจิตของผู้อาวุโสซีซวนท่านี้ หากพิจารณาจากรัศมีแสงสีน้ำเงินเข้มประกายทองอันเป็นสีของกระดูกวิญญาณเเล้ว คงมีอายึไม่ต่ำกว่าแสนปีเป็นแน่ กลิ่นอายของความเเข็งแกร่งอันโดดเด่นของสายเลือดมังกรที่ปะทุออกมาอย่างแผ่วเบาที่เขาสัมผัสได้ช่างสมกับเป็นสายเลือดโบราณอย่างเเท้จริง

'เจ้าจงใช้เวลาที่เหลือในที่นี้ดูดซับกระดูกวิญญาณนี้เสีย และสิ่งนี้ถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าสามารถมอบให้แก่เจ้าได้..." กล่าวจบลง ตรงนิ้วชี้ของหนิงอ้ายปรากฎเป็นเเหวนหยกสีครามน้ำงามวงหนึ่งที่สลักด้วยลวดลายงดงามแปลกตายิ่ง

'สิ่งนี้มีนามว่าศาสตราอนันต์ลักษณ์ เป็นของวิเศษระดับตำนาน เพียงครึ่งก้าวเท่านั้นจะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของวิเศษระดับต้นกำเนิด แหวนวงนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งของหรือศาสตราวุธที่เจ้าต้องการได้ทั้งสิ้นหรือแม้กระทั่งเตาหลอมโอสถวิญญาณก็ตาม...'

'กระดูกวิญญาณนี้มีเงื่อนไขเช่นเดียวกันกับกระดูกวิญญาณเเรกที่เจ้าได้ดูดซับไปในช่วงก่อนหน้านี้ ความเเข็งแกร่งของกระดูกวิญญาณจะเพิ่มขึ้นตามระดับพลังวิญญาณของเจ้า...'

'หลังจากที่เจ้าบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามราชันวิญญาณได้แล้ว วิญญาณยุทธ์ที่สี่ปราณทิวาธาตุ (แสง) จะปรากฎขึ้น นอกจากนั้นเเล้วข้ายังได้มอบทักษะวิญญาณให้แก่เจ้าด้วยเช่นกัน..."

'สิ่งนี้หาใช่เป็นสิ่งที่เจ้าควรกังวลใจในยามนี้ไม่ จงเร่งทำการดูดซับกระดูกวิญญาณของข้าให้สำเร็จเสีย เมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้วในวันหนึ่งเจ้าก็จะรู้เองทักษะวิญญาณนั้นมีความพิเศษอย่างไรบ้าง ขอให้เจ้าโชคดี...' เสียงของชายชราดังขึ้นให้หนิงอ้ายได้รับรู้อีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างของชายชราจะแปรเปลี่ยนเป็นกระดูกวิญญาณ ก่อนจะหายเข้าไปในตัวของหนิงอ้ายโดยไร้ซึ่งสิ่งต่อต้านทั้งสิ้น..."

หนิงอ้ายยกมือขึ้นประสานพร้อมกับโค้งตัวเพื่อเป็นการขอบคุณในความเมตตาของอีกฝ่ายที่มอบให้กับเขาก่อนจะนั่งลงดูดซับกระดูกวิญญาณที่พึ่งได้รับมาท่ามกลางกระเเสลมปราณอันบริสุทธิ์เข้มข้น คล้ายกับว่าพลังปราณในม่านมิติเเห่งนี้จะถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายอย่างมากมายด้วยแรงหนุนจากจี้หยกโลหิต

เมื่อผสานเข้าไปกับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินเเล้ว การชักนำกระเเสลมปราณเข้าสู่ร่างกายด้วยความรวดเร็วเช่นนี้นับว่าสร้างประโยชน์กับหนิงอ้ายอย่างมากมายเลยทีเดียว...

เวลาที่ผ่านไปทำให้หนิงอ้ายรู้สึกได้ว่าการดูดซับกระดูกวิญญาณง่ายไปกว่าทุกครั้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลเสียด้วยซ้ำ เมื่อลืมตาขึ้นหนิงอ้ายก็สัมผัสได้ว่าระดับพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ใกล้ที่จะทะลุขั้นย่อยเเล้ว ไม่คาดคิดว่าการที่ได้เข้ามาในม่านมิติของตำหนักของตนจะได้รับวาสนาสวรรค์เป็นอย่างมากเช่นนี้

หนิงอ้ายพบว่ากระดูกวิญญาณของอสูรวิญญาณมังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกระดูกวิญญาณอายุแปดพันปีตามที่ระดับพลังเทวะวิญญาณที่เขาจะรับได้เป็นที่เรียบร้อย เห็นว่าเขายังไม่ถูกดึงกลับออกไปด้านนอกของมิติ หนิงอ้ายจึงทำการนั่งดูดซับลมปราณฟ้าดินต่อไปด้วยเพราะว่าภายในนี้เต็มไปด้วยกระเเสของลมปราณฟ้าดินที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นกว่าพื้นที่ตำหนักด้านนอกหลายสิบเท่า...

"ผู้อาวุโสซุน เหตุใดศิษย์น้องหนิงอ้ายจึงยังไม่ออกมาเสียทีเจ้าคะ??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจ

"ไป๋เหลียนฮวาอย่าได้กังวลไปนัก จริงอยู่ที่ว่าม่านมิติเเห่งนี้มีกำหนดเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลาภายในม่านมิตินั่นจะเท่ากันกับด้านนอกนี้ทุกครั้ง..." ซุนเกาเอ่ยขึ้นเพื่อให้สตรีด้านข้างคลายกังวลใจ เพราะเขาก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มไปไม่น้อยเช่นกัน

"อีกทั้งม่านมิติเเห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งรวมไปถึงอดีตเจ้าสำนักทุกคน ภายในนั้นไร้ซึ่งอันตรายใดใดทั้งสิ้น เจ้าจงวางใจเสียเถอะ..."

"เจ้าค่ะ..."

"นั่น!! ผู้อาวุโสซุน ศิษย์น้องหนิงอ้ายออกมาเเล้ว..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เพราะตรงด้านหน้าของนางนั้นได้ปรากฎเงาร่างของเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องของนางเเล้ว

"ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที ศิษย์พี่ของเจ้านางเป็นห่วงเจ้ามาก..." ซุนเกาเอ่ยขึ้นพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าเพียงเเค่เวลาหนึ่งชั่วยามนี้อีกฝ่ายจะบรรลุขั้นย่อยได้เช่นนี้

"ขออภัยที่ทำให้ศิษย์พี่และผู้อาวุโสซุนเป็นห่วงนะขอรับ!!!" หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับโค้งตัวลงเพื่อเป็นการขอโทษทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

"พวกข้าสองคนเพียงเป็นห่วงเจ้าเท่านั้นอย่าได้คิดเป็นอื่น เจ้าปลอดภัยก็ดีเเล้ว" ซุนเกาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำทั้งสองคนออกมาจากพื้นที่พิเศษดังกล่าว...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status